Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1460
เดินผ่านแม่น้ำภูผา ผ่านซากปรักหักพัง มองไปมีแต่ฝุ่นธุลี มองไปเป็นทะเลทรายทั้งหมด…
เหมือนกับดอกไม้สีสันสวยงามในลมหายใจก่อนหน้าในกาลเวลา แต่ในลมหายใจนี้กลับโรยรา ใบหน้าใครไม่แก่หง่อม ลมหายใจใครยังอยู่ อดีตของใคร…ไม่งดงาม
นั่งอยู่ตรงหน้าซากปรักหักพัง มองตะวันยามอัศดงลาลับฟ้า นั่งอยู่ข้างแม่น้ำภูผา มองยามโพล้เพล้ เสียงหัวเราะเหมือนข้ามผ่านกาลเวลามาดังก้องข้างหูแว่วๆ ทำให้ตอนที่ก้มหน้าลงบ่อยครั้ง จะแยกไม่ออกว่าเป็นความงดงามในอดีตหรือการพังพินาศในตอนนี้ ระหว่างพวกมันมีเหตุและผลอย่างไร แฝงไว้ด้วยวัฏจักรแบบใด ถ้าไม่อย่างนั้น…โลกเหมือนกัน แต่เหตุใดช่วงระหว่างลืมตากับหลับตาทุกอย่างถึงเปลี่ยนไป
ช่วงตะวันแรก ตรงริมทะเลทราย มีร่างเงาซูหมิงอุ้มเด็กชายน้อยอยู่ ช่วงตะวันแรกขึ้น ภายในแม่น้ำภูผาก็มีเงาซูหมิงยืดยาวไป เหมือนจะติดตามไปชั่วนิรันดร์ ราวกับว่ากลายเป็นเงาที่โลกนี้มีอยู่ ชี้นำพายุหิมะให้มาถึง
เดินในยามเที่ยงวัน เดินในสี่ฤดูกาล…
ผ่านทะเลทราย ผ่านแผ่นดินใหญ่ มุ่งหน้าสู่ใจกลาง เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีทิศทาง และก็ไม่ยอมเหาะเหิน เพียงแค่เดินไปในโลกที่เคยงดงามนี้ ราวกับเดินบนเส้นทางแสวงหาเต๋าของตนเอง
หนึ่งปี สองปี สามปี…จนกระทั่งร้อยปี
ในร้อยปีนี้ซูหมิงยังคงรูปลักษณ์เดิม เด็กชายน้อยยังคงอยู่ในอ้อมกอด สองคนไม่เปลี่ยนไป ประหนึ่งว่าโลกนี้ก็ไม่เปลี่ยน ยังคงดังเดิม
ยามฤดูใบไม้ผลิ หมื่นสรรพสิ่งคืนชีพ แต่โลกนี้ไม่เห็นสีเขียว ไม่เห็นดอกไม้ และก็ไม่มีช่วงที่ควรจะหักดอกไม้ ในฤดูร้อน ความร้อนระอุแผ่กระจาย ทั้งแผ่นดินใหญ่ในสายตาถูกคลื่นความร้อนบิดเบี้ยว และก็มีเพียงตอนนี้เท่านั้นถึงจะเห็นว่าในความบิดเบี้ยวของซากปรักหักพังกับแม่น้ำภูเขามีร่างเงาคนจำนวนหนึ่งที่อาจจะเคยมีอยู่ในกาลอดีต
เพียงแต่ร่างเงาบิดรูป ในเมื่ออธิบายไม่ได้ สิ่งที่เห็นจึงเป็นเพียงความทรงจำ
ฤดูใบไม้ร่วง เพราะฤดูใบไม้ผลิไม่มีสีเขียว ดังนั้นในฤดูใบไม้ร่วงจึงไม่เห็นสีแดง มีเพียงกลุ่มเมฆเรืองรองที่จะปรากฏเป็นบางครั้งบนฟ้า คล้ายกับว่าเพราะความจำเจของแผ่นดินใหญ่มันจึงทนไม่ไหว เลยเผยตัวออกมาให้ความหวังกับมวลมนุษย์
ในฤดูหนาว หิมะตก สายลมหิมะพัดผ่านตลอดวัน มองไปโลกเป็นความกว้างใหญ่ มองไม่เห็นไกลๆ เห็นเพียงหิมะที่ไม่รู้จำนวนแน่ชัด ในระหว่างที่โปรยปรายลงมายังอยากจะปะทะกัน ทว่าคนที่ตัดสินใจให้เกล็ดหิมะสองส่วนชนกันหรือไม่นั้นไม่ใช่พวกมัน แต่เป็นสายลม
แต่ไม่ว่าสายลมจะยินยอมหรือไม่ ช่วงที่หิมะตกลงพื้น พวกมัน…ยังคงค่อยๆ ชนกัน เพียงแต่สองฝ่ายที่พบกัน อาจจะไม่ใช่ใบหน้าที่ตกลงมาพร้อมกัน
ในสายลมหิมะ ซูหมิงกอดเด็กชายน้อยเดินไปเรื่อยๆ ผ่านฤดูหนาว เข้าฤดูใบไม้ผลิ ส่งฤดูร้อน หลังเห็นสีแดงฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ยังเป็นวันสายลมหิมะ
กาลเวลาผ่านไปอีกสองร้อยปี พวกเขาเริ่มเห็นซากศพในโลกที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บ้างแหลกละเอียด บ้างเป็นสีเทา บ้างยังคงสภาพก่อนตาย
ซากศพเหล่านั้นส่วนใหญ่แห้งกร้าน บ้างอยู่ในซากปรักหักพังในเมืองจำนวนมาก บ้างกระจัดกระจายอยู่บนพื้นดิน แม่น้ำภูเขาหรือในทะเลทราย
ซากศพนับไม่ถ้วน ในนั้นมีบางส่วนเป็นชายหญิงกอดกันก่อนตาย บ้างก็มารดาปกป้องลูกโดยสัญชาตญาณ กอดกันหวนคืนสู่อากาศธาตุเงียบๆ
ซากศพเหล่านั้นทำให้เด็กชายน้อยเศร้าโศก ซูหมิงจึงฝังพวกเขาด้วยกันกับเด็กชายน้อย ฝังร่างไปทีละเมือง ฝังไปทุกแห่งหน…
จนกระทั่งฤดูร้อนในปีนี้ ยามบ่ายฝนตกพรำๆ ซูหมิงกอดเด็กชายน้อยมาหยุดอยู่หน้าเมืองที่มองไกลๆ ใหญ่ยักษ์ยิ่ง เขาเห็นว่าบนเมืองมีร่างเงาไร้หัวนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
นี่คือเมืองใหญ่ยักษ์เมืองที่สามที่ซูหมิงเห็นบนแผ่นดินที่สาม ที่นี่…คือใจกลางแผ่นดินในอดีต เป็นที่ตั้งเมืองหลวง
เหมือนกับเมืองหลวงแคว้นกู่จั้ง แต่ความจริงแล้วโลกที่เคยรุ่งเรืองในอดีตนี้ แผ่นดินใหญ่หนึ่งแห่งของมันก็เทียบเท่ากับทั้งแคว้นกู่จั้งแล้ว
ซูหมิงมองร่างเงาที่นั่งขัดสมาธิบนเมืองด้วยแววตาซับซ้อน เขาจำได้ นี่คือร่างเงาที่ติดตามข้างกายองค์ชายรอง คือศิษย์พี่ใหญ่ในความทรงจำตน
เพียงแต่ว่าในแคว้นกู่จั้ง เขาไม่ใช่คนที่ซูหมิงคุ้นตาเป็นคนแรก แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น เสียงถอนหายใจเบาจากก้นบึ้งหัวใจก็ยังคงดังก้องในใจ ดังอยู่นานไม่เลือนหาย
ร่างเงาไร้หัวนั้นแน่นิ่ง นั่งขัดสมาธิอยู่บนเมืองประชันหน้ากับซูหมิง แต่ไม่มีพลังชีวิต และก็ไม่มีกลิ่นอายมรณะอบอวล เหมือนว่าถูกผนึกไว้ตรงนั้น กลายเป็น…รูปปั้น
ขณะเดียวกันประตูใหญ่ของเมืองพลันเปิดออกเอง ก่อนมีทหารสวมเกราะดำเดินออกมาช้าๆ ทีละขบวนพร้อมกับเสียงแผ่นดินสะเทือนที่พร้อมเพรียงกัน ทุกร่างเงาในนั้นอัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายมรณะเข้มข้น ความเข้มของกลิ่นอายพลังนี้ทำให้พริบตาเดียวก็ปั่นป่วนฟ้า แสงตะวันยามบ่ายเหมือนกลายเป็นสีดำ
ร่างเงาเหล่านั้น พวกเขาคือคนของแผ่นดินใหญ่นี้ หลังจากตายมาไม่รู้กี่ปี ตอนนี้ถูกหลอมให้เป็นหุ่นเชิดศพ กลายเป็นเกราะดำ ทำให้เมืองแห่งนี้เปลี่ยนจากเมืองมรณะเป็นโลกของหุ่นเชิดศพ
“สหายเก่ามาพบกันในต่างเมือง ข้าดีใจมาก เชิญ!” ทันทีที่ประตูเมืองเปิดออก มีเสียงน่าเกรงขามดังก้องภายในพระราชวังในเมือง ดังกังวานไปรอบๆ จนเข้าถึงหูซูหมิง
เสียงนั้นเป็นขององค์ชายรอง
ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนอุ้มเด็กชายน้อยเดินผ่านหุ่นเชิดศพเกราะดำเหล่านั้น เดินผ่านเข้าไปในเมือง ภายในเมืองเขาเห็นร่างเงานับไม่ถ้วน ร่างเงาเหล่านั้นล้วนเป็นหุ่นเชิดศพ มองแวบแรกทั้งเมืองดูรุ่งเรือง แต่หากมองดีๆ กลับเป็นความว่างเปล่า
ซูหมิงเดินผ่านกลุ่มคนจนมาอยู่นอกพระราชวังในเมือง เขามองประตูวังที่เปิดอ้า มองไปประหนึ่งมองผ่านวิหารแต่ละแห่งจนไปเห็นร่างเงานั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิในตำหนักตรงกลาง
นั่นคือร่างเงาสวมชุดคลุมจักรพรรดิ สวมมงกุฎจักรพรรดิ เพียงแต่ว่าตัวเขาอยู่ในเงามืด จึงมองเห็นไม่ชัดมาก
ซูหมิงเดินไปตามทางหินสีดำเงียบๆ เดินขึ้นบันได จนเดินมาถึงตำหนักตรงกลางก็พบชายผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิ
ใบหน้าเหมือนกับองค์ชายรองทุกประการ แต่ในความรู้สึกซูหมิง ได้เปลี่ยนเป็นความคุ้นเคยในอดีตแล้ว
“ตี้เทียน” ซูหมิงพูดเสียงเบา
“ข้าเอง!” ชายสวมชุดคลุมจักรพรรดิได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ก่อนลุกพรวดขึ้นเดินออกมาจากเงามืด แม้หน้าตาจะต่างกับตี้เทียนในความทรงจำ แต่กลิ่นอายพลังนั้น นอกจากตี้เทียนแล้วก็ไม่มีใครอื่น
ภายในดวงตาขวาตี้เทียนยังคงมีน้ำวน น้ำวนนั้นคลับคล้ายว่าถูกผนึกไว้ เพียงแต่ตอนนี้มีวิญญาณที่กำลังร้องคำรามดิ้นรนถูกผนึกอยูในน้ำวน วิญญาณนั้นก็คือองค์ชายรอง
ในเวลาสองร้อยปี ซูหมิงไม่รู้ว่าตี้เทียนพลิกกลับมาเป็นนายได้อย่างไร แต่ดูแล้วด้วยทักษะของตี้เทียน ด้วยแผนการที่เขาเคยวางต่อซูเซวียนอีมาหมื่นปี อีกทั้งหลังโลกซางเซียงถูกทำลายยังเชื่อมรูปแบบชะตากับซูหมิงผ่านพ้นภัยมาได้ จะเห็นได้ชัดว่า…องค์ชายรองเล็กจ้อยคนนี้ไม่มีทางควบคุมเขาไว้ได้ ขอเพียงให้โอกาส เขาจะมาแทนที่องค์ชายรองได้
“ซูหมิงแห่งซางเซียงตัวที่เจ็ด ผู้ฝึกฌานที่เป็นโอรสสวรรค์สูงสุดในไม่รู้กี่ยุค ได้เห็นซางเซียงถูกทำลายล้างกับตาตัวเอง อยู่ต่อหน้าเสวียนจั้งแล้วยังเลือกลงมือยึดร่าง พวกเรา…ไม่ได้พบกันนานเลย” ตี้เทียนกล่าวเรียบๆ พลางเดินหน้าหนึ่งก้าว เสียงเขาดังกังวานไปรอบๆ สะเทือนทั้งตำหนัก ขณะเดียวกันฟ้าดินข้างนอกยังปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม
“เพราะเจ้าข้าถึงผ่านภัยมรณะมาได้ เพราะเจ้าข้าถึงเข้ามาในโลกมายานั้นด้วย หลายปีมานี้ ข้าถูกองค์ชายรองน่าหัวร่อนั่นกดขี่ แต่ข้าเข้าใจมาตลอดว่าข้าคือตี้เทียน ไม่ใช่องค์ชายรองอะไรนั่น เพราะเขาเป็นเพียงองค์ชาย แต่ข้า…คือจักรพรรดิแห่งเผ่าเซียน!” ตี้เทียนเดินหน้าอีกก้าว หนึ่งก้าวเหยียบลงมายืนอยู่ตรงหน้าซูหมิง สบตากับซูหมิง
“หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าโลกที่พวกเราอยู่ตอนนี้…ต่างกับแคว้นกู่จั้ง? โลกของแคว้นกู่จั้งเป็นของปลอม แต่ที่นี่…คือของจริง!” ตี้เทียนสะบัดแขนเสื้อ ควันดำพลันอบอวล ชั่ววูบเดียวก็กลายเป็นโต๊ะยาวยักษ์ระหว่างเขากับซูหมิง
ข้างบนมีสุราวางอยู่มากมาย รอบๆ ยังมีหุ่นเชิดศพจำนวนหนึ่งล้อมรอบร้องและระบำอยู่ข้างๆ อย่างไร้เสียง เพียงแต่ท่าทางแข็งทื่อ อบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ รวมถึงแสงมืดสลัวของที่นี่ ทำให้ทุกอย่างเต็มไปด้วยบรรยากาศพิลึก
“พบสหายเก่าในต่างแดน มาร่วมงานเลี้ยงกันดีกว่า ซูหมิง เจ้ากล้าดื่มสุราที่นี่หรือไม่?” ตี้เทียนยิ้มเล็กน้อย มองซูหมิงอย่างโอหังดั่งวันวาน
ซูหมิงเงียบ เขาอุ้มเด็กชายน้อยมองตี้เทียนตรงหน้า เริ่มมีสีหน้าเศร้าใจทีละน้อย เขาเศร้าใจตี้เทียนผู้โด่งดังในโลกซางเซียงหลงทางในโลกนี้
หรืออาจพูดได้ว่าเขายอมหลงทางเอง มิเช่นนั้นด้วยความแน่วแน่ทางจิตใจของตี้เทียนแล้ว หากเขาไม่ยอมก็ยากจะหลงทาง
“เจ้า…ทำเพื่ออะไร?” ซูหมิงถอนหายใจเบา สำหรับซูหมิงแล้ว ตี้เทียนเป็นทั้งศัตรูและสหายเก่า รูปแบบชะตาสองคนตัดขาดไปตอนที่ซูหมิงเคาะเสียงวิญญาณเต๋าเก้าครั้งแล้ว แต่ถึงอย่างไร…นี่ก็เป็นคนที่สองที่มีจิตสำนึกจำได้นอกจากเป้ยฉยง แต่ตอนนี้เห็นอีกฝ่ายหลงทาง ความรู้สึกนี้ ซูหมิงได้แต่ทอดถอนใจ
เขามองตี้เทียน สุดท้ายก็มองรอบบัลลังก์จักรพรรดิข้างหลังตี้เทียน เขาเหมือนเห็นคำตอบตรงนั้น
“ซูหมิง เจ้ากล้าดื่มหรือไม่!” ตี้เทียนไม่ตอบคำถามซูหมิง แต่ยิ้มกล่าวขึ้น ดวงตาวาววับ ซูหมิงมองตี้เทียนอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินออกไปนอกตำหนัก
ตี้เทียนข้างหลังหัวเราะเสียงดังกึกก้อง ยิ้มเหมือนกำลังส่งซูหมิง จนกระทั่งซูหมิงออกจากตำหนัก เสียงหัวเราะถึงค่อยๆ หายไป การร้องและระบำในตำหนักยังคงอยู่ ทว่าตี้เทียนกลับมีสีหน้าเศร้าโศกทีละน้อย
เขาหมุนตัวกลับเงียบๆ เดินไปอยู่ข้างบัลลังก์จักรพรรดิ รอบๆ บัลลังก์นั้นมีวงแหวนอาคมหนึ่ง ตอนนี้วงแหวนอาคมอยู่ในแสงอึมครึม เห็นรางๆ ว่ามีศพนอนอยู่หลายร่าง บนใบหน้าทุกร่างมีอักขระเขียนไว้ด้วยเลือด
ตี้เทียนยืนเหม่อมองซากศพเหล่านั้น ความเศร้าโศกทางสีหน้าค่อยๆ หายไป แต่แทนที่ด้วยความแน่วแน่
“ข้าเคยสัญญากับพวกเจ้าว่าจะคืนชีพพวกเจ้าในโลกใหม่นั้น…นี่คือคำสัญญาของข้า!” ตี้เทียนพึมพำ ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้จักรพรรดิช้าๆ ร่างเงากลับไปในเงามืด…มองเห็นไม่ชัด มองไม่เห็น
“มีเพียงข้าที่คิดว่าที่นี่เป็นของจริง หลังพวกเจ้าคืนชีพแล้วต่างหากถึงจะไม่สงสัยว่าที่นี่เป็นของปลอม ให้ข้าหลงทางคนเดียวแลกกับการให้พวกเจ้าคงอยู่ เรื่องนี้…ต่อให้ผิด ข้า…ก็ยอมรับ” ตี้เทียนมีสีหน้าขมขื่น ช่วงที่มองหุ่นเชิดศพที่ร้องและเต้นอย่างไร้เสียงจากในเงามืดนั้น เขาได้เริ่มได้ยินเสียงเพลง หุ่นเชิดที่แข็งทื่อในแววตาเกิดค่อยๆ มีความปราดเปรียวราวกับกลายเป็นสิ่งมีชีวิต เพียงแต่ว่าในสายตา เสียงถอนหายใจเบาของเขาไม่อาจขัดการร้องและเต้น ไม่ดังออกไปนอกตำหนัก ไม่มีใครได้ยิน