Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1440
ขณะที่ถูกแรงดูดน้ำวนหมุนม้วน ทันทีที่ซูหมิงเข้าไปในหลุมดำ ตรงหน้าเขาเลือนรางโดยพลัน เงาเลือนรางหายไปในพริบตา จนตอนที่ตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง เขาเห็นซากปรักหักพังเปลี่ยวร้าง
เศษหินนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางฟ้า บนพื้นมีรอยแยกเหลือคณานับ บางที่พังทลายไปแล้ว ท้องฟ้าที่นี่ไม่ใช่ฟ้าครามอีก แต่เป็นสีเทา มองไปรอบๆ ไม่มีพืชใดๆ กลิ่นอายมรณะเข้มข้นแผ่คลุมบนพื้นดินไม่หยุด
สุนัขใหญ่สีขาวห้าตัวข้างกายซูหมิงหายตัวไปแล้ว แต่ในใจเขายังมีการเชื่อมต่อกับพวกมัน พวกมันเองก็สัมผัสถึงซูหมิง จึงกำลังรีบมาหาเขาอย่างว่องไว
ตรงหน้าซูหมิงมีหินลอยอยู่กลางฟ้าก้อนหนึ่ง หินนี้มีขนาดพันจั้ง บนหินมีแท่นบวงสรวงโบราณแห่งหนึ่ง ดูแล้วเสียหายมาก มีทั้งหมดเก้าชั้น ด้านบนมีต้นไม้เหมือนจะกลายเป็นหินต้นหนึ่ง หากมองดีๆ จะเห็นว่าต้นไม้มีทั้งหมดเก้ากิ่ง ตรงปลายกิ่งทุกกิ่งมีผีเสื้อตัวหนึ่ง!
ซูหมิงมองแท่นบวงสรวงด้วยดวงตาวาววับ ก่อนบินขึ้นไปยังแท่นบวงสรวง เมื่อเข้ามาใกล้ในพริบตาแล้ว เขายืนอยู่บนแท่นบวงสรวงนั้น ดวงตาแวววาวจ้องต้นไม้หิน โดยเฉพาะผีเสื้อเก้าตัวนั้นจะมองอยู่หลายที
หน้าตาผีเสื้อเหมือนกับซางเซียงที่ซูหมิงเคยพบแทบทุกประการ…
ชั่วขณะที่ซูหมิงตกใจภาพนี้ เขาพลันหันหน้าไปมองทางขวา เห็นเพียงว่าบนฟ้าทางขวาปรากฏร่างเงาขึ้น นั่นคือชายวัยกลางคน สวมชุดคลุมยาวสีฟ้า เมื่อปรากฏกายแล้วก็มีสีหน้าตื่นตัว แต่กลับเห็นซูหมิงในพริบตา ขณะเดียวกันยังเห็นแท่นบวงสรวงใต้เท้าซูหมิง
ช่วงที่ชายวัยกลางคนกวาดสายตามองซูหมิง เห็นได้ชัดว่าอ่านพลังซูหมิงออก จึงยิ้มทันที
“ไม่คิดเลยว่าครั้งนี้จะโชคดี เข้ามาก็เจอแท่นบวงสรวงเลย สหาย มอบแท่นบวงสรวงให้แซ่หลินได้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย กล่าวพลางเดินไปหาซูหมิง ช่วงที่เขาแผ่กระจายพลังออก ซูหมิงมองออกแล้วว่าคนนี้คือผู้แข็งแกร่งวิญญาณเต๋าขั้นสี่
ซูหมิงมองแท่นบวงสรวงแวบหนึ่ง แท่นบวงสรวงแบบนี้อยู่ในโลกชั้นหนึ่ง มีทั้งหมดมากกว่าแสนแห่ง เขาไม่ตอบ แต่ขยับวูบไหวหมุนตัวจากไป เขายังต้องทำความเข้าใจกับโลกนี้อีกเล็กน้อย ไม่มีเวลาหยุดอยู่ที่แท่นบวงสรวงนี้นานนัก
เห็นซูหมิงจากไป ชายวัยกลางคนจึงยิ้มเล็กน้อย ทว่าทันทีที่เขาจะเข้าแท่นบวงสรวง ดวงตาพลันหรี่แคบลง จ้องซูหมิงที่กำลังเดินจากไป
‘หน้าตาเจ้า…จะ…เจ้าคือองค์ชายสามแห่งสำนักเจ็ดจันทรา!’ ชายวัยกลางคนตัวสั่นสะท้าน ดวงตาพลันฉายแววดีใจ ไม่สนใจแท่นบวงสรวงนั้นอีก แต่เป็นสายรุ้งยาวตรงไปหาซูหมิง
“ฮ่าๆ วันนี้โชคดีจริงๆ ไม่เจอแค่แท่นบวงสรวง แต่ยังเจอองค์ชายสามที่สำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุราตั้งค่าหัวไว้อีก! กับอีแค่วิญญาณเต๋าขั้นสามเล็กจ้อย วันนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าเป็นวันโชควาสนาของแซ่หลิน!” ขณะที่เสียงหัวเราะชายวัยกลางคนดังกึกก้อง ร่างกายเขากลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปหาซูหมิง ซูหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ยิ้มเยาะมุมปาก
เดิมทีเขาจะไปอยู่แล้ว แต่ในเมื่อชายวัยกลางคนไม่ยอม เช่นนั้น…ในเมื่อยึดมั่นจะตายขนาดนี้ หากซูหมิงไม่สนับสนุนอย่างเต็มที่อีก ก็อาจจะใจร้ายต่อความตั้งใจของอีกฝ่ายไปหน่อย
‘ลองแส้ดาราหน่อยก็ดี’ ซูหมิงยกมือขวาขึ้น เชือกสีแดงตรงข้อมือพลันหายไป เมื่อเขาสะบัดมือขวา ท้องฟ้าเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เงาแส้ยักษ์เหมือนรวมขึ้นจากดารา ลงมาเยือนยังแผ่นดิน ช่วงที่หมุนวนรอบตัวซูหมิง ชายวัยกลางคนหน้าเปลี่ยนสี ร่างหยุดชะงักอย่างร้อนรนแล้วถอยไป สีหน้าจริงจังมีความตื่นตกใจ สองมือประสานมุทรา ปรากฏเกราะหนึ่งชั้นขึ้นบนตัวเขา อีกทั้งนอกเกราะยังมีม่านแสงวงแหวนอาคมสิบชั้น
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทันทีที่ซูหมิงสะบัดแส้ก็เกิดเสียงดังครึกโครม ปราการวงแหวนอาคมสิบชั้นแตกสลายในทันใด เกราะบนตัวชายวัยกลางคนแหลกเป็นเสี่ยงๆ รวมถึงชายวัยกลางคน ช่วงที่แส้ดาราปะทะร่าง เขากระอักเลือด ความทรงจำปั่นป่วน ราวกับว่าแส้ไม่เพียงฟาดบนตัวเขา แต่ยังเข้าไปปั่นป่วนในสมองอีกด้วย
จังหวะที่ชายวัยกลางคนกระอักเลือดและร้องโหยหวน ซูหมิงขยับวูบเข้าไปอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย ยกมือขวาขึ้น ตราประทับจันทร์เสี้ยวตรงฝ่ามือขยับแสง ก่อนกดไปยังระหว่างคิ้วอีกฝ่าย
ทันทีที่มือขวาซูหมิงสัมผัสหน้าผากชายคนนี้ แรงดูดมหาศาลปะทุมาจากในตราประทับตรงฝ่ามือขวา ชายวัยกลางคนพลันกรีดร้องดังถึงขีดสุด ร่างกายแห้งเหี่ยวลง พลังชีวิตจำนวนมากและพลังหลั่งไหลเข้าไปในตราประทับฝ่ามือซูหมิงทั้งหมดในไม่กี่ลมหายใจ เมื่อเสียงกรีดร้องเบาลงจนเงียบหายไปนั้น ชายวัยกลางคนตรงหน้าซูหมิงเหลือเพียงซากศพแห้งเหี่ยว!
วิญญาณไปจนถึงทุกอย่างออกจากร่างไปชั่วนิรันดร์เมื่อครู่
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เขามีตราประทับอภินิหารของตาแก่ มีแส้ดารา มีดวงจิตสี่โลกแท้จริง กระทั่งในด้านพลังก็อ่อนแอกว่าอีกฝ่ายเล็กน้อยเท่านั้น เขาในแบบนี้ หากยังเอาชนะอีกฝ่ายอย่างยากลำบากอีก เช่นนั้นก็คงไม่ใช่ซูหมิงแล้ว
ช่วงที่ซูหมิงดึงมือขวากลับก็ปรากฏเชือกสีแดงขึ้นตรงข้อมือ จากนั้นเดินกลับไปบนแท่นบวงสรวงที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจากมา ยืนอยู่ตรงนั้น ยกมือซ้ายขึ้น ในมือปรากฏแผ่นหยกหนึ่ง ก่อนจะกดกับลำต้นที่กลายเป็นหิน แผ่นหยกพลันขยับแสงวูบวาบ ต้นไม้หินบนแท่นบวงสรวงค่อยๆ ฟื้นกลับมาราวกับคืนชีพ
ระหว่างฟื้นคืนชีพ กลิ่นหอมแผ่กระจาย ซูหมิงดมเพียงครั้งเดียวดวงตาพลันเป็นประกาย เขาพบว่าพลังตนเพิ่มขึ้นเสี้ยวหนึ่งหลังดมไปหนึ่งครั้ง
กระทั่งวิญญาณเต๋าในดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วยังเหมือนสุขสบายมากภายใต้กลิ่นหอมฟุ้ง กระทั่งวิญญาณเต๋าขั้นสี่ยังรวมกันขึ้นอีกเล็กน้อย
กู่ไท่ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้ ตามหลักแล้ว กู่ไท่ไม่มีทางไม่บอกถึงเรื่องการเพิ่มพลังแบบนี้แน่ ถึงอย่างไรต่อให้ไม่พูด ซูหมิงก็รู้เองได้ ดังนั้นแล้วจึงมีเพียงความเป็นไปได้เดียว
นัยน์ตาซูหมิงพลันเป็นประกายวาววับ
‘หรือว่ากลิ่นหอมที่นี่จะไม่มีผลต่อพลังคนอื่น?’ ชั่วขณะที่ดวงตาซูหมิงขยับประกาย ผ่านไปราวยี่สิบลมหายใจ ต้นไม้หินบนแท่นบวงสรวงฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ ลำแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
ลำแสงนี้ต่อให้อยู่ไกลๆ ก็ยังมองเห็น เพราะว่า…แทบเป็นทันทีที่ลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า ซูหมิงเห็นว่าบนฟ้าไกลออกไปก็มีลำแสงพุ่งขึ้นฟ้าอีกไม่น้อย
เห็นได้ชัดว่าลำแสงเหล่านี้หมายความว่าตอนนี้มีแท่นบวงสรวงถูกเปิดไม่น้อยแล้ว!
ลำแสงนี้คงอยู่นิรันดร์ เพียงแต่ว่าจะถูกคนจากสำนักอื่นแทนที่ได้ตลอดเวลา หากปรากฏลำแสง จะเป็นดั่งแสงไฟสำหรับคนสำนักอื่น ทำให้ดึงดูดเข้ามาทันที
ซูหมิงตรึกตรองอยู่ชั่วขณะ ช่วงที่กำลังใคร่ครวญถึงการเปิดแท่นบวงสรวงจะมีกลิ่นหอมฟุ้งนั้น เขาพุ่งทะยานไกลออกไปแล้ว ตรวจดูแผ่นหยกและมุ่งหน้าไปยังจุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทราตามการชี้นำบนแผ่นหยกพลางตามหาแท่นบวงสรวง
หนึ่งก้านธูปต่อมา บนแผ่นดินตรงหน้าซูหมิงมีแท่นบวงสรวงหนึ่งกำลังถูกเปิดอยู่ นอกแท่นบวงสรวงนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งถือแผ่นหยกกดที่ต้นไม้หินที่กำลังคืนชีพ ข้างๆ มีผู้ฝึกฌานสวมอาภรณ์แบบเดียวกันสี่คนกำลังสู้กับอีกสี่คนที่มารบกวน
ซูหมิงมองไปแล้วดวงตาแวววาว ก่อนกลายเป็นสายรุ้งยาวดิ่งลงพื้นดินทันที ด้วยความเร็วของเขาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็เข้ามาใกล้ในขณะที่เจ็ดแปดคนนี้กำลังเข่นฆ่ากัน
พลังเขาเหนือกว่าเจ็ดแปดคนนี้มาก แทบเป็นช่วงที่เข้ามาใกล้ เจ็ดแปดคนนี้หน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน โดยเฉพาะชายหนุ่มที่กำลังเปิดแท่นบวงสรวง เขาหรี่ตาแคบลง
เกิดเสียงอึกทึกกึกก้อง พายุที่เกิดขึ้นตอนซูหมิงเข้ามายกเจ็ดแปดคนนี้ลอยขึ้น จากนั้นซูหมิงกลายเป็นดั่งเศษเงาไปปรากฏบนแท่นบวงสรวง ยกมือขวาขึ้นโบก ชายหนุ่มที่เปิดแท่นบวงสรวงสำเร็จไปมากกว่าครึ่งกระอักเลือด เขาถอยร่นไปอย่างไม่ลังเล ยามที่มองซูหมิงอย่างเคียดแค้น ก็เห็นว่าซูหมิงยืนอยู่บนแท่นบวงสรวง มือซ้ายถือแผ่นหยกกดไปข้างบน
เจ็ดแปดคนที่ถูกยกขึ้น ตอนนี้ต่างหันหน้าหนีไปพร้อมกันโดยไม่มีหยุดแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นชายหนุ่มที่มีสีหน้าเคียดแค้นคนนั้นก็ยังจากไปโดยไม่พูดอะไร
ยี่สิบลมหายใจผ่านไป แท่นบวงสรวงที่ซูหมิงอยู่เกิดลำแสงพุ่งขึ้นฟ้า กลิ่นหอมฟุ้งกระจาย ตอนนี้เองเขาสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของพลัง ดวงตาเป็นประกายรวดเร็วและดุดดัน จนเมื่อกลิ่นอายนี้หายไปเขาก็เป็นสายรุ้งยาวบินไกลออกไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา ร่างเงาซูหมิงอยู่ในมิติชั้นหนึ่ง กำลังห้อเหยียดผ่านแท่นบวงสรวงที่ถูกเปิดแล้วทีละแห่ง เขาลองประทับตราด้วยแผ่นหยกสำนักเจ็ดจันทรากับแท่นบวงสรวงที่ถูกเปิดเหล่านั้นแล้ว แม้จะเปลี่ยนสีของลำแสง แต่กลับไม่มีกลิ่นอายพลังแผ่มา ดังนั้นเขาจึงเข้าใจว่ามีเพียงเปิดครั้งแรกเท่านั้นถึงจะมีผล
เหมือนว่าพลังวิญญาณที่สั่งสมมานานถูกเปิดออกแล้วก็จะกระจายออกไป พลังวิญญาณนี้ไม่มีผลต่อคนอื่น แต่สำหรับซูหมิง มันคือการบำรุงที่ล้ำค่าอย่างยิ่ง
เขาคำนวณอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง หากแท่นบวงสรวงแสนแห่งถูกเปิดออก เช่นนั้นกลิ่นอายพลังที่สูบมาจะทำให้เขารวมวิญญาณเต๋าได้หนึ่งขั้น!
แต่จะเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ทว่า…นี่เป็นเพียงชั้นแรก ยังมีชั้นสอง ชั้นสาม…ดวงตาซูหมิงวาววับ ในใจเกิดความคึกคักขึ้นมา