Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1446
ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราหมื่นกว่าคนพุ่งขึ้นไปข้างบนภายใต้การนำของเต้าหานและสวี่จงฝาน จุดที่ผ่านจะเกิดการเข่นฆ่าไม่มีสิ้นสุด เสียงครึกโครมดังกึกก้อง ฟ้าดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
จนกระทั่งข้างบนพวกเขาปรากฏแท่นหินยักษ์อีกแห่ง แท่นหินนี้มีขนาดราวแสนจั้ง ด้านบนมีผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนกำลังรบกัน มองไปมีฝ่ายอสุรา สำนักเอกะเต๋า และยังมีกองทัพใหญ่ที่นำโดยผู้อาวุโสใหญ่หลายคนจากสำนักเจ็ดจันทรา
เพียงแต่ว่าสำนักเจ็ดจันทราดูอ่อนแอกว่าอย่างเห็นได้ชัด กำลังถูกบีบให้ถอยไปเป็นจังหวะ ทำให้สนามรบบนแท่นหินกลายเป็นการจู่โจมฝ่ายเดียวของสำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุรา
จนเมื่อเต้าหานพาผู้ฝึกฌานหมื่นกว่าคนมาถึงก็ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกฌานคนอื่นบนแท่นราบทันที เมื่อมีคนมองมาเรื่อยๆ ผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราจึงตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“ฆ่า!” เสียงคำรามต่ำดังแว่วมาจากสำนักเอกะเต๋า ฝ่ายอสุราเองก็เหมือนตัดสินใจอย่างเด็ดขาดแล้วจึงไม่ยุ่งกับสำนักเอกะเต๋าอีก แต่พุ่งตรงไปยังผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทรา เห็นได้ว่าสองสำนักนี้จะร่วมมือกันกำราบสำนักเจ็ดจันทราก่อน
ถึงอย่างไรมองจากความได้เปรียบ สำนักเจ็ดจันทราที่มีกู่ไท่ย่อมมีข้อได้เปรียบอย่างแน่นอนในมิติชั้นสอง
แทบเป็นช่วงที่เสียงเข่นฆ่าจากสามฝ่ายดังกึกก้อง เต้าหานดวงตาขยับประกายวาววับ ก่อนบินออกไปพร้อมเอ่ยเสียงดังขึ้นในใจซูหมิง
“ที่นี่คือฟ้าชั้นหก ข้างบนเป็นชั้นเจ็ดแปดเก้า ทุกชั้นจะมีแท่นราบที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เจ้าสำนักอยู่ที่นั่น ไม่รู้ว่าอยู่ชั้นใด พวกข้าจะขวางคนอื่นไว้ที่นี่เอง เจ้า…รีบไป!” เต้าหานพูดจบก็พาผู้ฝึกฌานสำนักเจ็ดจันทราบุกเข้าไปในกองทัพสำนักเอกะเต๋ากับฝ่ายอสุรา ตอนนี้เองเกิดเสียงครึกโครมดังสนั่นฟ้า
ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองข้างบนแวบหนึ่ง ตรงนั้นมีมวลอากาศไม่มีสิ้นสุดกั้นไว้ เขาเห็นรางๆ ว่าข้างบนยังมีแท่นหินที่ใหญ่กว่าอีกก้อนหนึ่ง เพียงแต่ว่าระยะทางไม่ใกล้ จะไปถึงต้องใช้เวลาเล็กน้อย
เขาขยับวูบไหวอย่างไม่ลังเล พาสุนัขใหญ่สี่ตัวพุ่งขึ้นฟ้าชั้นเจ็ดไปในฉับพลัน แต่ช่วงที่เขาบินขึ้น กลับมีร่างเงาหนึ่งบินออกมาจากในฝ่ายอสุราและสำนักเอกะเต๋า พุ่งตรงมาที่เขา ร่างเงาสองคนนี้เป็นชายหญิง มีพลังเต๋าสูงศักดิ์
ช่วงที่บินออกมาได้ฉีกฟ้าลากยาวราวกับดาวตกทวนวงโคจรสองดวงพุ่งขึ้นจากพื้นดิน หมายจะชนกับมวลอากาศ ขณะเดียวกับที่เข้าใกล้ซูหมิงอย่างรวดเร็วนั้นได้ปะทุพลังและวิชาอภินิหาร เต๋าสูงศักดิ์จากสำนักเอกะเต๋าเป็นชายชรา หน้ามืดทะมึน ชั่วขณะที่ลงมือปรากฏจุดดารารอบตัว ประหนึ่งว่าปรากฏผืนฟ้าในทันใด ดาวทุกดวงในผืนฟ้านั้นล้วนเป็นอภินิหารของเขา
ส่วนสตรีจากฝ่ายอสุราข้างๆ ดูจากอายุแล้วราวๆ ยี่สิบปี แต่ความเย็นชาในดวงตารวมถึงความรู้สึกถึงกาลเวลาเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวประหลาด ยามนี้บินออกมาโบกมืองาม ตรงข้อมือปรากฏกระดิ่งใบเล็กพวงหนึ่ง เสียงกระดิ่งไพเราะดังกังวาน ภายในมวลอากาศรอบตัวนางปรากฏหงส์เป็นสีสันนับไม่ถ้วน ระหว่างที่วนเวียนรอบตัวนางก็พุ่งตรงไปหาซูหมิงพลางร้องเสียงแหลม
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายเย็นชา สุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวมีสองตัวพุ่งไปยังสตรีจากฝ่ายอสุราคนนั้น อีกสองตัวดวงตาดุร้าย พุ่งเข้าไปใกล้ชายชราสำนักเอกะเต๋าที่เข้ามาใกล้ เสียงอึกทึกสะเทือนฟ้าดิน กลายเป็นแรงปะทะกระจายไปรอบๆ
เหมือนกับเกิดพายุคลั่งขึ้น ชายชราจากสำนักเอกะเต๋าหรี่ตาลง แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่เพิ่งตื่นตกใจสุนัขใหญ่สีขาวข้างกายซูหมิง ยามนี้ถอยไปอย่างรวดเร็ว ร่างเงาซูหมิงเหยียบเข็มทิศมาปรากฏข้างหลังชายชราในพริบตาแล้วก็ยกมือขวาขึ้นกด ตอนนี้เองชายชราหมุนตัวกลับ นัยน์ตาเผยจิตสังหาร ยกมือซ้ายขึ้นตาม ปรากฏดารานับไม่ถ้วนตรงหน้าเขาโดยพลัน จากนั้นดิ่งตรงไปหาซูหมิง
เสียงระเบิดดังสนั่นฟ้าอีกครั้ง ซูหมิงโลหิตไหลจากมุมปาก ทว่ากลับไม่ถอยแต่บุกเข้าไป ส่วนชายชราสำนักเอกะเต๋ามีสีหน้าตกใจกลัวเสี้ยวหนึ่ง การโจมตีเมื่อครู่นี้ เขารู้สึกชัดว่าพลังตนหายไปมากกว่าหนึ่งส่วน ที่หายไปไม่ได้ไหลเข้าสู่มวลอากาศ แต่ถูกองค์ชายสามตรงหน้าสูบไป
เหตุการณ์นี้ทำให้เขาตื่นตัวขึ้นมาทันใด ตอนนี้เห็นซูหมิงไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ชายชราจึงหรี่ตา ชั่วขณะที่จะถอยไปนั้น สุนัขใหญ่สีขาวสองตัวเข้ามาใกล้จากซ้ายขวาแล้ว
เกิดเสียงอึกทึกสะเทือนฟ้าอีกครั้ง ระหว่างที่ระลอกคลื่นบิดเบี้ยวเป็นชั้นๆ นัยน์ตาชายชราฉายแววตื่นกลัว กระอักเลือดมาคำหนึ่งแล้วถอยไปอย่างรวดเร็ว ส่วนซูหมิงไล่ตามอยู่ข้างหลังด้วยสีหน้าเย็นชา
ตอนนี้ชายชราตกตะลึงแล้ว การปะทะกันก่อนหน้านี้ เขาสังเกตเห็นได้ทันทีว่าพลังตนถูกสูบหายไปมากกว่าสองส่วน รวมกับก่อนหน้านี้แล้วหายไปสามส่วน นี่ทำให้เขาที่เห็นซูหมิงไล่ตามมาถึงตื่นกลัว ตอนนี้ถอยหนีโดยไม่สนใจฐานะแล้ว
ดังนั้นในมุมมองคนอื่นชายชราจึงเหมือนกลัวซูหมิง กำลังถอยหนีอย่างเร็วไว สตรีฝ่ายอสุราเห็นภาพนี้แล้วก็มีสีหน้าจริงจัง ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ เต๋าสูงศักดิ์คนหนึ่งถูกผู้ฝึกฌานวิญญาณเต๋าล่าสังหาร เรื่องนี้มันเหนือความคาดหมายเกินไป!
ซูหมิงมองชายชราที่กำลังหนีอย่างรวดเร็วอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนละสายตากลับมามองสตรีฝ่ายอสุราที่กำลังมองเหตุการณ์นี้ แม้นางจะมีพลังเต๋าสูงศักดิ์ แต่ช่วงที่ซูหมิงมองมา นางนึกถึงสีหน้าตื่นกลัวของชายชราสำนักเอกะเต๋าจึงถอยไปหลายก้าวโดยจิตใต้สำนึก
ซูหมิงไม่ได้ไล่ตามต่อ แต่เมื่อละสายตากลับแล้วก็พาสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัวบินขึ้นฟ้าไป ตอนนี้ไม่มีใครกล้าขวาง บรรยากาศพิลึกอบอวลในใจผู้ฝึกฌานบนสนามรบที่เห็นซูหมิงล่าสังหารเต๋าสูงศักดิ์ก่อนหน้า
สตรีฝ่ายอสุราก็ไม่ได้ขวางซูหมิง ส่วนชายชราเต๋าสูงศักดิ์ที่ตอนนี้ถอยไปพันจั้งหน้าซีดขาวแฝงไว้ด้วยความมืดทะมึน แต่กลับเพียงแค่มองซูหมิงจากไป กระทั่งตอนที่เห็นซูหมิงไปแล้วจริงๆ นั้น ยังถอนหายใจโล่งอกอยู่ภายใน
แม้ความรู้สึกนี้จะอึดอัด แต่พอนึกถึงอภินิหารน่าสะพรึงของซูหมิงแล้ว ชายชราพลันตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าภายภาคหน้าหากพบองค์ชายสามจะไม่ล่วงเกินง่ายๆ อย่างเด็ดขาด
‘คนนี้…ชั่วร้ายเกินไป พลังที่หายไปสามส่วนไม่ได้หายไปธรรมดา แต่ถูกสูบไป ข้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสุดพันปีถึงจะเติมเต็มกลับมาได้’ ชายชรารู้สึกขมขื่นเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลายเป็นหนึ่งในความคิดที่หวาดกลัวต่อซูหมิง
ซูหมิงพาสุนัขใหญ่สีขาวกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งขึ้นไป ราวครึ่งก้านธูปต่อมาก็เห็นแท่นราบยักษ์ของฟ้าชั้นเจ็ด
ตอนนี้บนแท่นราบมีผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนกำลังรบกัน ขวางไม่ให้อีกฝ่ายขึ้นข้างบน ขวางไม่ให้ใครขึ้นไปยังฟ้าชั้นแปด
แทบเป็นพริบตาที่ซูหมิงปรากฏตัว ทันใดนั้นมีผู้ฝึกฌานเห็นซูหมิงแล้วใช้อภินิหารโจมตีเข้ามาจำนวนมาก ตอนนี้สุนัขใหญ่สีขาวรอบตัวซูหมิงวิ่งวนรอบตัวเขากลายเป็นแสงสีขาว หลังอภินิหารเหล่านั้นปะทะแสงสีขาวแล้วก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซูหมิงกระโดดลอยขึ้นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เขาไม่ได้ไปฟ้าชั้นแปด แต่ทำการสังหารบนพื้นดิน
เขาสังหารเพียงผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋า ส่วนฝ่ายอสุรา เว้นแต่จะลงมือก่อน มิเช่นนั้นจะไม่มองแม้แต่หางตา ระหว่างทางในหลายหมื่นคนมีสุนัขใหญ่สีขาวสี่ตัววนรอบ ซูหมิงบุกไปเหมือนไม่มีอะไรหยุดยั้งได้ ข้างหลังกองเป็นศพแห้งจำนวนมาก พลังชีวิตและขั้นพลังของผู้ฝึกฌานเหล่านี้ถูกตราประทับมือขวาสูบไปทั้งหมด
แส้ดาราตวัดไปมา เกิดเสียงกึกก้องรอบตัวซูหมิง ทุกการฟาดหนึ่งครั้งจะทำให้ผู้ฝึกฌานโดยรอบมีสีหน้าหวาดกลัวราวกับเสียวิญญาณไป ซูหมิงจึงบุกเข้าไปได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งมีดวงตาคู่หนึ่งประหนึ่งสายฟ้ามองมาที่ซูหมิงจากในกลุ่มคนไกลๆ เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง ปล่อยมือขวาจากคอผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าตรงหน้า ไม่สนใจศพแห้งที่ล้มลงกับพื้น แต่หันหน้ากลับมองไปยังที่มาของดวงตานั้นบนสนามรบที่มีผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนกำลังเข่นฆ่ากัน
เขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง สวมชุดคลุมใหญ่สีเหลือง หน้าตาหล่อเหลา ยืนอยู่ตรงนั้นมีผู้ฝึกฌานคุ้มกันอยู่รอบๆ มือขวาถือหมวกใบหนึ่ง นั่นคือหมวกที่มีเขาน่ากลัวสองเขา ยามเส้นผมยาวแกว่งไกว ดวงตาเขากับซูหมิงเพ่งมองกันผ่านสนามรบ
“น้องเล็ก!” ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก เอ่ยราบเรียบ เสียงดังแว่วไปทั่วสนามรบเข้าถึงหูซูหมิง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ พลังองค์ชายรองคนนี้ยังไม่ถึงเต๋าสูงศักดิ์ แต่บรรลุวิญญาณเต๋าขั้นห้า ห่างจากเต๋าสูงศักดิ์อีกก้าวเดียว แต่จะเห็นได้ชัดว่าก้าวนี้ไม่ง่าย ดังนั้นผลเต๋านี้จึงเป็นของที่สำคัญกับเขาอย่างยิ่ง
“เราไม่ได้พบกันแบบนี้มานานมากแล้ว น้อยชายที่รักของข้า” ชายหนุ่มสวมชุดคลุมสีเหลืองตัวใหญ่กล่าวเสียงเบา ตอนนี้เองชายชราสี่คนข้างกายเขามองซูหมิง
ชายชราสี่คนนี้มีพลังเต๋าสูงศักดิ์!
“องค์ชายใหญ่อยู่ชั้นแปด ในเมื่อเจ้ากับข้าพบกันที่นี่ ตามเจตนาเดิมแล้วก็ควรให้เจ้าไปชั้นแปด แต่ว่า…พอพบเจ้าแล้วข้ากลับเปลี่ยนใจ เจ้า…อยากสู้กับข้าหรือไม่?” ดวงตาซ้ายชายหนุ่มชุดคลุมเหลืองเปล่งแสงหม่น แต่ดวงตาขวาขุ่นมัว เหมือนซ่อนน้ำวนเอาไว้ ยามนี้มองซูหมิง คำพูดกึกก้องสนามรบแห่งนี้ ทำให้ผู้ฝึกฌานระหว่างซูหมิงกับองค์ชายรองพากันหลีกทางเหมือนควบคุมตัวเองไม่ได้ เปิดเป็นเส้นทางสายหนึ่ง