Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1434
ช่วงที่เข็มทิศบินออกมาหลอมรวมกับเบาะนั่งทรงกลมใต้ร่างซูหมิง เหมือนว่าพื้นถ้ำกลายเป็นเข็มทิศยักษ์ อีกทั้งแส้ดารายังพุ่งตรงเข้ามาหา กลายเป็นเชือกสีแดงสวมมือขวาเขานั้น…
ยอดเขานอกถ้ำแห่งนี้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เสียงครึกโครมดังขึ้นลง ทำให้ยอดเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้แคว้นกู่จั้งเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง หินภูเขาร่วงหล่น ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย มองไกลๆ ยอดเขาล้านลูกเหมือนมีมังกรยักษ์หลับใหลตัวหนึ่ง แต่ตอนนี้มังกรยักษ์ตื่นขึ้น ราวกับว่าจะสลัดฝุ่นแห่งกาลเวลาบนตัวออก เลยทำให้ที่นี่ถล่มลง
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว พริบตาเดียวก็เห็นยอดเขาถล่มลงไม่น้อย หมอกฝุ่นอบอวลฟ้าดิน คนหลายพันคนโดยมีสวี่จงฝานเป็นผู้นำแห่งสำนักเจ็ดจันทราต่างมีสีหน้าร้อนรน ขณะเดียวกันนอกยอดเขาแห่งนี้มีหลายสำนักที่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่นี่ จึงกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งมาที่นี่
ชั่วขณะที่สวี่จงฝานร้อนรน ทันใดนั้นเองปากถ้ำที่เขามองอยู่ซึ่งซูหมิงเข้าไปมีแสงสีขาวสายหนึ่งบินออกมา ในแสงขาวนั้นไม่ใช่ซูหมิง แต่เป็นสุนัขใหญ่สีขาวตัวหนึ่ง มันวิ่งออกมาอย่างรีบร้อน ตอนที่เข้าใกล้สวี่จงฝาน พลันมีเสียงแก่ชราดังขึ้นในใจสวี่จงฝาน
“ท่านชายมีคำสั่งมาว่าเขาออกมาไม่ได้ชั่วคราว พวกเจ้ากลับสำนักเจ็ดจันทราไปก่อน หากเขาออกมาแล้วจะไปหาพวกเจ้าที่สำนักเจ็ดจันทรา” เมื่อสุนัขใหญ่สีขาวส่งกระแสจิตไปแล้วก็หมุนตัวกลับเข้าไปในถ้ำอีกครั้ง ทันทีที่บินกลับ ปากถ้ำเกิดเสียงดังอึกทึก หินถล่มลงมาปิดปากถ้ำ
สวี่จงฝานมีสีหน้าลังเล แต่เห็นยอดเขาสั่นไหวแบบนี้ วงแหวนอาคมรอบๆ ก็เปิดหมดแล้ว ทว่ายังไม่อาจขวางแผ่นดินไหวได้ ยอดเขาที่นี่พังลง แม้แต่ยอดเขาที่พวกเขาวางอาคมเคลื่อนย้ายยังเกิดรอยร้าวจำนวนมากแล้ว
หากรอยร้าวลามไปถึงอาคมเคลื่อนย้าย พวกเขาหลายพันคนจะเคลื่อนย้ายไม่ได้ อีกทั้งสำนักรอบๆ ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติที่นี่แล้ว อีกไม่นานจะต้องมีผู้ฝึกฌานจากสำนักอีกไม่น้อยมาแน่
เพื่อไม่ให้ความลับเปิดเผยสวี่จงฝานจึงกัดฟันสะบัดแขนเสื้อ
“ศิษย์สำนักเจ็ดจันทรา กลับ!” สิ้นเสียง หลายพันคนพุ่งตรงไปที่วงแหวนอาคม ช่วงที่วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายขยับแสงวูบวาบ หลายพันคนพลันหายวับไป แทบเป็นขณะเดียวกับที่พวกเขาหายไป เห็นสายรุ้งยาวจากรอบๆ เข้ามาไกลๆ แล้ว ผู้ฝึกฌานในสายรุ้งยาวเหล่านี้เห็นแสงวงแหวนอาคมเคลื่อนย้าย ทว่าเห็นใบหน้าคนในนั้นไม่ชัด
แทบเป็นทันทีที่คนสำนักเจ็ดจันทราถูกเคลื่อนย้ายไป ยอดเขาที่วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายอยู่พังทลายลง ทำให้วงแหวนอาคมเคลื่อนย้ายแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่อาจย้อนกลับมาระบุจุดเคลื่อนย้ายได้ ต่อมาวงแหวนอาคมที่สำนักเจ็ดจันทราวางไว้รอบๆ ก็พากันระเบิดตัวเองพร้อมกัน เสียงครึกโครมดังสนั่น ทำลายร่องรอยทุกอย่าง
เสียงโครมครามจากการระเบิดตัวเองครั้งนี้รวมกับยอดเขาล้านลูกสั่นสะเทือน ส่งผลให้หมอกฝุ่นกลบทุกอย่าง
ไม่นานนักผู้ฝึกฌานก็แห่มากันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับมีน้อยคนมากที่จะเข้าไปในหมอกลึก เพียงแค่ยืนอยู่กลางอากาศ มองยอดเขาแห่งนี้ด้วยความตกใจระคนสงสัย
จนกระทั่งภายในสำนักเหล่านี้ปรากฏผู้แข็งแกร่งขั้นเต๋าสูงศักดิ์จำนวนหนึ่ง เมื่อลาดตระเวนอย่างละเอียดแล้ว สามวันหลังยอดเขาสั่นสะเทือนก็ค่อยๆ สงบลง ทุกสำนักต่างออกค้นหา
แต่สุดท้ายกลับไม่ได้อะไร เหลือไว้เพียงความสงสัยที่อัดแน่นอยู่ในใจ ดังนั้นจึงออกตรวจสอบอย่างจริงจังต่ออีกหลายเดือนถึงค่อยๆ หยุดลง เริ่มไม่มีผู้ฝึกฌานจากสำนักมากนักที่สนใจที่นี่ เรื่องเกือบสามส่วนที่เกี่ยวกับยอดเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้พลันสั่นสะเทือนกลายเป็นเรื่องลึกลับซับซ้อน
แต่ยังมีผู้ฝึกฌานจำนวนหนึ่งมักรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อยเลยมาที่นี่บ่อยครั้ง หวังว่าจะโชคดีพบเงื่อนงำที่คนอื่นไม่เห็น
เวลาผ่านไปแบบนี้ช้าๆ
ซูหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำ แผ่นดินไหวภูเขาสะเทือนข้างนอกทำให้ถ้ำเกิดรอยร้าวจำนวนมากเหมือนจะพังลง แต่สุดท้ายก็ยังไม่พัง โดยรอบมีสภาพย่ำแย่เล็กน้อยเท่านั้น
ซูหมิงนั่งบนเบาะทรงกลมอยู่ตลอด หลับตาตกอยู่ในห้วงสมาธิ ที่เขาไม่ออกไปเพราะตัวเองที่ปรากฏในกระจกคือใบหน้าเสวียนจั้ง
หากไม่แก้ไขเรื่องนี้ เขาจะไม่ออกไป
ข้างหลังเขาเป็นประตูน้ำแข็ง ตอนนี้สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวเฝ้าอยู่นอกประตู รอซูหมิงออกมา
เวลาผ่านไปทีละวันพริบตาเดียวก็หนึ่งปี
หนึ่งปีนี้ซูหมิงลืมตาขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกคือเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนที่ลืมตา เขามองกระจกโบราณ สิ่งที่เห็นยังเป็นเสวียนจั้งสวมชุดคลุมดำนั่งบนเข็มทิศ จากนั้นเขาหลับตาลง ผ่านไปอีกครึ่งปีจนนั่งฌานในถ้ำครบหนึ่งปีเต็มแล้ว ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง เขาก็ยังเห็น…เสวียนจั้ง
ซูหมิงเงียบ ก่อนยืนขึ้นจากเข็มทิศบนพื้นช้าๆ ดึงเชือกสีแดงตรงมือขวาออกโยนไว้บนพื้น ก่อนมองกระจกโบราณอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่เสวียนจั้งอีก ไม่ใช่หวังเทา แต่เป็นหน้าตาตนเอง
“จะได้สมบัติของเจ้าก็ต้องกลายเป็นเจ้า…” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ดวงตาขยับประกาย ที่เขาไม่ออกไป สาเหตุหนึ่งคือเขาไม่ใช่เสวียนจั้ง หากไม่แก้ภาพในกระจกโบราณก็จะกลายเป็นความคิดฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งหัวใจไม่อาจรวมได้
และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือแส้ดาราก็ดี เข็มทิศก็ดี เขาต้องการเวลาในการหล่อหลอม เขาเห็นล่วงหน้าแล้วว่าตอนที่ตนหล่อหลอมสมบัติสองสิ่งนี้เป็นของตนนั้น ถ้ามองกระจกอีกครั้งจะไม่เห็นเสวียนจั้งอีก แต่เป็นตนเอง
ขณะเงียบอยู่นี้ เขายืนขึ้นจากเข็มทิศช้าๆ หลับตาลงแผ่พลังในร่างกายหลอมรวมไปในเข็มทิศใต้ร่าง ระหว่างที่ดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเปิดออก วิญญาณเต๋าในนั้นประสานมุทราด้วยสองมือ พลันปรากฏเปลวเพลิงไร้รูปกระจายออกมาจากในร่างเขา เริ่มหล่อหลอมสมบัติล้ำค่าเข็มทิศ
นอกจากนี้ดวงจิตซูหมิงยังวนเวียนไปทั้งถ้ำ หลอมรวมกับพลัง รวมกับวิญญาณเต๋า กลายเป็นพลังที่เป็นของเขาเพียงคนเดียว ก่อนหล่อหลอมเข็มทิศอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
เวลาผ่านไปเนิบๆ เมื่อซูหมิงหล่อหลอมอยู่ในถ้ำราวกับปิดด่านนั่งฌานครบสิบปี กลางเทือกเขาข้างนอกไม่เห็นร่างเงาผู้ฝึกฌานจำนวนมากแล้ว แม้สิบปีจะไม่นาน แต่คนส่วนใหญ่เมื่อไม่ได้อะไรจากที่นี่ การสั่นสะเทือนเมื่อสิบปีก่อนจึงถูกมองข้ามไป
ทว่ายังมีผู้ฝึกฌานที่ยึดมั่นบางส่วนที่ไม่ยอมไปจากที่นี่ จนผ่านไปอีกสิบปีถึงจากไปด้วยความเสียดาย จนเมื่อซูหมิงอยู่ในถ้ำครบสามสิบปี ยอดเขาล้านลูกทางตะวันตกเฉียงใต้เงียบสงบมากดั่งในอดีต มีน้อยคนที่จะมา
ทันทีที่ซูหมิงลืมตาขึ้นและมองกระจกโบราณนั้น แวบแรกยังเห็นเป็นเสวียนจั้ง แต่พริบตาที่สอง…กลับเป็นตน!
หนำซ้ำในตอนนี้เข็มทิศยังถูกหลอมไปราวๆ สองส่วน
เขาไม่รีบจึงหลับตาตกอยู่ในห้วงการหล่อหลอม ผ่านไปอีกสามสิบปีจนอยู่ที่นี่ครบหกสิบปีเต็ม เข็มทิศถูกหล่อหลอมไปราวห้าส่วนแล้ว ตอนที่มองกระจกโบราณอีกครั้ง เขาเห็นร่างเงาเลือนรางของตนกับเสวียนจั้งซ้อนทับกัน
ถ้ำนี้อยู่ในเทือกเขา แผ่จิตสัมผัสกลางเทือกเขาไม่ได้ เว้นแต่จะวางวงแหวนอาคมที่คนสร้างขึ้น มิเช่นนั้นแม้แต่การเคลื่อนย้ายยังทำไม่ได้ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงแผ่จิตเข้ามา
ดังนั้นแล้วเรื่องที่ซูหมิงอยู่ที่นี่ นอกจากสำนักเจ็ดจันทราแล้วจึงไม่มีใครรู้ ศิษย์หลายพันคนแห่งสำนักเจ็ดจันทราที่กลับไปในตอนนั้น เมื่อกลับถึงสำนักแล้ว ผู้อาวุโสใหญ่เหล่านั้นต่างลงมือทันที ลบความทรงจำส่วนนี้ไป ดังนั้นคนที่รู้ว่าซูหมิงอยู่ที่นี่จึงมีเพียงสิบสามคน
นั่นคือผู้อาวุโสใหญ่สิบสามคน
พวกเขาปิดข่าวทุกอย่าง รอซูหมิงออกมาเงียบๆ วันเวลาผ่านไปจนผ่านไปอีกหกสิบปี ช่วงที่ซูหมิงหล่อหลอมเข็มทิศในถ้ำครบหนึ่งร้อยยี่สิบปี เขาลืมตาขึ้นมองกระจกโบราณ ไม่เห็นเสวียนจั้งอีก แต่เป็นตน!
เขาไม่อาจหล่อหลอมเข็มทิศทุกส่วนได้ แต่หลอมได้มากกว่าเก้าส่วน ส่วนสุดท้ายไม่ว่าหลอมอย่างไรก็เหมือนถูกผนึกไว้ ยากจะประทับตราตนเข้าไป
แม้จะเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นปมในใจ ดังนั้นแล้วเขาจึงยกมือขวาขึ้นขณะนั่งขัดสมาธิ คว้าไปยังเชือกสีแดงที่ตนถอดออกเมื่อร้อยกว่าปีก่อนบนพื้น เชือกสีแดงพลันตรงมาที่มือขวา สวมเข้าที่ข้อมือ ตอนนี้เองซูหมิงมองกระจกโบราณ สิ่งที่เห็นยังคงเป็นเสวียนจั้ง
ซูหมิงหลับตาลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนเริ่มหล่อหลอมเชือกสีแดงที่แปลงมาจากแส้ดารา การหลอมครั้งนี้…ผ่านไปอีกหกสิบปี!
จนกระทั่งอยู่ในถ้ำนี้ครบสองร้อยสี่สิบปี เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ปรากฏในกระจกคือใบหน้าซูหมิง
เขามองตนในกระจก ดวงตาเปล่งแสงหม่น ก่อนยืนขึ้นช้าๆ
‘สองร้อยสี่สิบปีค่อนข้างนาน ทว่าก็หลอมแส้ดารากับเข็มทิศได้เก้าส่วน ถือว่าคุ้มค่า’ ซูหมิงก้มหน้าลงมองข้อมือขวาตนแวบหนึ่ง ช่วงที่หมุนตัวกลับเดินไปยังประตูน้ำแข็ง เขายกมือขวาโบกไปแบบสบายๆ ทันใดนั้นเองฟ้ายามกลางวันข้างนอกเทือกเขาพลันกลายเป็นคืนมืดมิด ดาราบนฟ้าเชื่อมกัน ขยับแสงเรืองรอง มือซูหมิงในถ้ำเหมือนปรากฏแส้มายาเส้นหนึ่ง ทันทีที่แส้ปะทะกับประตูน้ำแข็งก็เกิดเสียงครึกโครมดังกังวาน ประตูน้ำแข็งพังลงเป็นเสี่ยงๆ
เผยเป็นสุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวที่กำลังมองซูหมิงอยู่นอกประตูน้ำแข็ง
“ไปกันเถอะ” ขณะซูหมิงกล่าวเรียบๆ ใต้เท้าปรากฏเข็มทิศอันหนึ่ง มันขยายขนาดเล็กใหญ่ได้ ตอนนี้มีขนาดเท่าเบาะนั่งทรงกลม เขายืนอยู่ข้างบน กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปข้างหน้า