Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1431
ซูหมิงพูดจบ ตาแก่ที่จับหางอู่ไป๋ได้เดิมทีมีสีหน้าเป็นทุกข์เพราะอู่ไป๋ไม่ให้ความร่วมมือ ทว่ายามนี้ความทุกข์พลันหายไป กลายเป็นหัวเราะเสียงดัง
“ไม่เลวๆ สมกับเป็นศิษย์ว่านอนสอนง่ายของข้า น้ำเสียงแบบนี้บ้าอำนาจยิ่งนัก!” ตาแก่ปล่อยหางอู่ไป๋แล้วเอามือไพล่หลังเดินมายืนอยู่ข้างซูหมิง จ้องชายชุดคลุมขาวที่ตอนนี้ยิ้มด้วยความประหลาดใจ
“ไอ้บัดซบ เจ้ามาทำอะไร!” ตาแก่พูดด้วยน้ำเสียงโมโห กล่าวจบ ชายชุดคลุมขาวขมวดคิ้วทันที มองไปทั้งแคว้นกู่จั้งก็มีแค่เจ้านี่ที่กล้าพูดต่อหน้าตนแบบนี้
“อุบ่ะ ยังขมวดคิ้วอีก คิ้วขมวดก็ยังเป็นไอ้บัดซบอยู่ดี!” ตาแก่ถลึงตามอง ตะโกนเสียงดัง
“สหายเก่าพบกัน เจ้าช่วยหุบปากเพราะมันไม่น่าฟังจะได้หรือไม่ ไอ้คนบ้า!” ชายชุดคลุมขาวมองตาแก่อย่างเย็นชา ผ่านไปพักใหญ่ถึงคลายปมคิ้วออก พูดขึ้นเรียบๆ
“ไอ้บัดซบ!” ตาแก่ถลึงตาจนกลมโต กระทั่งยังรูดแขนเสื้อขึ้น ตะโกนเสียงดัง
ชายชุดคลุมขาวส่ายหน้า เขามองไปยังประตูของลานบ้าน กวาดสายตามองไปนิ่งๆ พลางพูดขึ้นเนิบๆ
“หานอวี้ เข้ามาเถอะ นี่คือคนที่อาจารย์จะพาเจ้ามาพบ” เมื่อชายชุดคลุมขาวกล่าวขึ้น ตอนนี้มีร่างเงาหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกลานบ้าน เป็นสตรีคนหนึ่ง เส้นผมยาวสีดำพาดบ่า สวมอาภรณ์ขาว ใบหน้าค่อนข้างงดงาม โดยเฉพาะความนิ่งในดวงตาให้ความรู้สึกที่สวยแบบมีระดับและสุขสบาย
เห็นได้ชัดว่านี่คือสตรีที่แม้แต่นิสัยยังอ่อนโยนมาก ผิวนางขาวผ่อง ดูอายุราวยี่สิบปี เมื่อปรากฏกายแล้วก็เดินเข้ามาในลานช้าๆ โค้งตัวคารวะตาแก่
“ผู้เยาว์หานอวี้ คารวะผู้อาวุโสกูหง”
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ยังคงยกขวานตัดฟืนต่อไป ไม่ว่าใครมาในลานนี้เขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก ต่อให้เป็นชายชุดคลุมขาว…เขาก็คาดเดาฐานะอีกฝ่ายได้แล้ว
ช่วงที่เสียงปึกๆ ของการตัดฟืนดังก้องและตาแก่เห็นหานอวี้นั้น สีหน้าไม่จริงจังต่อใดๆ ทั้งสิ้นพลันหายไป กลายเป็นจริงจัง
“นางคือเด็กทารกในตอนนั้นรึ?” ตาแก่เงียบไปครู่หนึ่งแล้วถึงถามขึ้นช้าๆ แม้แต่เสียงยังต่างไปเล็กน้อย ทำให้ซูหมิงที่ตัดฟืนอยู่ข้างๆ มองตาแก่แวบหนึ่ง
“หานอวี้ เปิดแขนขวาเจ้าออกมา” ขณะที่ชายชุดคลุมขาวกล่าวเรียบๆ หานอวี้หน้าแดงเล็กน้อย หลังกวาดสายตามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าลงรูดแขนเสื้อมือขวาขึ้น จนกระทั่งถึงข้อศอก บนผิวขาวผ่องมีปานสีแดงแห่งหนึ่ง
ตาแก่พิจารณามองปานนั้นแวบหนึ่งแล้วก็เงียบไป ชั่วขณะที่ถอนหายใจเบา เขาไม่มีสีหน้าเสียสติอย่างก่อนหน้านี้อีก แต่กลายเป็นสงบนิ่ง มองหานอวี้อย่างลึกซึ้งแล้วก็มองชายชุดคลุมขาวอย่างซับซ้อน
“แม้ข้าจะไม่ยอมรับเต๋าของเจ้า แต่ก็ต้องพูดว่า เต๋านี้…น่าตกใจจริงๆ!” ชายชราส่ายศีรษะพลางเดินมาอยู่ข้างซูหมิง ตบเข้าที่บ่าเขา
“คารวะเจ้าบัดซบท่านนี้หน่อย เขาเป็นใครเจ้าน่าจะรู้แล้ว”
ซูหมิงได้ยินดังนั้นก็ยังมีสีหน้าสงบนิ่ง วางขวานลง ยืนขึ้นประสานมือคารวะชายชุดคลุมขาว
“คารวะผู้อาวุโสซิวหลัว”
ชายชุดคลุมขาวมองซูหมิงอยู่พักหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว แต่ก็คลายปมออกอย่างรวดเร็ว
“เจ้าจะใช้เขาในการตัดเต๋ารึ? แต่นอกจากสายเลือดแล้ว เขามีอะไรพิเศษกัน ต่อให้เคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งก็ไม่มีทางให้เจ้าสนใจได้จนถึงรับเป็นศิษย์เพื่อให้ยืนยันความสับสนแห่งจิตใจ” ชายชุดคลุมขาวกล่าวขึ้นนิ่งๆ
“ขอเพียงมีวันหนึ่งที่เจ้าไม่ตัดเต๋า เจ้าก็จะไม่มีทางก้าวสู่เต๋าไร้ที่สิ้นสุด วันนี้แซ่ซิวมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้าย ไม่ได้มีเป้าหมายเป็นศิษย์ของเจ้า แต่มาเพื่อยืนยันว่ากู่จั้งในใต้หล้านี้ เต๋าของข้าซิวหลัวได้รับการพิสูจน์แล้ว!
และข้าไปเมืองหลวงมาแล้ว” ชายชุดคลุมขาวกล่าวราบเรียบ พร้อมกันนั้นยังกวาดสายตามองสตรีนามหานอวี้ด้วยแววตาเมตตาและอ่อนโยน
“ข้ายอมรับเต๋าของเจ้า แต่ก็ไม่ยอมรับเต๋านี้เช่นกัน…ข้าคิดเสมอว่านี่คือทางที่ผิด!” ชายชราเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับช้าๆ
“ทางผิดรึ ข้าฝึกฝนมาหลายหมื่นปี รับเลี้ยงหานอวี้มาทั้งหมดหลายหมื่นคน ทุกคนไม่มีใครเกิดความผิดพลาด นี่ไม่ใช่ทางที่ผิด แต่เป็นเต๋าของข้า!” ชายชุดคลุมขาวกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ซูหมิงได้ยินคำพูดระหว่างตาแก่กับชายชุดคลุมขาวก็เหมือนเกิดความคิด จึงมองหานอวี้ที่ตอนนี้ยังคงสงบนิ่ง เมื่อพิจารณามองอยู่หลายทีแล้ว คิ้วกลับขมวดขึ้นทีละน้อย
“เจ้าก็มองออกรึ?” ชายชรามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วถามขึ้นนิ่งๆ
“นาง…น่าจะเป็นบุรุษ” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับช้าๆ
“เดิมทีนางเป็นบุรุษ เพียงแต่ตั้งแต่เยาว์วัยถูกเลี้ยงให้เป็นสตรี ดังนั้น แม้แต่เขายังคิดว่าตนเป็นสตรี” ชายชราพูดต่ออย่างสงบนิ่ง เมื่อเข้าถึงหูซูหมิง เขาหรี่ตาแคบลง
“นี่ก็ยืนยันได้ว่าเต๋าของข้าต่างหากคือมหาเต๋า!” ชายชุดคลุมขาวกวาดสายตามองซูหมิง จากนั้นมองตาแก่
“เต๋าของข้าเหมือนกับความเป็นตายของทุกชีวิต ประหนึ่งดวงชะตาของทุกชีวิต ทุกอย่างนี้…เดิมทีล้วนไม่มีอยู่ ที่เกิดความเป็นตาย เกิดความต่างของดวงชะตา นั่นเป็นเพราะดวงจิตฟ้าดินหลอกทุกชีวิต มันบอกทุกชีวิตว่าต้องมีความเป็นตาย ดังนั้น…ถึงเกิดความเป็นตาย
มันบอกทุกชีวิตว่าต้องมีชะตา เลยต้องเกิดชะตาต่างกัน! แต่ความจริงแล้วทุกชีวิตคงอยู่นิรันดร์ได้ มีอายุยืนยาวได้ พริบตาที่รวมขึ้นเป็นชีวิต นั่นคือเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!
ทว่าทุกอย่างนี้ เพราะดวงจิตฟ้าดินลวงหลอก เลยทำให้ทุกชีวิตเชื่อว่าตนมีความเป็นตาย เชื่อว่าตนมีดวงชะตา และยังเชื่อว่าตั้งแต่ที่ตนรวมขึ้นเป็นชีวิตจนภพชาตินี้ล้วนเป็นเส้นทางที่ต้องแสวงหาความจริงไม่หยุด
อย่างเช่นหานอวี้ นางเป็นตัวอย่าง เป็นหนึ่งในตัวอย่างหลายหมื่นคนของข้า ข้าเลี้ยงดูเขามาแต่เยาว์วัย มอบทุกอย่างของสตรีเพศให้เขา ดังนั้นเขาคือสตรีคนหนึ่ง! หากสตรีทุกคนข้างกายเขามีโครงสร้างร่างกายเหมือนกับเขา เช่นนั้น…ใครจะบอกได้ว่าเขาไม่ใช่สตรี?
หากสตรีทุกคนถูกเปลี่ยนไปแบบนี้ เช่นนั้น…เพศในด้านโครงสร้างร่างกายก็จะเกิดการกลับด้านและเปลี่ยนแปลงไป!
ทุกอย่างนี้ยืนยันเต๋าของข้าแล้ว!” เสียงชายชุดคลุมขาวดังกึกก้อง ทุกประโยคเข้าถึงหูซูหมิง ทำให้ในใจเกิดการสั่นสะเทือน เขาเคยเห็นความต่างของเต๋าและความยึดมั่นในการแสวงหาเต๋าแบบนี้มาจากตาแก่ ตอนนี้…ก็ได้สัมผัสแบบเดียวกันจากในตัวซิวหลัว
“ดังนั้นสิ่งที่ข้าต้องการคือเมื่อตระหนักรู้ได้แล้ว ข้าจะรวมชีวิตข้าขึ้น บอกตัวข้าว่าคนมีความเป็นตาย บอกข้าว่าชีวิตคนมีดวงชะตา บอกข้าว่าตัวเองอ่อนแอ ต้องฝึกฝนไปทีละก้าวถึงจะแข็งแกร่งจนตัดดวงจิตฟ้าดินออกจากตัวข้าได้!
ตอนที่ข้าตัดลง ข้าจะบรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุด…กระทั่งข้ายังเหนือกว่าเต๋าไร้ที่สิ้นสุด!” ชายชุดคลุมขาวสะบัดแขนเสื้อ มีสีหน้ามั่นใจแรงกล้า ความมั่นใจนี้เป็นดั่งเต๋าของเขา นั่นคือความบ้าอำนาจสูงสุด เพราะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ชายชุดคลุมขาวแสวงหา นอกจากตัดดวงจิตที่ตนถูกหลอกแล้ว ยังจะใช้ดวงจิตนี้ควบคุมทุกชีวิตด้วย
“เต๋าโลกจริงปลอมของเจ้า เต๋าแห่งดวงชะตาของกู่ตี้ เต๋าดวงจิตลวงหลอกของข้า พวกเราสามคน ขอบเขตเทพเต๋าขั้นเก้าแห่งแคว้นกู่จั้งสามคน เต๋าที่ต่างกันสามวิถี!
เต๋าสามวิถีนี้ไม่มีทางเป็นมหาเต๋าได้ทุกเต๋า มีเพียงเต๋าเดียว เต๋านี้…เป็นของข้า และในเมื่อเจ้ารับองค์ชายสามเป็นศิษย์ เช่นนั้นเขาก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเต๋าของเจ้า ช่างเถอะ ข้าจะรับองค์ชายรองเป็นศิษย์ ให้เขาสืบทอดเต๋าของข้า!
ดูท่าองค์ชายใหญ่ที่กู่ตี้ให้ความสนใจที่สุดเลือกสำนักเอกะเต๋าก็เพราะว่าเต๋าของสำนักเอกะเต๋ากับกู่ตี้มีคำสอนแห่งดวงชะตาสายเลือดเดียวกัน!
ข้ากลับฝ่ายอสุราครั้งนี้แล้วจะปิดด่านนั่งฌานอีกพันปี พันปีจากนี้ หากเจ้ายังเป็นเหมือนตอนนี้เจ้าจะตาย หากกู่ตี้ยังลังเลก็จะตายเหมือนกัน แคว้นกู่จั้ง…อาจจะไม่ต้องการสายเลือดราชวงศ์อีก
สำนักกู่จั้ง หรือไม่ก็ฝ่ายกู่จั้ง เจ้าว่าสองนามนี้ดีหรือไม่?” ชายชุดคลุมขาวยิ้มเล็กน้อย ก่อนเดินผ่านซูหมิงไปทางประตูลานบ้าน หานอวี้ก้มหน้าตามอยู่ข้างหลัง สีหน้ายังคงสงบนิ่ง จนกระทั่งสองคนเดินออกจากประตูบ้านแล้ว จนร่างเงาสองคนหายไป ภายในลานเงียบ
ซูหมิงเงียบ ตาแก่ก็เหม่อมองฟ้าอยู่นานไม่พูดอะไร
เงียบไปหนึ่งก้านธูป ตาแก่ก็ส่ายหน้า
“ตัดเต๋านั้นง่าย แต่หากตัดพลาด…ก็จะพลาดไปชั่วชีวิต ระหว่างลังเลก็ไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นการแสวงหาเต๋าต่างหาก ไฉนต้องรีบร้อนตัด ไฉนต้องตัดเต๋าคนเดียว ไฉนต้องบังคับให้คนอื่นตัด…” ชายชรามีสีหน้าเหนื่อยล้า เขาหมุนตัวกลับเดินเข้าไปในบ้าน
ซูหมิงเดินมานั่งบนตอไม้ นัยน์ตาฉายแววขบคิด ไม่ว่าจะเป็นตาแก่หรือชายชุดคลุมขาวล้วนเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดของแคว้นกู่จั้ง
หลังจากซูหมิงตรึกตรองเต๋าของพวกเขาแล้วก็อดนึกถึงเต๋าของตัวเองไม่ได้
“เต๋าของข้า…คืออะไร?” ซูหมิงพึมพำ
“จะว่าไปก็มีความคล้ายกับซิวหลัวเล็กน้อย และก็คล้ายกับตาแก่ ส่วนคำสอนแห่งดวงชะตา เพราะสัมผัสได้ในโลกซางเซียง ก็เลยยอมรับได้เหมือนกัน” ซูหมิงพูดเสียงเบา จนกระทั่งหลับตาลง ตอนที่หันกลับไปมองชีวิต เขาพบว่าเขาไม่รู้ว่าเต๋าของตนคืออะไร
“บางทีข้าอาจไม่มีเต๋า ตรงหน้าข้ามีเพียงเส้นทางสายหนึ่ง…ที่ให้ใบหน้าคุ้นเคยในความทรงจำ ให้พวกเขาคืนชีพ ให้พวกเขายิ้ม!
ข้าทำทุกอย่างได้เพื่อสิ่งนี้!” ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น เผยความยึดมั่นในแววตา