Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1432
เวลาผ่านไปช้าๆ เจ็ดวันต่อมา
ในเจ็ดวันนี้ ชายชราไม่ได้ออกจากบ้าน ทำให้ลานแห่งนี้ไม่มีความคึกคักในวันวาน มีเพียงเสียงตัดฟืนของซูหมิงที่ยังคงดังก้องทุกวัน
เขาหันไปมองบ้านเป็นบางครั้งอยู่เงียบๆ มีสีหน้ากังวลเสี้ยวหนึ่ง การมาและจากไปของซิวหลัว คำพูดเกี่ยวกับเต๋านั้น ส่งผลไม่มากกับซูหมิง แต่เห็นได้ชัดว่าสำหรับชายชราแล้ว มีแรงกดดันที่ซูหมิงไม่อาจเข้าใจ
แรงกดดันนี้เกี่ยวกับความเป็นตาย ความยึดมั่นต่อเต๋า หรืออาจพูดได้ว่า…นั่นคือการต่อสู้ไร้รูป เป็นการต่อสู้ระหว่างสามเทพเต๋าขั้นเก้าของแคว้นกู่จั้ง
จนกระทั่งตะวันยามอัศดงวันที่เจ็ดลับฟ้า ซูหมิงวางขวานไว้ข้างๆ เบาๆ เขารู้สึกถึงการเรียกของกู่ไท่ จึงพลิกมือ ปรากฏแผ่นหยกในมือ ตอนนี้มันเปล่งแสงสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายกำลังจะเปิด
ตามสัญญา เมื่อเริ่มเคลื่อนย้ายนั่นหมายความว่าสำนักเจ็ดจันทราได้หาตำแหน่งที่เกือบแม่นยำของแส้ดาราพบแล้ว รอเพียงซูหมิงไป สำนักเจ็ดจันทราจะลงมืออย่างสุดกำลัง ช่วยเขา…ให้ได้แส้ดารามา!
ซูหมิงมองแสงวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายของแผ่นหยกในมือแล้วเก็บแผ่นหยกไปเงียบๆ ยืนขึ้นเดินมาอยู่นอกประตูบ้าน ยืนตรงนั้นเงียบๆ จนผ่านไปพักใหญ่ถึงประสานมือคารวะลงลึก
“อาจารย์ ศิษย์ต้องไปแล้ว ครั้งนี้…ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ได้อยู่ด้วยกันมาปีกว่า ทำให้เขาชินกับความสงบของที่นี่ ชินกับนิสัยตาแก่ ทำให้ตอนที่แยกจาก ในใจเกิดความอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
พูดได้ว่าหนึ่งปีในหมู่บ้านภูเขาธรรมดา ในลานแห่งนี้คือหนึ่งปีที่เขาจิตใจสงบที่สุดในแคว้นกู่จั้ง
ประตูบ้านเปิดออกช้าๆ ร่างเงาตาแก่เดินออกมาจากบ้าน ใบหน้าดูแก่ชรากว่าเมื่อเจ็ดวันก่อนเล็กน้อย ในดวงตาสองข้างเผยประกายสติปัญญา เขามองซูหมิง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเมตตาทีละน้อย
“ไปเถอะ ที่นี่ยังไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ยาว จูงสุนัขห้าตัวนั่นไปด้วย อาจารย์หวังว่าครั้งต่อไปที่ได้ยินนามเจ้า…เจ้าจะบรรลุเต๋าสูงศักดิ์!” ชายชรายิ้มมองซูหมิงพลางพูดเสียงเบา
ซูหมิงมองชายชราตรงหน้าเงียบๆ ก่อนคารวะอีกครั้ง ช่วงที่หมุนตัวจะจากไปนั้น
“รอก่อน” ชายชราเรียกซูหมิงเอาไว้
“ขวานนั่น ข้าเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าเอาไปด้วย จำการใช้ขวานสามขั้นที่อาจารย์สอนให้ดี ขั้นแรกคือตัดคน ขั้นสองตัดฟืน ขั้นสามตัดทุกอย่างที่เจ้าอยากตัด” ชายชรายิ้มกล่าว ความเมตตาทางสีหน้าต่างกับความบ้าบอในวันปกติอย่างชัดเจน
ซูหมิงเงียบ หมุนตัวเก็บขวานแล้วหันมามองชายชรา
“อาจารย์ ข้าไปแล้ว” ซูหมิงพูดเบาๆ
“ไปเถอะ จำไว้ศิษย์ของข้ากูหง ใครก็ล่วงเกินไม่ได้ หากมีคนล่วงเกินเจ้า เจ้าก็ตัดเขา หากตัดไม่ได้ เจ้าสูบเขา สรุปคือจะยอมเสียเปรียบไม่ได้!” ชายชราเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าโอหัง เหมือนว่าตอนนี้ ความรู้สึกบ้าบอในวันวานกลับมาอีกครั้ง
ซูหมิงมองชายชราพลางพยักหน้าให้ จากนั้นแผ่นหยกในมือเปล่งแสงอาคมเคลื่อนย้ายสว่างจ้า แสงนี้พลันปกคลุมรอบตัวซูหมิง แยกสายตาระหว่างเขากับชายชรา ทันทีที่ร่างเงาซูหมิงจะถูกเคลื่อนย้ายไปนั้น…
“จำเอาไว้ หากเจอสตรีก้นใหญ่ จะต้องพากลับมาให้อาจารย์ เจ้าไม่ชอบสตรีก้นใหญ่ แต่ข้าชอบ” ชายชราเห็นซูหมิงจะไปแล้ว เหมือนพลันนึกอะไรออกจึงรีบตะโกนไป
เสียงข้ามผ่านม่านแสงอาคมเคลื่อนย้ายเข้าไปถึงหูซูหมิง ทำให้เขายิ้ม ขณะนั้นเองร่างเงาเขาหายไปในลาน
ที่หายไปพร้อมกันยังมีสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัว
จนกระทั่งในลานกลับมาเงียบสงบ ชายชรายืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ผ่านไปพักใหญ่ถึงถอนหายใจเบา เขาไม่มีสีหน้าไม่จริงจังต่อสิ่งใดอีก เหมือนย้อนกลับไปพันปีก่อน เงาโดดเดี่ยวอยู่ในลาน เหมือนมีความเงียบเหงา เขาเดินออกมาจากบานประตูบ้านช้าๆ มานั่งบนตอไม้
เหมือนชายชราธรรมดาจริงๆ เมื่อตะวันยามอัศดงลาลับ ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงนั้น เขาหยิบม้วนยาสูบออกมาสูบเงียบๆ หลายที ในคืนมืด แสงไฟสลัวจากม้วนยาสูบกลายเป็นอารมณ์ความคิดที่ไม่มีวันถูกทำลายในลานแห่งนี้…
……………..
แคว้นกู่จั้ง ทางตะวันตกเฉียงใต้ เทือกเขาเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง ภูเขาที่นี่มีมากกว่าล้านลูก ทอดยาวไม่มีสิ้นสุด หากอยู่ข้างในจะเกิดความรู้สึกสับสนไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด เพราะมองไป ยอดเขารอบๆ ขึ้นลงทำให้หาเส้นทางไม่พบ
อีกทั้งที่นี่ยังเป็นปฏิปักษ์ต่อจิตสัมผัสอย่างรุนแรงยิ่ง เว้นแต่มหาเต๋าสูงศักดิ์ มิเช่นนั้นแล้วผู้ฝึกฌานทุกคนที่ต่ำกว่าเมื่อมาถึงที่นี่แล้วจะเสียจิตสัมผัสไป
ตอนนี้กลางเทือกเขา ยอดเขาที่ถูกขุดจนเรียบแห่งหนึ่งล้อมรอบไปด้วยผู้ฝึกฌานหลายพันคน ผู้ฝึกฌานเหล่านี้ต่างมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว มีสีหน้ายากจะปกปิดความเหนื่อยล้า พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทรา หนึ่งปีกว่านี้พวกเขาตามหาทั้งทางตะวันตกเฉียงใต้ตามแผ่นหยกที่ซูหมิงมอบให้ สุดท้ายก็ระบุที่นี่จึงทำการค้นหาอย่างละเอียดอีกครั้ง จนในที่สุดเป้าหมายก็มาอยู่ที่นี่
กู่ไท่มาร่วมเรื่องการหาแส้ดาราไม่ได้ เขาต้องควบคุมทุกอย่างในสำนักเจ็ดจันทรา ดังนั้นคนที่ร่วมด้วยคือสวี่จงฝาน ตอนนี้ยืนอยู่นอกวงแหวนอาคม มองแสงในวงแหวนอาคมสว่างวูบวาบ ครู่ต่อมาตอนที่แสงวงแหวนอาคมสว่างถึงขีดสุดก็หายไปโดยพลัน จากนั้นปรากฏร่างเงาซูหมิงในวงแหวนอาคม รอบตัวเขายังมีสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัว
ยามที่มองซูหมิง สวี่จงฝานยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าให้ซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ หลังประสานมือคารวะแล้วก็เดินออกมาจากวงแหวนอาคม สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวรีบตามมาข้างหลัง ช่วงที่เดินออกมาพร้อมกัน ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราหลายพันคนรอบๆ ต่างมองพวกมันด้วยแววตาประหลาดใจมาก
“เวลาไม่คอยท่า ข้าจะพูดให้ฟังคร่าวๆ ที่นี่คือตำแหน่งชัดเจนตามแผ่นหยกของเจ้า เจ้าไปตามเทือกเขาตรงหน้าจะพบถ้ำโบราณหนึ่ง ที่นั่นคือที่ที่ปรมาจารย์ดาราได้เงาสะท้อนแส้ดารา
พวกเราเข้าไปในถ้ำนี้ไม่ได้ ผู้อาวุโสใหญ่กู่ไท่เคยกำชับไว้ว่านอกจากเจ้าแล้ว ห้ามมีใครเข้าไปเป็นคนแรก ที่นั่นเป็นของเจ้าคนเดียว
จากที่ข้าศึกษามา รวมถึงผู้อาวุโสใหญ่คนอื่นๆ ในสำนักทำการตรวจสอบที่นี่ติดต่อกันหลายวัน พวกเราได้คำตอบอย่างหนึ่ง หากล้มเหลวก็ช่าง แต่หากเจ้าได้แส้ดารามา เช่นนั้นยอดเขาล้านลูกทั้งตะวันตกเฉียงใต้จะถล่มลงสามส่วน กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถล่มลงมากกว่าเดิม
ดังนั้นแล้วก็จะสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มันจะทำให้สำนักรอบๆ รับรู้ได้ สมบัติล้ำค่าพิลึกปรากฏแบบนี้จะต้องเกิดการแย่งชิงอย่างดุเดือดแน่
รอบๆ นี้มีสามสำนักหกฝ่าย ไม่รู้ว่าใครจะมาก่อน แต่ว่าคงเลี่ยงมหาสงครามไม่ได้ เจ้ามีเวลาไม่มาก มีแค่หนึ่งชั่วยาม หนึ่งชั่วยามจากนั้นเจ้าต้องกลับมาที่นี่ พวกเราจะเปิดวงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายกลับสำนักเจ็ดจันทรา
พวกเราจะถ่วงเวลาหนึ่งชั่วยามให้เจ้าอย่างสุดความสามารถ ถึงขั้นครั้งนี้สำนักเอาสมบัติล้ำค่าออกมาไม่น้อย สร้างเป็นวงแหวนอาคมแก่กล้าวางไว้รอบๆ
หนึ่งชั่วยามจะต้องกลับมา!” สวี่จงฝานมองซูหมิงอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง
ซูหมิงพยักหน้าช้าๆ ก่อนประสานมือคารวะสวี่จงฝาน จากนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไป ช่วงที่บินไป อาภรณ์เขาเปลี่ยนไปเป็นชุดคลุมดำ เส้นผมสีม่วงแกว่งไกว ข้างหลังเป็นสายรุ้งขาวห้าสายติดตาม นั่นคือสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัว
เพียงพริบตาเดียวซูหมิงก็มาถึงเทือกเขาที่สวี่จงฝานบอก มองไปข้างหน้าก็พบว่าใต้เทือกเขามีช่องโหว่ยักษ์แห่งหนึ่ง มันเหมือนกับถ้ำ ตอนนี้มีไอหนาวแผ่มา ส่งผลให้ปากถ้ำถูกปกคลุมด้วยหมอกเมฆ
ซูหมิงดวงตาวาววับ เอ่ยขึ้นราบเรียบ
“อู่ไป๋” พูดจบ สุนัขใหญ่สีขาวตัวที่ห้าตัวข้างๆ ดวงตาพลันเปล่งแสงหม่น กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งไปยังปากถ้ำกลางหมอกเมฆ
ร่างเงามันเข้าไปในถ้ำทันที ซูหมิงหลับตาลงเล็กน้อย ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเคลื่อนไหว ภาพนี้มาจากการสำรวจของอู่ไป๋ ระหว่างสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวกับซูหมิงมีการเชื่อมต่อทั้งแคว้นกู่จั้ง ต่อให้เป็นกู่ตี้ ซิวหลัวก็ยังไม่อาจตัดมันได้ง่ายๆ
เพราะชายชราเป็นคนวางการเชื่อมต่อจิตใจนี้ด้วยตัวเอง เว้นแต่…จะมีคนมีพลังเหนือกว่าเขาถึงขั้นเต๋าไร้ที่สิ้นสุด หรือไม่ก็ผู้แข่งแกร่งเหมือนกับกู่ตี้ ซิวหลัวใช้พลังประจำตัวอย่างไม่เสียดาย มิเช่นนั้นแล้ว…จะตัดการเชื่อมต่อนี้ไม่ได้
ครู่ต่อมาซูหมิงลืมตาขึ้น ขยับวูบพาแสงสีขาวสี่สายข้างหลังพุ่งเข้าไปในเมฆหมอก เข้าไปตรงปากถ้ำ
ภายในถ้ำไม่ได้มืดมิด แต่บนผนังรอบๆ มีแสงเรืองรองอ่อนๆ ไม่น้อย ที่นี่เงียบมาก มีเพียงสายลมเกิดขึ้นตอนที่ซูหมิงเข้ามาและพัดไกลออกไปแล้วเกิดเสียงครืนเบาๆ
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาห้อเหยียดไปตลอดทาง สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างหลังระวังโดยรอบตลอดเวลา คอยติดตามอยู่ข้างหลัง
เวลาผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป ซูหมิงหยุดชะงัก เขาสัมผัสได้ถึงความหนาวที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกนี้ทำให้ผนังหินรอบๆ กลายเป็นน้ำแข็ง แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่เขาหยุด
ที่ทำให้เขาหยุดคือตรงหน้ามีประตูน้ำแข็งยักษ์บานหนึ่ง!
ประตูเป็นกึ่งโปร่งใส แต่เห็นรางๆ ว่าข้างหลังประตูมีถ้ำแห่งหนึ่ง มิหนำซ้ำจะเห็นได้ชัดว่าประตูน้ำแข็งเป็นประตูใหญ่ของถ้ำ อีกทั้งเขายังเห็นอีกว่าบนประตูน้ำแข็งแกะสลักตัวอักษรใหญ่สวยงามเอาไว้สามตัว!
“ถ้ำเสวียนจั้ง!”
ทันทีที่เห็นสามคำนี้ ซูหมิงหรี่ตาลง จ้องคำว่าเสวียนจั้งตาเขม็ง มองอยู่สิบกว่าลมหายใจ