Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1463
เสียงถอนหายใจซูหมิงยังคงดังก้อง เขายกมือขวาขึ้นโบกไปเบาๆ อย่างเงียบเชียบเหมือนสลายตราประทับหมอกก่อนหน้านี้ ทันใดนั้นเส้นเล็กสีเงินรอบตัวหยุดนิ่ง จากนั้นเลือนราง เพียงพริบตาเดียวก็หายไปทีละเส้นรอบตัว
เหมือนว่าเดิมทีพวกมันไม่มีอยู่ ตอนนี้ขณะเดียวกับที่หวนคืนสู่อากาศธาตุ แม้แต่ดวงตะวันที่กดลงมาจากบนฟ้ายังค่อยๆ โปร่งใส เมื่อกลายเป็นสีของฟ้าทีละน้อยแล้วก็หายไปเหนือหัวซูหมิง
ภาพนี้ทำให้หลินตงตงหรี่ตาลงโดยพลัน เขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างไม่ลังเล จ้องซูหมิงเขม็งด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ กระทั่งตอนนี้ลมหายใจยังกระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย
“เจ้า…” หลินตงตงอ้าปาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร ตอนนี้ความตื่นตะลึงในใจยากจะบรรยายแล้ว เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีคนโบกมือสลายอาวุธสังหารต่อหน้าตนได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ราวกับว่าอภินิหารของเขาไม่มีอยู่จริงๆ
เหตุการณ์นี้โค่นล้มจิตใจเขา ทำให้หลินตงตงที่บรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์รับไม่ไหว
“ไม่พบกันเจ็ดร้อยปี พลังเจ้าเหนือความคาดหมายข้าจริงๆ…แต่ว่า ความตั้งใจที่ข้าจะสังหารเจ้าในวันนี้จะไม่มีวันลดน้อยลง!” หลินตงตงสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาแวววาวเผยจิตสังหารเด่นชัด ช่วงที่เดินหน้าไปทีละก้าวยังยกมือขวาขึ้น ในมือปรากฏกระบี่สั้นสีดำเล่มหนึ่ง บนกระบี่เต็มไปด้วยอักขระ ยามนี้เขย่ากลายเป็นกระบี่สิบเล่ม
เขย่าอีกครั้งกลายเป็นร้อยเล่ม พันเล่ม จนสุดท้ายมืดฟ้ามัวดินกลายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนแทนที่ฟ้าดิน ทำให้โดยรอบกลายเป็นโลกกระบี่ ตอนนี้เองแสงกระบี่เหลือคณานับพุ่งตรงไปหาซูหมิง
“ไม่มีประโยชน์ ระหว่างเจ้ากับข้ามีกาลเวลาขวางกั้นอยู่ เจ้า…ยังไม่เข้าใจอีกรึ” ซูหมิงส่ายศีรษะ นัยน์ตาใสสะอาด ขณะถอนหายใจ แสงกระบี่เหล่านั้นจะทะลวงผ่านร่างเขา แต่ว่า…ร่างซูหมิงเหมือนกับเป็นมายา แสงกระบี่ทะลวงผ่านไป แต่กลับไม่ทำอันตรายเขาแม้แต่น้อย
“โลกนี้เป็นของปลอม แคว้นกู่จั้งเป็นเพียงการยึดร่างระหว่างข้ากับเสวียนจั้ง เรื่องนี้เป็นของปลอม ข้าไม่ได้หลงทางอยู่ภายใน และเจ้า…ก็เป็นเพียงฝุ่นธุลี” ซูหมิงส่ายหน้าพลางเดินหน้าไป ทุกก้าวหลินตงตงจะถอยไปหนึ่งก้าวด้วยสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
หลังถอยไปห้าก้าว ขณะกำลังจะกล่าวนั้น เสียงซูหมิงดังแว่วมาทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เพราะคำพูดซูหมิงตรงกับความลังเลที่หลินตงตงจะกล่าวเมื่อครู่
“เจ้าอ่านพลังข้าไม่ออก นี่ไม่ใช่เพราะพลังข้าสูงส่งขนาดนั้น แต่ระหว่างเรามีกาลเวลาขวางกั้น เป็นปราการที่เจ้ามองเห็นไม่ชัด” ซูหมิงกล่าวราบเรียบพลางเดินไปอยู่ตรงหน้าหลินตงตง
“ข้าไม่เชื่อ!” หลินตงตงพลันมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม ใช้มือขวาตบหน้าอกตัวเอง เมื่อตบไป ใบหน้าพลันเป็นสีม่วงอมแดง มีหมอกดำจำนวนมากระบายออกมาจากในทวารจั้งเจ็ด หมอกดำเหล่านั้นรวมเป็นใบหน้ายักษ์กลางอากาศ ใบหน้านี้ร้องคำรามพุ่งไปหาซูหมิงด้วยความเหี้ยมโหด ตอนนี้เองฟ้าดินผันเปลี่ยน ประหนึ่งว่ากฏของโลกนี้เกิดการแปรเปลี่ยน
พร้อมกันนั้น ใบหน้ายักษ์อ้าปากกว้างสูบไปทางซูหมิง ทันใดนั้นพลังฟ้าดินรอบๆ หมุนม้วนมาที่ใบหน้า มีเพียงซูหมิง…ที่เส้นผมยาวไม่แกว่งไกว อาภรณ์ไม่ลอยขึ้น ยังคงยืนอย่างสงบ มองหลินตงตงนิ่งๆ
ทันทีที่เห็นภาพนี้ ใบหน้ายักษ์ของหลินตงตงมีสีหน้าตื่นตะลึง อภินิหารนี้ของเขาสูบพลังได้ทุกอย่างในฟ้าดิน แต่ตอนนี้ไม่อาจทำอะไรซูหมิงได้ ทว่าเขาก็ยังไม่เชื่อคำพูดซูหมิง หรืออาจพูดได้ว่าเขาไม่กล้าเชื่อ ไม่ยอมเชื่อ เขาในตอนนี้จากอยากสังหารซูหมิงเปลี่ยนเป็นอยากพิสูจน์แล้วว่าซูหมิงพูดเหลวไหล
ตอนนี้ใบหน้ายักษ์หลับตาลง วูบเดียวก็กลับมายังร่างกายข้างล่างอีกครั้ง พลังหลินตงตงเหมือนยกระดับขึ้นไม่น้อย ทันทีที่ดวงตาขยับประกายจิตสังหาร ร่างเขาหายวับไป มาปรากฏอีกทีข้างหลังซูหมิง ก่อนชกหมัดเข้ามา ทว่ากลับไม่เกิดเสียงครึกโครมใดๆ เพราะกำปั้นทะลวงผ่านร่างซูหมิงไป
“เป็นไปไม่ได้!” หลินตงตงตาแดงก่ำ เขาโผล่รอบตัวซูหมิงไม่หยุด ชกหมัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เป็นแบบนี้ไปหนึ่งก้านธูป หลินตงตงถึงถอยไปหลายก้าวด้วยใบหน้าซีดขาว เหม่อมองซูหมิงด้วยแววตาสิ้นหวัง
เขาไม่ได้สิ้นหวังกับการถูกขังอยู่ในโลกที่เคยรุ่งเรืองนี้ แต่กลับยึดมั่นจะสังหารซูหมิง จะชิงดวงชะตาซูหมิง เพราะเขามีความโอหังของเขา เขาคือมหาเต๋าสูงศักดิ์
แต่ตอนนี้ในที่สุดซูหมิงก็ปรากฏตัว เขากลับสิ้นหวัง สังหารไม่ตายก็ช่าง แต่เขาไม่อาจแตะต้องซูหมิงได้ ตอนนี้เหมือนว่าคำพูดซูหมิงดังก้องข้างหูเขาอีกครั้ง ทำให้เขาถอยไป ในความสิ้นหวังแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศก
“เป็นไปไม่ได้…” เขาทำได้เพียงพึมพำแบบนี้ บอกตัวเองว่าทุกอย่างไม่ใช่ของจริง แต่ว่า…การพิสูจน์หนึ่งก้านธูป นอกจากคำตอบนี้แล้วก็ไม่มีคำอธิบายอื่นอีก
“นี่เป็นเพราะเจ้าเรียนวิชาบางอย่างในโลกสมควรตายนี่ ตอนนี้ที่ปรากฏตรงหน้าข้าไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นเงาไร้รูปของเจ้า!” หลินตงตงเงยหน้าขึ้นจ้องซูหมิงเขม็ง เสียงดังก้องปานฟ้าผ่า ขณะเดียวกันซูหมิงหมุนตัวกลับมามองหลินตงตง
“นี่คือคำตอบ นี่คือสาเหตุที่ข้าสังหารเจ้าไม่ได้ ไม่ใช่เพราะระหว่างเรามีกาลเวลาขวางกั้น ไม่ใช่เพราะข้าเป็นของปลอม แต่…เจ้าที่ปรากฏตัวตรงหน้าข้าเป็นเพียงเงา!
ข้ารู้แล้ว เจ้าคือผู้ฝึกฌานของสำนักเจ็ดจันทรา สำนักเจ็ดจันทราฝึกฝนวิชาเงาเจ็ดชะตา เจ้า…จะต้องบรรลุถึงขอบเขตใดอย่างหนึ่งในวิชานี้ ดังนั้นจึงสร้างเงาที่สังหารไม่ได้ขึ้นมา แต่ขณะเดียวกัน ร่างเงานี้ก็สังหารไม่ได้เช่นกัน แม้แต่คนธรรมดายังยาก!” หลินตงตงมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพูดจบ นัยน์ตาเขาไม่สิ้นหวังอีก แต่กลับมามีจิตสังหารรวดเร็วและดุดันอีกครั้ง
“ไม่ธรรมดาจริงๆ องค์ชายสาม คำพูดก่อนหน้านี้ก็เพื่อให้ข้าสับสน ข้าจะหาร่างจริงเจ้าให้พบแล้วสังหารเจ้าเสีย!” หลินตงตงจ้องซูหมิง เมื่อถอยไปอย่างเนิบช้าแล้วหมุนตัวกลับ สะบัดแขนเสื้อจะจากไป
ซูหมิงมองหลินตงตงพลางยกมือขวาชี้ไปบนฟ้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ฉับพลันนั้นทั้งผืนฟ้าเกิดเสียงดังสนั่น ปรากฏจุดดาราขึ้น มองแวบแรกดาราเหล่านี้มีจำนวนไม่แน่ชัด เห็นเพียงว่าพวกมันเรียงรายกันเป็นแส้ยักษ์!
“แส้ดารา ในที่สุดข้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าข้าถึงเป็นพลังเงาสะท้อนมายามาโดยตลอด มิใช่ร่างของมันจริงๆ” ซูหมิงกล่าวเสียงเบาพร้อมสะบัดมือขวา ดาราบนฟ้าเปล่งแสงดาราอย่างชัดเจน แสงดาวพลันมาแทนที่ฟ้า มาแทนที่แสงสว่างทั้งหมดของแผ่นดิน ทำให้ในฟ้าดินแห่งนี้…สว่างจ้าแสบตา แสงสว่างจ้านี้เหมือนกับสีดำ เพราะแสงสว่างถึงขีดสุด ยามที่มองไปจึงเป็นสีดำ
จนเมื่อแสงสว่างหายไป ร่างซูหมิงหายไปแล้ว เด็กชายน้อยนามเฮ่าเฮ่าหายไป เหลือเพียงหลินตงตงที่อึ้งอยู่ตรงนั้น ยามนี้ร่างเขาค่อยๆ ปริแตก จนกระทั่งแหลกเป็นชิ้นๆ จิตแรกหลินตงตงลอยอยู่ตรงนั้น มองไปรอบๆ อย่างสับสน
ซูหมิงไม่ได้สังหารเขา เพราะหลินตงตงในตอนนี้มีชีวิตอยู่ในความหมายบางอย่าง เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าความตาย
ผ่านไปพักใหญ่ จิตแรกหลินตงตงหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะดังก้องยังสะท้อนออกมาเป็นความมั่นใจในตัวเองอย่างแรงกล้า
“ร้ายกาจองค์ชายสาม เป็นวิชาที่ไม่เลว แต่อย่าคิดใช้วิชานี้หลอกตาข้าได้ ถึงเงาเจ้าจะมีพลังที่แน่นอน ทว่า…ขอเพียงหาร่างจริงเจ้าพบ ข้าต้องสังหารเจ้าได้แน่!
องค์ชายสาม เจ้าซ่อนตัวให้ดีเถอะ หากข้าหาร่างจริงเจ้าพบเมื่อไร นั่นคือวันที่เจ้าจะต้องสิ้นสูญไป ข้าจะต้องหาร่างจริงเจ้าให้พบ!” สีหน้าหลินตงตงเต็มไปด้วยความมั่นใจ ถึงขั้นเขารู้สึกว่าตนในตอนนี้ในตระหนักรู้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหลังก้าวสู่มหาเต๋าสูงศักดิ์มานาน
เขาแค่นเสียงขึ้นจมูกทีหนึ่ง ก่อนจิตแรกจะเคลื่อนไหวจากไปไกลด้วยความมั่นใจและตระหนัก ใช้ชีวิตที่เหลือ ใช้พลังที่เหลือ ใช้เวลาไม่รู้กี่ปีสำหรับเขาจากนี้ตามหาร่างจริงซูหมิง…
เขา ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องหาไม่พบ เหมือนกับปลาในมหาสมุทรที่ยึดมั่นจะตามหาน้ำตาของตัวเอง…แต่เขาก็ยังคงยึดมั่น ยังคงบ้าคลั่ง เพราะเขาเชื่อ!
บางทีอาจเป็นเพราะพลังความเชื่อนี้ ในวันหนึ่งเขาอาจจะหาซูหมิงในใจเขาพบ เพียงแต่ซูหมิงคนนั้นอาจจะไม่ใช่ซูหมิงจริงๆ
“ตี้เทียนแสวงหาความคิด เหลยเฉินแสวงหาความสงบ หลินตงตง…แสวงหาความฟั่นเฟือน ข้า แสวงหาอะไร?” ซูหมิงอุ้มเด็กชายน้อยเดินไกลออกไป ยามที่พึมพำก็เดินไกลไปเรื่อยๆ
ทุกคน ในโลกที่คิดว่าจริงล้วนแล้วแต่แสวงหาสิ่งที่เคยมีในอดีต หรืออาจจะเป็นความฝันที่ตอนนี้ยังมีอยู่ ความฝันนี้อาจจะจริง อาจจะยังอยู่บนเส้นทาง
แต่ว่าการแสวงหาแบบนี้คือพลังชนิดหนึ่ง เป็นพลังที่แม้จะเป็นไปไม่ได้แต่ก็มากพอจะลวงหลอกตัวเอง…
เพราะว่าการแสวงหาคือวิธีหนึ่ง มันลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องคดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยว
บางคนหยุดระหว่างทาง อยากจะพักหายใจ แต่พักครั้งนี้…อาจเป็นสุดทาง เหมือนกับผีเสื้อนามว่าซางเซียง
บางคนทอดทิ้งการเดินทาง วาดสัญลักษณ์ปลายทางไว้บนเส้นทางตัวเอง เขาที่มีชีวิตอยู่ในสัญลักษณ์นี้ มีความสุขหรือไม่นั้น มีเพียงตัวเองที่รู้
บางคนยังอยู่บนเส้นทาง ยังคงเดินบนเส้นทางคดเคี้ยวและเปล่าเปลี่ยว