Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1459
ให้โลหิตสาดนภา!
ซูหมิงในตอนนี้ไม่มีแขนสองข้าง แต่การกระทำที่ใช้ปากฉีกยันต์แผ่นนั้นมีความยึดมั่น มีคำสัญญา และยังมีความใจร้อนที่ช่วงหลายปีมานี้หายไปจากตัวเขา!
เหมือนว่าความใจร้อนในครั้งก่อนจะเกิดขึ้นในเผ่าเขาทมิฬตอนยังเยาว์วัย ตนถูกท่านปู่ขังไว้ในบ้านไม่ให้ร่วมสงครามแห่งเขาทมิฬ ซูหมิงในตอนนั้นเคยบ้าคลั่งตาแดงก่ำ ตอนนี้ เขาเป็นเช่นนั้นอีกครั้ง
เดิมทีมันไม่ควรเกิดขึ้นในชีวิตตอนนี้ เพราะกาลเวลาผ่านมานานมากแล้ว ซูหมิงไม่ใช่เด็กน้อยในตอนนั้นแล้ว สติปัญญาเขาสูงส่งพอจะควบคุมความใจร้อนได้ เพียงแต่ว่า…คน ก็ไม่อาจเข้าใจได้ทุกเรื่อง บางครั้ง…ต้องเดินไปตามหัวใจตัวเอง
หากจะช่วยต้นพิสูจน์เต๋าฉีกฟ้าอย่างเยือกเย็น ซูหมิงก็ไม่ควรสู้สุดชีวิตเพื่อเด็กชายเฮ่าเฮ่าแบบนี้ ถึงอย่างไรคนก็มีความเห็นแก่ตัว แม้เด็กชายนามเฮ่าเฮ่าจะเคยช่วยเขาก็ตาม
แต่หากยอมจ่ายทุกอย่างเพียงเพราะอีกฝ่ายเคยช่วยตน มิหนำซ้ำ…นั่นยังมีอันตรายเป็นตายที่คาดการณ์ไม่ได้อีก สำหรับซูหมิงที่มีความยึดมั่นปรารถนาจะคืนชีพใบหน้าคุ้นเคยทั้งหมดแล้ว บางทีเขาไม่ควรทำแบบนี้
เพราะการฉีกยันต์นั้นย่อมมีอันตราย หากถึงแก่ชีวิต ความพยายามทุกอย่างที่เขาทำมาก่อนหน้าจะสูญเปล่า มองจากมุมคนมีสติปัญญา ไม่ว่ามองอย่างไร ซูหมิงทำแบบนี้ก็ดูโง่เขลาอย่างยิ่ง
แต่ว่า…บางครั้งสติปัญญาไม่ใช่ทุกอย่าง ความเยือกเย็นไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ละอายใจต่อตัวเอง!
การทำสิ่งที่ไม่ละอายใจต่อตนเองพูดเหมือนง่าย แต่จะทำจริงๆ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะทำตามความรู้สึกในใจตัวเอง สำหรับผู้มีบุญคุณแล้ว ต่อให้อันตรายก็ต้องตอบแทน ที่มากกว่านั้นคือเพราะเสียงของเฮ่าเฮ่าที่อยากกลับบ้านสะเทือนใจซูหมิงอย่างยิ่ง
เจ้าช่วยข้า ข้าช่วยเจ้า หรืออาจจะ…ข้าช่วยเจ้า เจ้าช่วยข้า ประโยคง่ายๆ แต่หากทำภายใต้สติปัญญาเหมือนจะเป็นเรื่องยากมาก โดยเฉพาะราคาต้องจ่ายที่มหาศาล แต่ซูหมิงก็ยังเลือกแบบนี้
ซูหมิงในตอนนั้นไม่ได้ตรึกตรองถึงความถูกผิด ไม่ได้ใคร่ครวญถึงความคุ้มค่า เขาเพียงแค่อยากช่วยเด็กคนนั้นจากส่วนลึกในใจก็เท่านั้นเอง อยากช่วยให้เขา…กลับบ้าน
ยามนี้มวลอากาศเกิดเสียงครึกโครม เมื่อร่างเงาซูหมิงลอยลงมา เมื่อเขาฉีกยันต์แผ่นนั้น รอยถลอกผนึกพลันแตกออก ก่อนเผยเป็นช่องโหว่หนึ่ง!
ทันทีที่ช่องโหว่นี้ปรากฏขึ้น ทั้งมิติชั้นสามพังทลายลงทันที มวลอากาศพังพินาศแฝงไว้ด้วยการทำลายล้างที่ฝังทุกชีวิตได้ ช่วงที่กวาดล้างไปรอบๆ ร่างซูหมิงตกลงมาข้างล่าง ทว่าตอนนี้ข้างกายเขามีร่างเงาขยับวูบวาบ เด็กชายนามเฮ่าเฮ่าได้เห็นทางกลับบ้านอย่างชัดเจนแล้ว
ทว่าเขาไม่ได้เดินหน้าไปทันที แต่มาปรากฏข้างกายซูหมิง กอดร่างซูหมิงเอาไว้
“เจ้าช่วยเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าก็จะช่วยเจ้า…” ช่วงที่เสียงเยาว์วัยดังแว่วเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงยิ้ม เขามองเด็กชายนามเฮ่าเฮ่าที่กอดตนไว้พลางบินขึ้นไปยังรอยถลอกบนฟ้า
“พวกเรา…กลับบ้าน” เฮ่าเฮ่ากล่าวเสียงเบา นัยน์ตาฉายแววปรารถนาต่อบ้านเกิด
“กลับบ้าน” ซูหมิงพึมพำ หลับตาลง เฮ่าเฮ่ากอดร่างเขาพากันเป็นสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในช่องโหว่รอยถลอกราวกับดาวตก
ขณะเดียวกัน มิติชั้นสามพังลงเป็นเสี่ยงๆ พลังทำลายล้างกวาดล้างไปรอบๆ ตอนนี้เองหลินตงตงกับองค์ชายรองและยังมีร่างเงาไร้หัวนั้น สามคนจึงต้องกลายเป็นสายรุ้งยาวมุ่งหน้าไปยังช่องโหว่รอยแตกนั้นพร้อมกับที่มิติชั้นสามถล่มลง
มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดได้ หากอยู่ที่นี่ แม้แต่ขั้นพลังอย่างหลินตงตงยังต้องสิ้นชีพไปพร้อมกับมิติชั้นสาม
ร่างเงาพวกเขาพุ่งเข้าไปในรอยแยก แทบเป็นพริบตาที่พวกเขาหายไปตัวไป ทั้งมิติชั้นสามเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว มิติชั้นสามแหลกสลายหายไปในมวลอากาศท่ามกลางเสียงดังครึกโครม!
เมื่อมิติชั้นสามพังลงก็เหมือนกับดวงตาคนค่อยๆ ปิดลง จนเมื่อหลับตาสนิท โลกเป็นสีดำ ทุกอย่างหายไปราวกับว่าไม่มีอยู่อีก…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร แสงตะวันส่องบนเปลือกตา ประหนึ่งว่าผ่านเปลือกตาเข้ามาหล่อหลอมกับลูกตา ทำให้รู้สึกว่าโลกไม่เป็นสีดำอีก แต่กลายเป็นสีชมพู ซูหมิง…ลืมตาขึ้นช้าๆ
สิ่งแรกที่เห็นคือดวงตะวันอบอุ่นไม่แสบตาบนฟ้าคราม แสงตะวันส่องในดวงตา ตามมาด้วยเสียงเฮ่าเฮ่าดังแว่วมา
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงนั้นมีความเบิกบานใจ ตอนที่ดังแว่วเข้าถึงหูซูหมิง ซูหมิงลุกขึ้นนั่งช้าๆ มองเฮ่าเฮ่าที่นั่งอยู่ข้างกาย
เด็กชายน้อยวัยห้าหกขวบกำลังยิ้มอย่างร่าเริง รอยยิ้มนั้นบิรสุทธิ์มาก เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข แฝงไว้ด้วยความงดงาม เพียงแต่เทียบกับซากปรักหักพังรอบๆ แล้ว เหมือนว่าความงดงามและความสุขนี้จะเป็นสิ่งล้ำค่าที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน
แผ่นดินใหญ่โดยรอบ ซากปรักหักพังมีฝุ่นเกาะ ราวกับว่าถูกฝังอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว
ยังเห็นแม่น้ำภูเขาในอดีตรางๆ ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขแว่วๆ เพียงแต่ลมหายใจต่อมา สิ่งที่เห็นรางๆ หรือได้ยินแว่วๆ กลายเป็นความว่างเปล่าถูกทำลายล้าง หลงเหลือเพียงร่องรอยหลังไฟลุกโหม
กลิ่นอายมรณะอบอวลอยู่รอบๆ บางทีมันอาจไม่ได้เกิดขึ้นจากความตาย บางที…อาจเป็นเพราะที่นี่ไม่มีกลิ่นอายของสิ่งมีชีวิตมานานมากแล้ว ดังนั้นจึงค่อยๆ เกิดความแปลกตา เกิดความเงียบสงบ เกิดกลิ่นอายมรณะ
“ที่นี่…” ซูหมิงละสายตาจากรอบๆ ในดวงตาเขาสะท้อนเป็นซากปรักหักพังทั้งหมดหลังกวาดสายตามองไปรอบๆ ยืนยันได้ว่าที่นี่เคยรุ่งเรืองมาก่อน
“ที่นี่คือบ้านของเฮ่าเฮ่า แต่…หน้าตาเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเลยหาไม่ค่อยจะเจอ แต่ข้าจำแสงตะวันที่นี่ได้ จำคืนมืดที่นี่ได้ และก็จำกลิ่นอายที่นี่ได้” เฮ่าเฮ่าเงียบไปครู่หนึ่งดูจิตตกเล็กน้อย แต่ก็เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ยังคงยิ้มอย่างเบิกบานใจ ราวกับว่าเขานำความทุกข์ทั้งหมดของตนฝังลึกไว้ในก้นบึ้งหัวใจ บอกกับตัวเองอยู่ตลอดว่าต้องมีความสุข ต้องพอใจ เพราะที่นี่คือบ้านของเขา
รอยยิ้มนั้นสะท้อนในดวงตาซูหมิง เขาเหมือนมองเห็นน้ำตา ขณะเงียบอยู่นี้ซูหมิงก็พบว่าแขนสองข้างที่เดิมทีหายไป ตอนนี้กลับมาใหม่แล้ว นี่ทำให้เขาเกิดความคิดบางอย่าง ยามที่มองเฮ่าเฮ่าอีกครั้ง เขาเห็นว่าร่างเฮ่าเฮ่าเลือนรางกว่าก่อนตนหมดสติไปอีก
“เจ้า…” ซูหมิงถอนหายใจเบาแล้วใช้มือขวาลูบหัวเฮ่าเฮ่า เด็กชายวัยห้าหกขวบมองซูหมิงอย่างสบายใจ ภายในสีหน้าและดวงตามีความไว้ใจเด่นชัด
“เจ้าช่วยเฮ่าเฮ่า เฮ่าเฮ่าก็จะช่วยเจ้า” เด็กชายน้อยยิ้มใสซื่อกว่าเดิม ยามที่มองซูหมิง ความไว้ใจในแววตาเขาเด่นชัดยิ่งกว่าเดิม
นี่คือเด็กน้อยที่กลัวความโดดเดี่ยว ซูหมิงเป็นที่พึ่งเดียวของเขา เขาไม่อยากเสียซูหมิงไป เพราะแบบนั้น เขาก็จะกลับไปโดดเดี่ยวอย่างเคยอีก
เขากลัวความโดดเดี่ยวแบบนั้น
ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพยักหน้าให้ ก่อนนั่งขัดสมาธิหลับตาลงช้าๆ ในโลกแปลกตาแห่งนี้ แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกแปลกตามากนัก แต่พลังต่างหากคือทุกอย่าง ยามนี้ขณะนั่งฌาน แทบจะเพิ่งโคจรพลังก็พบว่าพลังที่เฮ่าเฮ่าส่งมาก่อนหน้าถูกหล่อหลอมในร่างกายตนไปเล็กน้อยแล้ว
ถึงจะหล่อหลอมไม่มาก แต่ก็ทำให้เต๋าสูงศักดิ์ขั้นหกในดวงตาที่สามของซูหมิงเกิดเงามายาที่เจ็ด อีกทั้งด้วยพลังมหาศาลในร่างกาย เขาจึงรู้สึกเด่นชัดว่าหากตนหล่อหลอมพลังทั้งหมดได้ เขาจะ…รวมเต๋าสูงศักดิ์ร่างที่แปดออกมาได้ บรรลุขอบเขตมหาเต๋าสูงศักดิ์
เวลาผ่านไปช้าๆ เมื่อถึงยามโพล้เพล้ ฟ้าดินค่อยๆ มืดลง จนกระทั่งมีจุดดาราบนฟ้าค่ำคืน ซูหมิงลืมตาขึ้นเห็นเฮ่าเฮ่ากำลังมองฟ้าด้วยสีหน้าสับสนอยู่ข้างๆ ในความสับสนนั้น ซูหมิงเหมือนเห็นน้ำตาตรงหางตาเฮ่าเฮ่า
แต่ตอนที่เพ่งมองไปกลับไม่มี
เวลาผ่านไปแบบนี้ทีละวัน ครึ่งเดือนต่อมา ซูหมิงพาเฮ่าเฮ่าเดินผ่านซากปรักหักพัง เดินอยู่ในโลกที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ เดินไปแบบนี้เรื่อยๆ
พวกเขาผ่านเมืองรกร้างหลายแห่ง ไม่มีร่างเงาคน แม้แต่พวกองค์ชายใหญ่ยังถูกแยกกันหลังมาถึงโลกนี้ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ใด
“ที่นี่เคยมีทะเลสาบ…” เฮ่าเฮ่ายืนอยู่ตรงริมขอบคล้ายอุโมงค์ธรรมชาติ มองอุโมงค์อยู่พักใหญ่ก่อนพูดเสียงเบา
“ข้ายังจำที่นี่ได้…” เฮ่าเฮ่าหลับตาลง ภายในเสียงคลับคล้ายว่ามีความทรงจำ
ซูหมิงยืนอยู่ข้างๆ มองอุโมงค์ธรรมชาติที่เคยเป็นทะเลสาบ มองรอยแตกกับฝุ่นธุลีภายใน หวนรำลึกถึงอดีตเป็นเพื่อนเฮ่าเฮ่า หลายวันต่อมา ตอนที่พวกเขาจากไป อุโมงค์ธรรมชาติยังอยู่
พวกเขาเดินผ่านซากปรักหักพัง ผ่านแม่น้ำภูเขาในอดีต เดินมาถึงริมทะเล ตอนที่มองไปมหาสมุทรกลายเป็นทะเลทราย มองไปสุดลูกหูลูกตาเหมือนกัน ทว่าสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทนของชีวิต อีกสิ่งหนึ่งเป็นตัวแทนความเงียบสงัด
หนึ่งเป็นเส้นแห่งทะเล อีกหนึ่งเป็นขอบแห่งดินทราย ยังคงกว้างใหญ่ไพศาล แต่สภาพแวดล้อมต่างคนก็ต่าง
“เก้าแผ่นดิน วิญญาณผีเสื้อเก้าตัว พวกมันเคยล้อมรอบกายข้า แต่ตอนนี้…ไม่อยู่แล้ว” เฮ่าเฮ่าก้มหน้าลง ย่อตัวลงคว้าดินทรายที่นี่ขึ้นมา มองไปมองมาพลางพูดเสียงดังก้อง
ซูหมิงถอนหายใจเบา เขาเข้าใจความขมขื่นในใจเด็กชายคนนี้ จึงใช้มือขวาลูบหัวเขาเบาๆ จนกระทั่งเฮ่าเฮ่ายืนขึ้นกอดซูหมิง เด็กชายห้าหกขวบคนนี้เหมือนร้องไห้
“ข้าคือต้นพิสูจน์เต๋า ข้า…ไม่มีน้ำตา แต่ข้าอยากร้องไห้ กลับมาที่นี่แล้ว ในใจข้าเป็นทุกข์…” ผ่านไปนานเด็กชายน้อยเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงพลางพึมพำ
พอได้ฟังเสียงเยาว์วัย ซูหมิงรู้สึกสะเทือนใจอีกครั้ง เขามองเด็กชายน้อย นั่งยองลงกอดเขาเอาไว้กับตัว
“ทุกอย่างจะดีเอง” ซูหมิงอุ้มเขาพลางเดินไกลออกไป เสียงเขายังคงดังกังวานรอบๆ อยู่นานไม่หายไป เหมือนเป็นคำสัญญาที่งดงาม
“พาข้าไปใจกลางที่โอบล้อมด้วยเก้าแผ่นดิน ที่นั่น…คือที่ที่ข้าเกิด” เด็กชายวัยห้าหกขวบที่เอาหน้าซุกบ่าซูหมิงพูดเบาๆ