Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1467
ภายใต้แสงตะวัน แคว้นกู่จั้ง ห่างจากใจกลางแผ่นดินที่เป็นเมืองหลวงแคว้นกู่จั้งไปไกลอย่างยิ่ง นอกประตูสำนักเจ็ดจันทรา มีหิมะตกตลอดวันในฤดูกาลนี้
หิมะโปรยปรายปกคลุมแผ่นดิน เชื่อมฟ้า และยังเหมือนบดบังความรุ่งเรืองของสำนักเจ็ดจันทราไม่น้อย
กาลเวลาก็ผ่านไปเหมือนที่ซูหมิงอยู่กับเฮ่าเฮ่า แคว้นกู่จั้งก็ผ่านไปสองพันเจ็ดร้อยปีเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงสองพันเจ็ดร้อยปีนี้ สำหรับทุกอาณาจักรแล้วเรียกได้ว่ายาวนาน ต่อให้เป็นโลกของผู้ฝึกฌาน สองพันเจ็ดร้อยปีก็แฝงไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงแห่งความเป็นตายมากมาย
เมื่อเกือบสามพันปีก่อนสำนักเจ็ดจันทราเป็นสำนักแข็งแกร่งในเจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายของแคว้นกู่จั้ง แต่ตอนนี้ตกต่ำแล้ว มองไกลๆ ทั้งสำนักเต็มไปด้วยความอึดอัด แม้หิมะจะตกไม่ถึงฟ้าเหนือฟ้า แต่ความรู้สึกโรยราที่แผ่มาจากฟ้าเหนือฟ้ากลับทำให้ร่างเงาหนึ่งที่ตอนนี้ยืนมองสำนักเจ็ดจันทราอยู่บนยอดเขาไกลๆ รู้สึกถึงการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
นั่นคือชายหนุ่มสวมอาภรณ์ยาวสีดำเรียบง่าย เส้นผมม่วง ดูอายุราวยี่สิบหกปี แต่ในตัวเขากลับมีการผ่านโลกมาเนิ่นนานอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยู่มานานมากๆ แล้ว
‘ฝึกเต๋าห้าพันกว่าปี…ข้าเดินผ่านไปทีละโลก ได้พบผู้คนอยู่เรื่อยมา ข้างหลังข้ามีคนที่ตายด้วยมือข้านับไม่ถ้วน…แต่ตอนนี้ ข้าบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์แล้ว’ ชายหนุ่มคนนั้นเพ่งมองสำนักเจ็ดจันทราอยู่ไกลลิบพลางถอนหายใจเบาในสายลมหิมะ
เขาคือซูหมิง คนที่เดินออกมาจากในโลกที่เคยรุ่งเรืองนั้น
เขาเพ่งมองสำนักเจ็ดจันทราเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินหน้าไปทีละก้าว เดินเข้าสำนักฝ่ายนอกของสำนักเจ็ดจันทรา เห็นศิษย์ในสำนักมีอยู่ไม่มากเหมือนในความทรงจำแล้ว มีเพียงแค่หลายร้อยคน
ซูหมิงแปลกตากับศิษย์สำนักฝ่ายนอกส่วนใหญ่ กระทั่งฝ่ายดูแลสำนักฝ่ายนอกยังไม่เหลือเค้าในความทรงจำ ถูกเปลี่ยนไปมากจริงๆ จนกระทั่งเขาเดินมาถึงฟ้าเหนือฟ้าชั้นหนึ่ง ชั้นสอง ชั้นสาม…จนฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า เขาไม่พบร่างเงาหลันหลัน แต่เห็นป้ายวิญญาณของนาง
นั่นคือป้ายวิญญาณมัวหมองที่เป็นที่คารวะของศิษย์ยอดเขานี้ในวิหารของยอดเขาที่สามของฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า มันตั้งอยยู่กลางวิหารวิญญาณข้างหลังวิหารนี้
นอกวิหารมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง สวมชุดคลุมเต๋า ถือไม้กวาดนั่งอยู่ใต้ชายคาวิหารในสายลมหิมะเกือบยามโพลเพล้ กำลังมองทอดไกลเงียบๆ
ซูหมิงจำหญิงคนนี้ได้เล็กน้อย นั่นคือศิษย์คนแรกของหลันหลัน เพียงแต่สองพันกว่าปีผ่านไป หญิงผิวเนียนละเอียดในตอนนั้นกลายเป็นวัยกลางคนแล้ว
ภายในสายลมหิมะ ร่างเงาซูหมิงเดินเข้าไปในลานนอกวิหาร เหยียบบนหิมะทิ้งไว้เป็นรอยเส้นทาง จนเดินมาอยู่ข้างกายหญิงวัยกลางคน
เหมือนเพิ่งรู้ว่าตรงหน้ามีคน หญิงวัยกลางคนจึงเงยหน้าขึ้นมองซูหมิง นางอึ้งไปครู่หนึ่ง
“เจ้าคือศิษย์ยอดเขาใด? มีเรื่องอะไรรึ?” นางแปลกตากับหน้าตาซูหมิงมาก แต่กลิ่นอายพลังจากตัวซูหมิงกลับทำให้นางไม่เกิดความรู้สึกไม่ดี กระทั่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกลับมีความรู้สึกใกล้ชิด จึงถามออกไปดังนี้โดยจิตใต้สำนึก
“ข้ามาเยี่ยมผู้อาวุโสหลันหลัน” ซูหมิงมองประตูใหญ่ของวิหารก่อนตอบกลับเสียงเบาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
หญิงวัยกลางคนได้ยินดังนั้นก็เงียบไป แม้นางจะแปลกตากับซูหมิง แต่ตอนนี้เหมือนจิตใจได้รับผลไปด้วย นางไม่เผยสีหน้าใดๆ เลย แต่เหม่อมองซูหมิง ราวกับว่าคำพูดและการกระทำทุกอย่างของเขาหลอมรวมกับฟ้าดิน ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ
ประหนึ่งว่าการมาของเขาถูกลิขิตเอาไว้แล้ว
“เจ้า…” หญิงวัยกลางคนลังเลอยู่ชั่วครู่
“อาจารย์สิ้นชีพเมื่อพันเก้าร้อยปีก่อน…” หญิงวัยกลางคนลังเลแล้วถึงพูดเบาๆ
ซูหมิงเงียบ ผ่านไปพักใหญ่ก็เดินไปทางวิหารวิญญาณ หญิงวัยกลางคนไม่ห้าม แต่ปล่อยให้ซูหมิงเปิดประตูวิหารวิญญาณ เมื่อเข้าไปแล้ว ประตูวิหารถึงปิดลงช้าๆ
ภายในวิหารวิญญาณ บนแท่นบูชามีป้ายวิญญาณหลายสิบป้าย ป้ายวิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีสิทธิ์อยู่ที่นี่ตลอดตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ของยอดเขาที่สาม หลังสิ้นชีพแล้วสำนักจะแกะสลักป้ายวิญญาณ ให้คนรุ่นหลังไม่ลืมบรรพบุรุษเหล่านี้
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น มองป้ายวิญญาณสุดท้าย ด้านบนแกะสลักไว้สี่คำชัดเจน
ผู้อาวุโสหลันหลัน
ซูหมิงมองสี่คำนี้เงียบๆ หลับตาลงเนิบช้า ท่ามกลางความมืดขณะหลับตา เมื่อวิหารวิญญาณเงียบลง ซูหมิงเหมือนย้อนไปนานปีก่อน ภาพต่างๆ ตอนพบหลันหลันครั้งแรกลอยขึ้นมา
หลันหลันที่ให้ความรู้สึกเหมือนฟางชางหลันทำให้ซูหมิงเข้าใจแต่แรกแล้วว่านางก็คือฟางชางหลันในโลกนี้ เขาเลี่ยงการไปมาหาสู่กันมาตลอด เพราะเขากลัว กลัวว่าสุดท้ายแล้วจะหลงทาง
ภาพจำต่างๆ ลอยขึ้นมา จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น หมุนตัวกลับเดินออกจากวิหารวิญญาณ
“เพราะเหตุใดถึงสิ้นชีพ…” ซูหมิงถามเรียบๆ
“สำนักเอกะเต๋า…” หญิงวัยกลางคนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับเสียงเบา
ซูหมิงพยักหน้า ไม่พูดอีก แต่เดินหน้าต่อไป ออกจากวิหารบนยอดเขา มาถึงที่พักของเขาบนฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า หน้าตามันไม่เปลี่ยนไปจากในความทรงจำมากนัก เพียงแค่มีฝุ่น
ซูหมิงยืนอยู่ข้างยอดเขามองที่พักในอดีต ผ่านไปพักใหญ่ถึงหันหน้ากลับ ก็เห็นเยี่ยหลงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาที่หนึ่งในฟ้าเหนือฟ้าชั้นห้า
หน้าตาเป็นวัยกลางคน มีพลังมหาศาล ภายในใบหน้ามีความแน่วแน่และมั่นคง เยี่ยหลง…เป็นผู้อาวุโสแล้ว
ซูหมิงละสายตากลับแล้วเดินไปฟ้าเหนือฟ้าชั้นหก จนกระทั่งถึงฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด เพียงแต่เขาที่มาถึงที่นี่ดวงตาเป็นประกายทีละน้อย
ประกายแววตานั้นเผยมาจากดวงตาสงบนิ่งเป็นส่วนใหญ่ในหลายปีมานี้ มันไม่ได้เผยมานานมากแล้ว แม้เขาจะบอกตัวเองหลายครั้งว่าแคว้นกู่จั้งเป็นเพียงการยึดร่างระหว่างตนกับเสวียนจั้ง ทว่าตอนนี้นัยน์ตาก็ยังเผยจิตสังหารทีละน้อย
ฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ดกลายเป็นซากปรักหักพัง…
แผ่นดินใหญ่สิบกว่าแห่งในอดีตตอนนี้เหลือเพียงสามแผ่นดิน ที่เหลือกลายเป็นซาก ภายในฟ้าดินมีฝุ่นธุลีลอยล่อง แรงกดดันของมหาเต๋าสูงศักดิ์ยังคงอบอวลอยู่ที่นี่รางๆ จินตนาการได้ว่าเมื่อนานปีก่อนจะต้องมีมหาเต๋าสูงศักดิ์มาที่นี่ด้วยความโกรธ แทบจะทำลายที่นี่ ดังนั้นกลิ่นอายพลังถึงยังอยู่จนถึงตอนนี้
สามแผ่นดินที่เหลืออยู่ตอนนี้เงียบสงัด มีเพียงแต่ละยอดเขาสูงสุดของสามแผ่นดินที่ซูหมิงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังสามคน
นั่นคือเต้าหานกับกลิ่นอายพลังของผู้อาวุโสใหญ่ในอดีตสองคน ไม่มีกู่ไท่ ไม่มีสวี่จงฝาน
กลิ่นอายพลังสามคนนี้อ่อนแอมากราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส ยามนี้กำลังพักฟื้น ต้องใช้เวลาไม่มีสิ้นสุดในการค่อยๆ ฟื้นกลับมา
ซูหมิงค่อยๆ ควบคุมจิตสังหารในแววตาให้ลดลง ให้มันหลอมรวมในกลิ่นอายพลัง ก่อนกวาดสายตามองสามแผ่นดินนั้น สุดท้ายก็มองแผ่นดินแรกแล้วขยับไหวเดินหน้าไป ชั่ววูบเดียวมาปรากฏอยู่บนยอดเขาสูงสุดของแผ่นดินนี้
ยอดเขาเป็นแท่นราบยักษ์ บนแท่นราบมีวงแหวนอาคมมหึมา มีรอยเว้าขนาดเท่ากำปั้นตรงกลางวงแหวนอาคมเหมือนกับหลุมเล็ก
ซูหมิงมองหลุมเล็กนั้น ตนเป็นศิษย์สำนักเจ็ดจันทราในอดีตย่อมเข้าใจสำนักเจ็ดจันทรา ผู้อาวุโสใหญ่ทุกรุ่น หากไม่มีเรื่องใหญ่จะมีคนเดียวที่ตื่น ดูแลสำนักเจ็ดจันทรา ส่วนคนอื่นๆ จะหลับใหลเป็นการฝึกฝน
อีกทั้งการจะปลุกผู้อาวุโสใหญ่นั้นต้องรวมโลหิตของวิชาเจ็ดชะตา เหมือนกับหลันหลันในตอนนั้นที่ใช้วิธีนี้ปลุกสวี่จงฝาน
ซูหมิงยืนอยู่บนวงแหวนอาคมเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นใช้มือขวากรีดปลายนิ้ว โลหิตหยดลงไปทีละหยด ตกลงไปในหลุมเล็กข้างล่าง
จนกระทั่งโลหิตหยดลงไปเก้าหยด ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ โลหิตไม่หยดอีก แต่ก็ยืนรออยู่ตรงนั้นเงียบๆ
โลหิตในหลุมเล็กกลางวงแหวนอาคมบนพื้นพลันหายไป ตอนนี้เองทั้งวงแหวนอาคมเปล่งแสงโลหิต แสงสว่างพุ่งขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันมีเสียงคำรามดังแว่วมาจากในยอดเขา
ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อแสงจากวงแหวนอาคมสว่างวูบวาบแล้วมันก็หมุนโคจร ส่งเสียงดังกึกก้อง เกิดรอยร้าวยักษ์สายหนึ่งลุกลามมาจากกลางวงแหวนอาคม จากนั้นโลงไม้น้ำแข็งหนาค่อยๆ ลอยขึ้นมา ก่อนจะตั้งขึ้นแล้วตกลงพื้นดินดังโครมลงตรงหน้าซูหมิง
มองผ่านฝาโลงไม้น้ำแข็ง ซูหมิงเห็นเต้าหานภายในแวบแรก ร่างแห้งเหี่ยว หลับตาแน่น อีกทั้งตรงหน้าอกยังมีรอยแผลน่าสยดสยอง รอยแผลนั้นทะลวงผ่านร่าง ตัดผ่านชีพจรหัวใจ
ร่างกายแห้งเหี่ยวราวกับโครงกระดูก ช่วงที่ซูหมิงมองไป ทั้งโลงไม้พลันกลายเป็นสีเลือด โครงกระดูกดั่งซากศพค่อยๆ ขยับยึกยือ เพียงสิบกว่าลมหายใจเต้าหานก็กลับมามีหน้าตาเหมือนในความทรงจำ
“ใคร…ใครปลุกข้า!” เสียงตะโกนดังแว่วมา เต้าหานภายในโลงไม้ลืมตาขึ้น นี่เป็นครั้งลืมตาครั้งแรกหลังบาดเจ็บสาหัสจากภัยพิบัติในสำนักเจ็ดจันทราเกือบสองพันปี
แทบเป็นทันทีที่เขาลืมตาขึ้น ภายในดวงตาปรากฏร่างเงาซูหมิง พริบตาที่เห็นซูหมิงเต้าหานหรี่ตาลง เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังมหาเต๋าสูงศักดิ์จากในตัวซูหมิงอย่างชัดเจน!
อีกทั้งในตอนนี้เขายังพบอีกว่าเหนือชีพจรหัวใจที่ถูกตัดผ่านตรงหน้าอก…เกิดเค้ารางจะสมานรวมกัน
“เจ้าคือ…” เต้าหานมีสีหน้าจริงจัง ไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายเพราะอาการบาดเจ็บดีขึ้น แต่ดวงตากลับรวดเร็วและดุดันกว่าเดิม เพียงแต่ตรงส่วนลึกของความดุดันนั้นกลับซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้
เขาไม่แปลกตากับกลิ่นอายพลังในตัวซูหมิง แม้กลิ่นอายพลังนี้จะเป็นมหาเต๋าสูงศักดิ์ แต่เขาก็ไม่ลืม เพียงแต่หน้าตาซูหมิงเปลี่ยนไปไม่น้อย ยามนี้ที่เห็นคือหน้าตาซูหมิงจริงๆ ในโลกซางเซียง