Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1443
เมื่อซูหมิงลงมือ เมื่อสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวใช้การโจมจีที่แกร่งที่สุด ฟ้าดินรอบซูหมิงเหมือนจะพังลงในฉับพลัน เกิดการบิดเบี้ยวจำนวนมาก ขณะบิดเบี้ยวนั้น ซูหมิงพุ่งไปข้างหน้า ความรู้สึกว่ารอบตัวถูกผนึกเบาบางลงมาก ทว่าช่วงที่เขาจะพุ่งออกไปนั้น
เด็กหนุ่มมีสีหน้าปกติ ยิ้มแล้วเดินหนึ่งก้าว ทำให้การแข็งค้างของฟ้าดินขยายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ปกคลุมมากกว่าเกือบล้านลี้
“ฟ้าดินล้านลี้นี้ถูกผนึกแล้ว เจ้า…จะหนีอย่างไร?” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกล่าวขึ้นพลางมองซูหมิงด้วยแววตาเย้ยเยาะ
“บางทีเจ้าอาจจะลองหนีดูก็ได้ หากเจ้าชอบเล่นการล่าสังหาร” เด็กหนุ่มกล่าว เขาไม่ได้เข้าไปใกล้ซูหมิงในทันที แต่เดินไปด้านข้างหลายก้าว เปิดทางข้างหน้าให้
“ข้าให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ สิบลมหายใจจากนี้ข้าจะลงมือ ข้าจะสังหารพวกสุนัขข้างกายเจ้าก่อน ทุกสิบลมหายใจจะสังหารหนึ่งตัว สี่สิบลมหายใจต่อมาข้าจะจับเจ้า” เด็กหนุ่มยังคงยิ้ม แต่ความเย็นเยียบในคำพูดกลับทำให้นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายชั่วร้าย
“หนึ่ง…” เด็กหนุ่มส่ายหน้า ทันทีที่กล่าวขึ้นพลันปรากฏเข็มทิศใต้เท้าซูหมิง มันขยายใหญ่ขึ้น วูบเดียวก็มีขนาดสิบจั้ง อักขระเว้านูนขยับแสงเรืองรอง ตอนนี้เองซูหมิงสั่งผ่านความคิด เข็มทิศจึงส่งเสียงวิ้งทีหนึ่งก่อนพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เดิมทีเข็มทิศมีความเร็วสูงสุดอยู่แล้ว ทว่าเมื่ออยู่กลางผนึกฟ้าดินรอบๆ จึงเหมือนถูกเส้นใยนับไม่ถ้วนพันรอบเอาไว้ เลยใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก ข้างหูยังมีเสียงเด็กหนุ่มดังกึกก้อง
“สอง…”
“สาม…”
“สี่…”
เข็มทิศห้อทะยานไป ความรู้สึกถูกหยอกล้อทำให้ซูหมิงหน้ามืดทะมึน จิตสังหารในใจรุนแรงอย่างยิ่ง แต่ด้วยความต่างของพลังจึงทำให้แม้จิตสังหารจะรุนแรงถึงขีดสุดก็ยังระบายออกมาไม่ได้
“สิบ!” เสียงดังแว่วมาข้างหู ช่วงที่ซูหมิงหันไปมอง แวบแรกเขาเห็นเด็กหนุ่มมาปรากฏข้างหลังตน มือขวาคว้าที่คอต้าไป๋ ยิ้มให้ซูหมิงก่อนออกแรงบีบมือ นัยน์ตาต้าไป๋ฉายแววคลุ้มคลั่ง มันเลือกระเบิดตัวเองในฉับพลัน
เสียงครึกโครมดังก้องกลายเป็นแรงปะทะรุนแรงผลักซูหมิงรวมถึงเข็มทิศไกลออกไป ตอนนี้เองร่างเด็กหนุ่มก็อยู่ในแรงปะทะเช่นกัน อาภรณ์ปลิวไสวอย่างรวดเร็ว แต่ตัวเขายืนอยู่ในจุดที่รุนแรงที่สุดของแรงปะทะ แววตาประหลาดใจ
“ไมอยากเชื่อว่าจะ…ระเบิดตัวเอง? นี่ไม่ใช่สัตว์วิญญาณ นี่มัน…ผู้ฝึกฌานรึ?” ขณะเด็กหนุ่มพึมพำ ดวงตาพลันขยับประกาย เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นเขาก็ยังคาดไม่ถึงว่าพวกสุนัขข้างกายซูหมิงจะเป็นผู้ฝึกฌาน!
ดวงตาซูหมิงเกิดเส้นเลือดฝอย ไม่พูดอะไร แต่ในใจตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารรุนแรง แม้ต้าไป๋จะเคยเป็นศัตรู แต่หลังจากถูกตาแก่เปลี่ยนให้เป็นสุนัขใหญ่สีขาวแล้วก็เคารพซูหมิงมาก ตอนนี้ถูกบีบให้ระเบิดตัวเองต่อหน้าตน ภาพนี้…เดิมทีไม่ส่งผลถึงจิตใจเขา ทว่าความรู้สึกอ่อนแอยามเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่งทำให้เขานึกถึงใบหน้าเหล่านั้นในความทรงจำจากโลกซางเซียง นึกถึงภาพการตายของทุกคนภายใต้การโจมตีครั้งเดียวของเสวียนจั้ง
ตอนนั้นเขาอ่อนแอ!
ยามนี้เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นแล้ว ซูหมิงเงยหน้าเปล่งเสียงคำรามในขณะที่เข็มทิศยังคงพุ่งต่อไป
“สำนักเอกะเต๋า สำนักเอกะเต๋า!”
การระเบิดตัวเองของต้าไป๋ แรงปะทะที่เหนือความคาดหมายของเด็กหนุ่มนั้น แม้จะสั่นคลอนร่างเด็กหนุ่มไม่ได้ แต่สำหรับซูหมิงแล้ว แรงผลักจากแรงปะทะกลับทำให้เข็มทิศใต้เท้าเปิดฟ้าดินที่ถูกผนึกออกเล็กน้อย ความเร็วเพิ่มขึ้น พริบตาเดียวก็แสนลี้
‘หนีได้เร็วมาก แต่ว่า…หืม?’ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองซูหมิงไกลๆ พลางยิ้มเยาะมุมปาก ก่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวจะตามไป ทว่าเขาหยุดชะงักโดยพลัน รอบตัวเขาหรือพูดได้ว่าในระยะล้านลี้มีหิมะตก
เมื่อหิมะไม่มีสิ้นสุดโปรยปรายลงมา ควมหนาวเหน็บพลันแผ่คลุมไปโดยรอบ ซูหมิงนอกระยะแสนลี้ก็เห็นหิมะตกในขณะที่เข็มทิศกำลังเคลื่อนตัวเช่นกัน
“วันนี้ขอตอบแทนบุญคุณที่เจ้าไม่เข้าประตูในตอนนั้น จากนี้เจ้ากับข้าสองคนไม่ติดค้างกันอีก” ช่วงที่เสียงสตรีดังแว่วมาจากฟ้าดิน ซูหมิงก็จำเสียงนี้ได้ทันที นั่นคือเซียนเยือกเย็น
หลังเสียงดังกังวาน หิมะในระยะล้านลี้พลันตรงมาที่ซูหมิงพร้อมกัน รวมกันเป็นปราการหิมะยักษ์ข้างหลัง ขณะเดียวกันผนึกฟ้าดินในระยะล้านลี้พังทลายลง ทำให้ความเร็วเข็มทิศของซูหมิงกลับมาเป็นปกติทันที
“ที่แท้ก็เซียนเยือกเย็น ไม่ได้เจอกันนาน…แต่เจ้าขวางข้าแบบนี้ หรือว่าสนใจเขารึ?” ชั่วขณะที่เสียงเด็กหนุ่มดังแว่วมาเนิบๆ ซูหมิงบนเข็มทิศห้อทะยานไกลออกไปแล้ว ได้ยินเสียงเย็นชาของเซียนเยือกเย็นดังแว่วมาเบาๆ จากข้างหลัง
“ข้าติดค้างบุญคุณเขา สหายหลินถอยไปได้หรือไม่”
ซูหมิงไม่ได้ยินคำพูดต่อจากนี้แล้ว เข็มทิศที่เขาอยู่บินจากไปไกล เขานั่งขัดสมาธิบนเข็มทิศ เงียบมาตลอดทาง แต่ความบ้าคลั่งกับจิตสังหารในแววตากลับเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอบอวลไปทั่วร่าง ส่งผลให้กลิ่นอายมารในตัวเขาเหลือล้น
‘ข้าจะต้องได้ผลเต๋ามา เมื่อกินไปแล้วจะมีพลังเต๋าสูงศักดิ์…ตอนนั้น ข้าจะไม่รู้สึกอ่อนแออีก!
สำนักเอกะเต๋า สำนักเอกะเต๋า…หากไม่ทำลายสำนักนี้ข้าจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด ข้าสู้มหาเต๋าสูงศักดิ์ไม่ได้ แต่ในชั้นสอง ชั้นสาม ข้าจะให้สำนักเอกะเต๋าต้องชดใช้!
กระทั่งหากจากบรรลุเต๋าสูงศักดิ์แล้วเจอกับหลินตงตงอีก ข้าจะให้เขา…ต้องชดใช้เช่นกัน!’ จิตสังหารในแววตาซูหมิงน่าตกใจ ขณะพึมพำในใจ เขาเห็นอยู่ไกลลิบว่าเป็นจุดรวมพลของสำนักเจ็ดจันทรา
ตอนนี้ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราสองแสนคนมาอยู่ที่นี่เพียงเจ็ดแปดหมื่นคน กู่ไท่ก็อยู่ที่นี่ ตอนที่พวกเขาเห็นเข็มทิศของซูหมิงบนฟ้าต่างก็เพ่งสายตามองทันที ทว่ากู่ไท่สังเกตเห็นจิตสังหารที่เข้มข้นถึงขีดสุดจากตัวซูหมิงในฉับพลัน
เขาไม่ถาม ในมิติชั้นหนึ่งอันวุ่นวายมักจะเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยครั้ง มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพราะมีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงกระตุ้นจิตใจเข้มแข็งของคนได้
เมื่อเข้ามาใกล้จุดรวมพลสำนักเจ็ดจันทรา เข็มทิศใต้เท้าซูหมิงหายไป ส่วนตัวเขาพุ่งไปยังคนสำนักเจ็ดจันทรา จนเมื่อเข้ามาใกล้แล้ว เขาเงียบ นั่งลงบนพื้น หลับตา ควบคุมจิตสังหารที่เหมือนจะปะทุออกมา
เวลาผ่านไปช้าๆ ผู้อาวุโสใหญ่สำนักเจ็ดจันทรทุกคนรวมถึงกู่ไท่พาคนออกไปข้างนอกเป็นบางครั้ง แผ่นหยกของกู่ไท่ขยับแสงต่อเนื่อง เป็นการส่งข่าวให้กับสำนักพันธมิตร
ด้วยพลังของพันธมิตร จึงรับประกันได้ว่าในมิติชั้นหนึ่งนี้สำนักเจ็ดจันทราจะเข้าไปชั้นสองได้อย่างราบรื่น เวลาผ่านไปพริบตาเดียวก็สิบกว่าชั่วยาม ใกล้จำกัดสามสิบหกชั่วยามมากขึ้นเรื่อยๆ กู่ไท่มีสีหน้าจริงจังมากขึ้น ศิษย์สำนักเจ็ดจันทราโดยรอบไปๆ มาๆ ไม่ขาดสาย บางครั้งมีแสนกว่าคน บางครั้งก็เหลือเพียงหลายพันคน
จนหนึ่งชั่วยามสุดท้ายมาถึง จำนวนศิษย์สำนักเจ็ดจันทราลดน้อยลงจนไม่ถึงแสน เหมือนว่าตายไปครึ่งหนึ่ง แม้จะไม่เห็นศพ แต่ดูจากสีหน้าคนอื่นก็รู้ได้ถึงความอนาถา
ลำแสงแสนกว่าสายกลางฟ้าดินนี้พูดได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดทุกเค่อ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีสำนักใดมีแท่นบวงสรวงถึงห้าหมื่น จนถึงสุดท้าย ในที่สุดหนึ่งชั่วยามสำคัญที่สุดก็ผ่านไป ลำแสงแสนกว่าสายในมิติชั้นหนึ่งขยับไหว ขณะเดียวกันลำแสงแสนสายนี้พลันรวมกันเป็นน้ำวนยักษ์แห่งหนึ่งบนฟ้า
ช่วงที่น้ำวนหมุนโคจรส่งเสียงดังสนั่น ภายในปรากฏหลุมดำยักษ์อีกแห่ง จากนั้นในลำแสงแสนสายมีอยู่เกือบสามหมื่นสายมอดดับไป ในเวลาเดียวกันมีแรงดูดรุนแรงส่งมาจากในหลุมดำนั้น มันไม่ได้ลงมายังแผ่นดินทั้งหมด แต่ลงมายังพื้นที่อยู่ของสำนักเอกะเต๋า ทำให้ผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าทุกคนลอยขึ้นไปยังหลุมดำน้ำวนนั้น
ต่อมามีลำแสงอีกเกือบสามหมื่นสายมอดดับลง ฝ่ายอุสรากลายเป็นฝ่ายที่สองที่มีสิทธิ์เข้าชั้นสอง เมื่อผู้ฝึกฌานฝ่ายอสุราเข้าไปในหลุมดำแล้ว ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าเป็นกลุ่มที่สามก็คือ…สำนักเจ็ดจันทรา!
หลังจากลำแสงมากกว่าหมื่นสายหายไป สำนักเจ็ดจันทรารวมถึงซูหมิงพลันรู้สึกถึงแรงดูดจากน้ำวนบนฟ้า ร่างพวกเขาลอยขึ้นโดยพลัน พุ่งตรงไปหาหลุมดำน้ำวน
หลังจากสำนักเจ็ดจันทราเหลือลำแสงอีกสามหมื่นกว่า ไม่มีสำนักใดมีลำแสงเกินกว่าหนึ่งหมื่นแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะศักยภาพสำนักอื่นไม่ผ่าน แต่เป็นเพราะผลพิสูจน์เต๋าในครั้งนี้มีอยู่สามฝ่ายใหญ่ๆ เพราะเกิดการชิงบัลลังก์ขึ้น ภายใต้การแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กันและกัน พวกเขาจึงละทิ้งโอกาสนี้
มิเช่นนั้นแล้วด้วยการขัดขวางของสำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุรา ครั้งนี้สำนักเจ็ดจันทราคงจะยากได้สิทธิ์เข้าชั้นสอง
ชั้นสองตอนนี้มีเพียงสำนักเอกะเต๋า ฝ่ายอสุราและสำนักเจ็ดจันทรา พวกเขาอยู่ที่นี่ ทำการเข่นฆ่าอย่างบ้าคลั่ง นำชัยชนะมาเพื่อให้ศิษย์ในสำนักได้เข้าชั้นสามก่อน!
ถึงอย่างไรศิษย์ที่เข้าไปก่อนจะมีโอกาสได้ผลเต๋ามากกว่าคนที่เข้ามาทีหลังไม่น้อย นี่คือโอกาส หากค่อยๆ เปลี่ยนโอกาสให้กลายเป็นข้อได้เปรียบ สุดท้ายก็จะชิงผลเต๋ามาได้สำเร็จ!
‘สำนักเอกะเต๋า!’ ในมิติชั้นสอง เมื่อผู้ฝึกฌานเกือบสี่แสนคนจากสามสำนักใหญ่เข้ามาแล้วก็ยังถูกกระจายกันเหมือนชั้นหนึ่ง จิตสังหารในแววตาซูหมิงขยับประกาย ยามที่มองไปรอบๆ เขาเห็นว่ามิติชั้นสองไม่ใช่ซากปรักหักพังกว้างใหญ่อีก แต่เป็นหินนับไม่ถ้วนที่ลอยอยู่บนฟ้า
หินเหล่านี้ลอยอยู่เหมือนชื่อมกับปลายขอบฟ้า กว้างไกลไม่มีที่สิ้นสุด เห็นได้ชัดว่าชั้นสองต้องผ่านหินเหล่านี้ไปเรื่อยๆ จนขึ้นไปบนฟ้า