Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1462
การดื่มสุราครั้งนี้ เริ่มจากฟ้าสว่างยันยามค่ำคืน จากยามค่ำไปจนฟ้าสาง ดื่มหมดทีละไห ทีละอึก จนกระทั่งยามรุ่งอรุณ ท่ามกลางฟ้าดินสีดำ เหลยเฉินเมาแล้ว เขาหยิบไหสุราของตนขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ ตอนที่วางลงก็หลับตาสนิท
ซูหมิงวางไหสุราลงเงียบๆ มองเผ่าเขาทมิฬรอบๆ มองแสงไฟ เพียงแต่ระหว่างเขากับที่นี่มีความขมุกขมัวขวางอยู่หนึ่งชั้น ซูหมิงรู้ว่าหากตนฉีกความขมุกขมัวนี้ เขาจะหลอมรวมเข้าไปที่นี่
เพียงแต่…ถอนหายใจเบา ทันทีที่ซูหมิงวางไหสุราในมือ เขาหลับตาลง
“เหลยเฉิน ภพก่อนเจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ชีวิตนี้…ข้าจะดื่มสุราเป็นเพื่อนเจ้าจนหมด” ซูหมิงพึมพำ เมื่อลืมตาอีกครั้ง เหลยเฉินยังคงอยู่ตรงหน้าเหมือนเมาแล้ว เพียงแต่ชนเผ่ายังไม่หายไป สายลมหิมะสั่งสมจนหนาหนึ่งชั้น ภูเขาทมิฬไกลๆ เลือนราง เฮ่าเฮ่าก็ปรากฏข้างกายซูหมิง กำลังจับชายเสื้อเขาพลางมองด้วยความตึงเครียด จนกระทั่งเห็นความใสในแววตาซูหมิง เขาเหมือนถอนหายใจโล่งอก
ซูหมิงมองเหลยเฉิน ช่วงที่ก้มหน้าลง ภายในไหสุรายังคงว่างเปล่า ผ่านไปพักใหญ่…ซูหมิงยืนขึ้น ไม่กล่าวใดๆ แต่อุ้มเฮ่าเฮ่าฝ่าพายุหิมะเดินไกลไป
นี่คือการเลือกของเหลยเฉิน เขาเลือกเส้นทางเหมือนกับตี้เทียน เลือกหลงทาง ตี้เทียนยอมหลงทางเพื่อคืนชีพคนข้างกาย เพื่อให้พวกเขาเชื่อว่าโลกนี้เป็นของจริง ส่วนเหลยเฉิน…
เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ เขาเหนื่อย เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง ไม่ยอมเดินต่อไปแล้ว และก็ไม่อยากเดินต่อไปด้วย เพราะในตัวเขาแบกรับความขมขื่นเอาไว้มากมายยิ่งนัก
ซูหมิงถอนหายใจเสียงดังก้องในพายุหิมะ เสียงพายุหิมะเหมือนกลายเป็นร่องหุบเขา กลายเป็นปราการหนึ่งขวางกั้นระหว่างเขากับเหลยเฉินข้างหลัง
และไม่ได้ขวางเพียงสองคนนี้ แต่ยังมีสองโลก…
ในโลกนั้น ซูหมิงเลือกหลงทางระยะสั้นเพื่อเติมเต็มการดื่มสุรากับพี่น้องในภพก่อน หลังดื่มสุราจบ เขาเลือกจากไป เพราะเขามีเส้นทางของตัวเอง เส้นทางนี้ ตี้เทียนเดินไม่จบ เหลยเฉินไม่เดินต่อ แต่ซูหมิง…ยังต้องเดินต่อไป
เมื่อร่างเงาเขาลับไปไกล เหลยเฉินในปราการพายุหิมะนั้นที่เหมือนมึนเมาค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองร่างเงาซูหมิงที่เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
“พี่น้องในภพก่อนแลกเป็นสุราในภพนี้ ซูหมิง…ขอให้เจ้า…เดินทางปลอดภัย” ชั่วขณะที่เหลยเฉินพึมพำก็มีเสียงหัวเราะดังแว่วมาข้างหลัง
“เหลยเฉิน วันนี้นัดดื่มสุรากันไม่ใช่รึ มาๆๆ ครั้งก่อนดื่มชนะเจ้าไม่ได้ ครั้งนี้ข้าไม่เชื่อว่าจะชนะเจ้าไม่ได้อีก” ตอนที่เหลยเฉินหันกลับไป เขาเห็นซูหมิงในดวงตา ข้างกายซูหมิงมีสตรียืนอยู่คนหนึ่ง นั่นคือไป๋หลิง
เหลยเฉินยิ้ม ตอนที่เหลือบตามองร่างเงาซูหมิงเดินไกลออกไป เขาเห็นร่างเงาหายไปในสายลมหิมะแล้ว
“มองอะไรรึ?” เสียงสตรีดังแว่วมาข้างกายเหลยเฉิน ยามที่หันไปมอง เขาเห็นสตรีผู้มีร่างกายกำยำสอดคล้องกับเผ่าหมานในความทรงจำที่ตนในอดีตชอบ ตอนนี้มองไปเหมือนจะงามกว่าเดิมเล็กน้อย
“ฮ่าๆ ไม่ได้มองอะไร เพียงแค่รู้สึกว่าตรงนั้นมีร่างเงาคล้ายกับซูหมิงมาก มาๆๆ พวกเรามาดื่มกัน” เหลยเฉินยิ้มกล่าวขึ้น ซูหมิงที่อยู่กับไป๋หลิงข้างกายเขาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนมองไปนอกพายุหิมะตามสายตาเหลยเฉิน แต่ก็ไม่พบอะไร
“เจ้ามองไม่เห็น เพราะว่าเจ้าคือเจ้าในดวงตาข้า มิใช่โลกในดวงตาเขา” เหลยเฉินส่ายศีรษะพลางพูดขึ้น แล้วหยิบไหสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่
พายุหิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โลกเลือนราง ภูเขาทมิฬรอบๆ เหลยเฉินกับทุกคนข้างกายเขาก็เลือนรางเช่นกัน
เพียงแต่ว่าเป็นอย่างที่เขาว่าไว้ นี่คือโลกในดวงตาเขา…ในพายุหิมะ เด็กชายน้อยข้างกายซูหมิงที่เดินไกลออกไป ยามนี้หันกลับมามอง ตรงสุดสายตาที่ถูกพายุหิมะปกคลุม เขาเห็นรางๆ ว่าเหลยเฉินกำลังเงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง
กาลเวลาค่อยๆ ผ่านไปตามฝีเท้าซูหมิง ผ่านไปอีกร้อยปี ซูหมิงออกจากแผ่นดินดำ มุ่งหน้าไปยังแผ่นดินใหญ่ที่แปด
เดินผ่านทะเลทรายไม่มีสิ้นสุด เมื่อครบปีที่เจ็ดร้อยก็มาอยู่ในเมืองโบราณใจกลางแผ่นดินที่แปด เขานึกถึงคำสัญญาหนึ่ง นั่นคือสัญญาของเทพเต๋าขั้นเก้าสามคนแห่งแคว้นกู่จั้งที่หลังจากต่างฝ่ายต่างปิดด่านนั่งฌานพันปีแล้วจะมาประชันกันที่เมืองหลวง
“มองไม่เห็นแล้ว…” ซูหมิงพึมพำ เขาเดินผ่านเมืองนี้ เห็นหอคอยหนึ่งทางตะวันตกของแผ่นดิน และก็เห็นว่าบนหอคอยนั้นมีร่างเงานั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง
ใบหน้าร่างเงานั้นแปลกตา เป็นซากศพที่เหมือนจะไม่เน่าเปื่อย แทบเป็นพริบตาที่ซูหมิงเห็น ซากศพนั้นพลันลืมตาขึ้น เผยประกายวาวภายใน
“ข้าทำนายมาหกร้อยปีเต็มแล้ว ในที่สุดก็ทำนายว่าเจ้าจะเดินผ่านที่นี่ในวันนี้ได้…องค์ชายสาม เจ้ากลัวว่าข้าจะมีจุดจบแบบนั้น กลัวว่าข้าจะถูกผนึกในโลกนี้ ข้ารอเจ้าที่นี่มาร้อยปีแล้ว…
เจ้าสมควรตายได้แล้ว!” ซากศพนั้นกล่าวเนิบๆ ภายในน้ำเสียงมีความแค้นสุดบรรยาย พูดจบฟ้าดินรอบๆ เกิดเสียงครึกโครม ฟ้าพลันเปลี่ยนสี แผ่นดินขึ้นลง อบอวลไปด้วยหมอกจำนวนมาก หมอกเหล่านี้บิดเบี้ยวลอยขึ้นฟ้า รวมเป็นสัญลักษณ์หมอกยักษ์เหนือร่างเงานั้น!
นั่นไม่ใช่สัญลักษณ์ แต่เป็นตราประทับใหญ่หนึ่งดินแดน!
อักขระด้านบนขยับประกายวาววูบวาบ ระหว่างที่เว้านูนจะเปล่งแสงหม่นรุนแรง ม่านแสงพลันปกคลุมโดยรอบ จะบดบังฟ้าที่นี่ เมื่อเสียงเขาดังกึกก้องก็เหมือนกับฟ้าผ่าดังไปทั่วหล้า
หลินตงตง!
มหาเต๋าสูงศักดิ์แห่งสำนักเอกะเต๋า ผู้แข็งแกร่งที่ปฏิบัติตามเต๋าแห่งดวงชะตา ในโลกที่เคยรุ่งเรืองนี้ เป็นอย่างที่เหลยเฉินบอกไว้ ดวงจิตในร่างองค์ชายใหญ่แยกกันกลายเป็นเหลยเฉิน หลินตงตง แน่นอนว่าจะต้องมี…เมี่ยเซิง!
ความประหลาดของโลกนี้ทำให้พวกเขาแยกออกจากกัน เหลยเฉินเลือกหลงทาง เมี่ยเซิงซูหมิงยังไม่พบ แต่หลินตงตง เขาเลือกจะสังหารซูหมิงที่นี่!
“สังหารเจ้า ชิงดวงชะตาของเจ้า ข้าอาจจะทะลวงพลังอีกก้าว หากบรรลุเทพเต๋าขั้นเก้าก็จะมีวิธีออกจากที่บัดซบนี่!” นัยน์ตาหลินตงตงเผยจิตสังหารเด่นชัด ก่อนยกมือขวาชี้ซูหมิง ฟ้าดินพลันเกิดเสียงดังกึกก้อง ตราประทับหมอกยักษ์นั้นหมุนโคจร พริบตาเดียวก็มาปรากฏอยู่เหนือซูหมิง ก่อนกดลงมา
เมื่อกดลง แผ่นดินใต้เท้าซูหมิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทันทีที่เกิดรอยร้าวขึ้นก็คล้ายกับว่าแผ่นดินเว้าลงไป เกิดเค้ารางจะถล่มลง
ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ผ่านมาเจ็ดร้อยปี เขาไม่ได้สนใจพลังตัวเองเลยว่าเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ตราประทับหมอกที่กดลงมาจากบนฟ้าไม่ได้สร้างแรงกดดันต่อเขามากนัก ประหนึ่งว่า…แค่โบกมือก็สลายมันไปได้
ต่อให้เป็นหลินตงตง ซูหมิงก็ไม่ได้รู้สึกถึงอำนาจคุกคามจากอีกฝ่ายมากนักแล้ว จุดนี้หลังจากเขาเพ่งสมาธิก็เห็นเงื่อนงำ
หลินตงตงอ่อนแอ ความอ่อนแอทำให้พลังเขาอยู่ตรงริมขอบของมหาเต๋าสูงศักดิ์ เหมือนว่าโลกนี้ไม่ยอมรับการคงอยู่ของเขา
ทว่าขณะเดียวกับที่เขาอ่อนแอ ซูหมิงกลับแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในที่นี่ เขาไม่ตอบกลับ แต่ยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า
ทันใดนั้นรอยตราประทับหมอกยักษ์ที่กดลงมาเกิดเสียงดังสนั่นฟ้า มันหยุดนิ่งอยู่เหนือซูหมิงไปร้อยจั้ง เหมือนว่าข้างล่างตราประทับหมอกมีปราการที่มองไม่เห็นอยู่หนึ่งชั้น ตราประทับหมอกจึงยากจะทำลายเข้ามาได้
“ความจริงและลวงหลอกทุกอย่าง ความรุ่งเรืองและดับสูญทุกอย่าง เหลือเพียงคำพูดของชนรุ่นหลัง เหลือเพียงสิ่งที่ประสบมาในกาลอดีต…เจ้า เข้าใจหรือไม่?” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาแล้วโบกมือขวา ตราประทับหมอกยักษ์พลันสั่นสะท้าน ค่อยๆ เลือนราง เพียงไม่กี่ลมหายใจก็สลายหายไป…
ความเรียบนิ่งของซูหมิงทำให้หลินตงตงบนหอคอยสูงหน้าเปลี่ยนสี หรี่ตาแคบลง เพ่งสมาธิมองซูหมิง ทว่ากลับพบสิ่งที่น่าตกใจ เขาอ่านพลังซูหมิงไม่ออก!
‘เป็นไปไม่ได้ ด้วยพลังข้าไม่มีทางอ่านความตื้นลึกของเขาไม่ได้’ หลินตงตงหรี่ตาลงพร้อมกับยืนขึ้นบนหอคอยสูง ก่อนเดินหนึ่งก้าวไปทางซูหมิง ตัวเขาทิ้งไว้เพียงเศษเงา ช่วงที่ร่างจริงมาปรากฏตรงหน้าซูหมิงก็ใช้มือขวาคว้าไปโดยพลัน
การคว้าครั้งนี้ผืนฟ้าเกิดเสียงดังครึกโครม ชั่วขณะที่เปลี่ยนสียังปรากฏดวงตะวันสีแดงฉานดวงหนึ่ง แผ่นดินส่งเสียงอึกทึก รอยแยกบนพื้นดินรวมด้วยกันเป็นภาพสัญลักษณ์ดวงจันทร์
“ตะวันจันทราเรืองรองพร้อมเพรียง แสงขั้วโลกแห่งฟ้าดิน!” เสียงหลินตงตงดังก้องปานฟ้าผ่า ตอนนี้เองดวงตะวันแดงฉานบนฟ้าระเบิดไอร้อนสุดบรรยาย เหมือนว่าทั้งดวงตะวันลดลงมาจากฟ้าใส่ซูหมิง
ขณะเดียวกันสัญลักษณ์ดวงจันทร์ใต้เท้าซูหมิงหมุนโคจรโดยพลัน ภายใต้การโคจรอย่างรวดเร็ว จึงเหมือนว่าแผ่นดินใหญ่กำลังเคลื่อนไหว แสงเงินพลันสว่างวาบขึ้นฟ้า ปกคลุมร่างซูหมิงเอาไว้ภายใน
“รวมเสี้ยวแห่งดวงชะตาผืนฟ้า พลังของทุกสรรพสัตว์ ชะตาและความตายจงมาเยือน!” หลินตงตงดวงตาแดงก่ำ เมื่อสิ้นเสียงคำพูดสุดท้าย ดวงตะวันบนฟ้าลดระดับลงมา แสงเงินบนแผ่นดินกลายเป็นเส้นเล็กแห่งกฏสีเงินเหลือคณานับ พุ่งตรงเข้ามารัดคอซูหมิง
เส้นเล็กสีเงินเหล่านั้น ทุกเส้นแฝงไว้ด้วยพลังดวงชะตาแห่งเสียงของหลินตงตง ใช้ดวงชะตาของตนให้เป็นจิตสังหารฟ้าดินมรณา รวมตัวเขาให้กลายเป็นดวงชะตาของทุกสรรพสัตว์ เหมือนกับเต๋าแห่งดวงชะตาของสำนักเอกะเต๋ามาเยือน
“เจ้าต้องตาย!” หลินตงตงมั่นใจในการโจมตีครั้งนี้อย่างยิ่ง แม้ตนจะอ่อนแอไม่น้อย แต่การโจมตีครั้งนี้ก็เป็นกระบวนท่าสังหารที่แกร่งที่สุด เขามั่นใจ นอกจากอีกฝ่ายจะบรรลุพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์ มิเช่นนั้นแล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน!
ตอนนี้ซูหมิงใต้ดวงตะวันกดทับและมีเส้นแสงเงินที่ตัวถอนหายใจเบา
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกรึ?”