Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1468
“ข้ากลับมาแล้ว” ซูหมิงตอบกลับนิ่งๆ
สิ้นเสียง โลงไม้เต้าหานพลันแตกร้าว รอยร้าวเยอะขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไปครู่หนึ่งแตกกระจายออก เต้าหานก้าวเดินออกมาจากข้างใน
ใบหน้าเขายังคงซีดขาว แต่นัยน์ตากลับฉายแววคลุ้มคลั่งและตื่นเต้น ความตื่นเต้นนี้พบเห็นได้ยากยิ่งจากตัวเขา สายตาเหม่อมองซูหมิงอยู่นานมากถึงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง
“กลับมาก็ดี กลับมาก็ดี…” เต้าหานหัวเราะไม่หยุด ผู้แข็งแกร่งที่เย็นชากับซูหมิงในตอนแรก กระทั่งซูหมิงยังเย็นชาตอบคนนี้ ยามนี้กล่าวแบบนี้ เพียงแต่ในรอยยิ้มมีความขมขื่น
“ตายแล้ว ตายหมดแล้ว สวี่จงฝานสิ้นชีพ ผู้อาวุโสใหญ่สิ้นชีพไปทีละคน เหลือเพียงข้ากับผู้อาวุโสใหญ่อีกสองคน เหลือเพียงพวกข้าสามคน
ตอนนี้สำนักเจ็ดจันทราเหลือเพียงพวกข้าสามคน…บาดแผลข้าดูเหมือนสาหัสมาก แต่ก็ดีกว่าอีกสองคนเล็กน้อย สองคนนั้นคนหนึ่งร่างสลายไปเหลือเพียงจิตแรก อีกคนจิตแรกถูกทำลายไปมากกว่าครึ่ง ไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะตื่นหรือไม่” เต้าหานถอยไปหลายก้าว นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้นอย่างยิ่งในความขมขื่น
“สำนักเอกะเต๋ารึ” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่แล้วถามขึ้นเนิบๆ
“เป็นสำนักเอกะเต๋า ตอนนั้นมิติต้นพิสูจน์เต๋าพังทลาย เจ็ดสำนักสิบสองฝ่ายมีผู้ฝึกฌานตายอยู่ในนั้นไม่น้อย ร้อยปีต่อมา มหาเต๋าสูงศักดิ์ไป๋ลู่กับชื่อหยางแห่งสำนักเอกะเต๋ามาสำนักเจ็ดจันทราแล้วทำการฆ่าล้าง
สุดท้ายหากมิใช่เพราะเจ้าสำนักกู่ไท่ยอมสละชีพ ละทิ้งโอกาสบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ด้วยการระเบิดตัวเอง อัญเชิญวิญญาณบรรพบุรุษสำนักเจ็ดจันทรา ทำให้ไป๋ลู่กับชื่อหยางต้องถอยชั่วคราว อีกทั้งสหายของเจ้าสำนักยังมาช่วย รวมถึงเซียนเยือกเย็นฝ่ายอสุรามาขวางไว้ มิเช่นนั้นแล้ว…สิ่งที่เจ้าเห็นในตอนนี้จะเป็นซากทั้งหมด
ตายหมดแล้ว…” เต้าหานหัวเราะเสียงแหลมดังกึกก้อง เหมือนเรียกวิญญาณร้ายที่สิ้นชีพในตอนนั้นในฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ดออกมา ท่ามกลางเสียงดังกังวาน ยังคล้ายว่ามีเสียงคำรามวนเวียนอยู่รอบๆ
“องค์ชายสาม เจ้า…” ชั่วขณะที่เสียงเต้าหานดังก้อง ซูหมิงหมุนตัวกลับแล้ว เดินไกลออกไป ดูจากท่าทางจะออกจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด การทำแบบนี้ทำให้เต้าหานขมขื่น ยามที่มองเงาแผ่นหลังซูหมิงยังพูดไม่ออก
เขาเข้าใจ อีกฝ่ายช่วยสำนักเจ็ดจันทราได้ แต่หากศัตรูเป็นสำนักเอกะเต๋า ต่อให้เขาบรรลุมหาเต๋าสูงศักดิ์ ดูท่าก็ยังกังวลเล็กน้อย แค่กลับมาดูสำนักเจ็ดจันทราก็เพราะมิตรภาพในตอนนั้นเท่านั้น เต้าหานจึงร้องขอมากไม่ได้ เขาได้แต่หวังว่าภายใต้การคุ้มกันของอีกฝ่าย สำนักเจ็ดจันทราจะได้มีวันรุ่งเรือง
นี่คือความปรารถนาก่อนตายของกู่ไท่ และก็เป็นความปรารถนาของสวี่จงฝาน ตอนนี้กลายเป็นความปรารถนาของเต้าหานแล้ว
“ข้าคงไม่ได้อยู่แคว้นกู่จั้งนานนัก…แต่สำนักเอกะเต๋า ข้าจะให้พวกมันต้องชดใช้ด้วยเลือด นี่คือการตอบแทนสำนักเจ็ดจันทราของข้า” เมื่อใกล้จะออกจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ด ซูหมิงหยุดชะงักครู่หนึ่ง ตอนที่เสียงดังแว่วไป เขาได้ก้าวออกจากฟ้าเหนือฟ้าชั้นเจ็ดแล้ว
คำพูดเขาดังกังวานเข้าถึงหูเต้าหาน เต้าหานมองเงาซูหมิงจากไปไกลเงียบๆ คำว่าชดใช้ด้วยเลือดสื่อถึงความคิดซูหมิง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยกลิ่นคาวเลือด
ตรงหน้าเขาเหมือนมีภาพในอดีตลอยขึ้นมา เป็นภาพตอนที่พบซูหมิงครั้งแรก
ซูหมิงไปแล้ว ออกจากสำนักเจ็ดจันทรา ออกจากแผ่นดินนี้เดินไปบนฟ้า ไปทีละก้าวเงียบๆ จนมาถึงนอกป่าข้างหมู่บ้านภูเขาเล็กในความทรงจำ
ซูหมิงมองไกลๆ ด้วยแววตาเศร้าหมอง หมู่บ้านภูเขาที่นี่…หายไปแล้ว แม้แต่ซากยังไม่เหลือไว้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของผืนป่า
เวลาสองพันกว่าปีเปลี่ยนมันไปมาก เรื่องสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนคนเปลี่ยนมักจะเกิดขึ้นในทุกมุมของโลก หมู่บ้านภูเขานี้ไม่มีร่องรอย เสียงตัดฟืนที่เคยดังก้อง ตอนนี้กลายเป็นเสียงพึมพำของกาลเวลา
ซูหมิงยืนบนอากาศอยู่นานมาก จนกระทั่งตัวเขาลอยลงไปในป่าไม้ อยู่ภายในหมู่บ้านภูเขาในอดีต ก่อนเดินไปทุกแห่งตามภาพจำ
เขาเดินผ่านร้านช่างเหล็ก เดินผ่านข้างร้านขายสุรา เดินมาถึงนอกบ้านของตาแก่ มองต้นไม้รอบๆ ก่อนนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้นเงียบๆ ราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่ในลานบ้านของตาแก่ ตัดฟืนพลางฟังเสียงที่ไม่เข้ากันของตาแก่เป็นบางครั้ง
เขานั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ จากตะวันขึ้นจนตกดิน จากยามเช้าจนโพล้เพล้ ที่นี่ไม่มีเสียงตัดฟืน ไม่มีสุนัขใหญ่สีขาวหลายตัวติดตาม และก็ไม่มีตาแก่คอยพูดไม่หยุด
ที่นี่เหลือเพียงซูหมิงคนเดียว นั่งอยู่เงียบๆ จนกระทั่งหิมะโปรยปรายตกลงบนตัวเขา ตกลงบนศีรษะ
สายลมหิมะพัดผ่านตลอดคืนจนวันต่อมายามเช้าตรู่ ซูหมิงลืมตาขึ้น ยืนขึ้นแล้วหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง มองรอบๆ ก่อนจะเดินออกจากป่านี้ช้าๆ เดินไกลออกไป
เงาแผ่นหลังเขาเงียบเหงายิ่งนัก มีความโดดเดี่ยว มีความตกต่ำ แสงตะวันส่องไม่ถึงตัวเขา มีเพียงสายลมหิมะยังอยู่ เหมือนเดินตามเขาไป เพียงแต่สายลมหิมะดูเหมือนกัน ทว่าความจริงแล้ว…หลังเดินไปไกลเจ้าจะพบว่าหิมะข้างกายไม่ใช่อันในอดีตอีก
สิ่งที่ตามมาตลอดทางถูกลิขิตไว้ว่าให้ดูเหมือนกัน แต่ความจริงหิมะต่างกัน มีเพียงสายลมที่อาจจะอยู่ข้างกายไม่เปลี่ยนไปชั่วนิรันดร์
เดินไปเดินมาจนออกจากป่าแห่งนี้ เดินอยู่ในยามเช้าตรู่ เดินไปบนฟ้า เดินต่อไปตลอดทาง…จนวันหนึ่งในที่สุดซูหมิงก็มาอยู่หน้าอารามแห่งหนึ่ง
อารามแห่งนี้ดูเสื่อมโทรมมาก ประหนึ่งว่าสายลมพัดก็พังทลายแล้ว แค่หิมะก็พังมันได้ แต่มันยังคงอยู่ที่นี่ ความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานยืนยันได้ว่าอารามแห่งนี้อยู่มาไม่รู้กี่ปีแล้ว
ภายในอารามมีสามรูปปั้น สามรูปปั้นมองเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงรอยแตกที่มีอยู่ทุกที่บนตัวสามรูปปั้น มีอยู่แน่นขนัดแผ่คลุมทั่วร่างรูปปั้น
อารามนี้เงียบสงบมาก มีเพียงเสียงสายลมข้างนอกพัดผ่านที่จะส่งเสียงครืนๆ นอกจากนี้แล้วไม่มีเสียงอื่นอีก ซูหมิงยืนอยู่กลางอารามอย่างสงบนิ่ง มองสามรูปปั้นด้วยแววตาเย็นชาแวบหนึ่ง
ด้วยพลังของซูหมิงตอนนี้ การจะหาสำนักเอกะเต๋านั้นไม่ยาก
“สำนักเอกะเต๋า…” ซูหมิงเอ่ยราบเรียบพร้อมโบกมือขวาไปข้างหน้า ทันใดนั้นเองฟ้าข้างนอกเหมือนปกติ สายลมก็ดี ทว่าภายในอารามกลับเกิดพายุโหมกระหน่ำ พายุนี้มาพร้อมกับเสียงครึกโครมสะเทือนฟ้า พริบตาเดียวก็กวาดล้างไปทั้งอาราม พลันมีแสงสว่างวาบมาจากรอยแตกบนตัวสามรูปปั้น เชื่อมเป็นวงแหวนอาคมคล้ายตาข่าย
ซูหมิงมีสีหน้าเรียบนิ่ง ทันทีที่ปรากฏวงแหวนอาคมตาข่าย เขายกเท้าขึ้นเหยียบเดินหน้าหนึ่งก้าว เกิดเสียงดังครึกโครม วงแหวนอาคมตาข่ายเหล่านั้นรับการเข้ามาใกล้ของซูหมิงไม่ไหวจึงแตกออกเป็นชั้นๆ เพียงลมหายใจเดียวก็พังลง ซูหมิงจึงก้าวเข้าไปโดยไม่มีอะไรขวางได้
หนึ่งก้าวว่างเปล่า ประหนึ่งว่ามิติรอบตัวเขาบิดเบี้ยว ช่วงที่ทุกอย่างชัดเจน เขามาอยู่ในฟ้าดิน ฟ้าที่นี่เต็มไปด้วยเมฆดำ แผ่นดินที่นี่เป็นสีดำทึบ มองไกลๆ จะเห็นภูเขาไฟเหลือคณานับ ทั้งยังเห็นชัดว่าโดยรอบมีรูปปั้นยักษ์สามรูป
เพียงแต่มีสองในสามรูปปั้นที่แตกหัก!
แทบเป็นพริบตาที่ซูหมิงมาถึง ฟ้าที่นี่พลันหมุนโคจรกลายเป็นน้ำวนยักษ์ เสียงแหลมเล็กดังกึกก้อง ประหนึ่งเตือนผู้ฝึกฌานที่นี่ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามา
“สำนักเอกะเต๋า…ในเมื่อคนสำนักนี้ชอบใช้พลังมหาเต๋าสูงศักดิ์เหยียบย่ำในสำนักคนอื่นนัก ชอบใช้พลังกดขี่นัก เช่นนั้นวันนี้แซ่ซูจะขอลองบ้าง” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ เสียงดังไปทั่วโลกสำนักเอกะเต๋า
สิ้นเสียง ภูเขาไฟจำนวนมากที่อยู่ไกลๆ เกิดการระเบิดขึ้น ราวกับรับแรงกดดันที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงซูหมิงไม่ไหว แม้แต่แผ่นดินยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงร้องด้วยความตกใจดังระงม ซูหมิงเห็นว่ามีร่างเงาผู้ฝึกฌานพากันบินออกมาจากในหอหลายแห่งบนแผ่นดิน
“หาญกล้านัก กล้าบุกสำนักเอกะเต๋า!” แทบเป็นขณะเดียวกับที่ร่างเงาเหล่านี้บินออกมา พลันมีเสียงตะโกนดังแว่วมา เสียงนี้แทบจะดังขึ้นโดยสัญชาตญาณ ต่อให้เป็นคนที่ตะโกนตอนนี้ยังสำนึกเสียใจภายหลัง เพราะเสียงโครมครามจากภูเขาไฟรอบๆ ได้บ่งบอกถึงพลังซูหมิงแล้ว
ซูหมิงมีสีหน้าเฉยชา ไม่มองร่างเงาที่บินออกมาเหล่านั้น แต่เดินไปเช่นนี้ เดินไปยังหนึ่งในสามรูปปั้นไกลๆ แทบเป็นขณะเดียวกับที่ก้าวเดิน มีสายรุ้งยาวหลายสายบินขึ้นตรงหน้า ชั่ววูบเดียวก็เข้ามาใกล้เขา พร้อมกันนั้นต่างใช้พลังจากวิชาอภินิหาร ทว่าซูหมิงยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง เพียงแค่นเสียงขึ้นจมูก
เพียงแค่เสียงแค่นขึ้นจมูก ฟ้าดินพลันส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ระลอกคลื่นขยายออกโดยมีเขาเป็นใจกลาง ผู้ฝึกฌานที่เข้ามาเหล่านั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง ถึงขั้นยังไม่ทันร้องโหยหวน ทุกคนทยอยกันร่างบิดเบี้ยวภายใต้ระลอกคลื่นนี้ก่อนระเบิดกระจุยเป็นฝนโลหิต
“ข้าไม่ได้สังหารแบบนี้มานานมากแล้ว สำนักเอกะเต๋า…” ซูหมิงกล่าวขึ้นเรียบๆ นันย์ตามีจิตสังหารเด่นชัดวูบผ่าน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือกดไปยังแผ่นดินข้างล่าง
เมื่อกดไปแผ่นดินเกิดเสียงอึกทึกทันใด ภูเขาไฟพังลงแล้วก็ตามด้วยทั้งแผ่นดินแตกร้าว แรงกดดันมหึมาจากตัวซูหมิงปกคลุมทั้งโลกโดยพลัน อีกทั้งดวงตาที่สามตรงระหว่างคิ้วเขายังเปิดออก เผยมหาเต๋าสูงศักดิ์ขั้นแปดที่เปล่งแสงดำไร้ที่สิ้นสุดภายในอย่างชัดเจน
“ให้เงามืดปกคลุมแผ่นดิน ให้ฟ้ายามค่ำคืนแทนที่ฟ้าสว่าง ให้การสังหารเป็นผนึก…ติดค้างเลือด ต้องให้เลือดนองสำนักเอกะเต๋าถึงจะชดใช้ได้” เสียงซูหมิงดังกังวาน ท่ามกลางแผ่นดินส่งเสียงดังสนั่นยังคงเข้าไปถึงจิตใจผู้ฝึกฌานสำนักเอกะเต๋าทุกคนอย่างชัดเจน
“มหาเต๋าสูงศักดิ์!”
“เขาคือมหาเต๋าสูงศักดิ์!” เสียงร้องด้วยความตกใจดังก้องในฉับพลัน ตอนนี้เองมีเสียงหึเย็นชาดังแว่วมาจากในรูปปั้นที่ห่างจากซูหมิงไกลๆ เสียงแค่นขึ้นจมูกดังก้องส่งผลให้การพังทลายของแผ่นดินหยุดนิ่ง พร้อมกันนั้นมีสายรุ้งยาวสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่ซูหมิงประหนึ่งดาวตก ภายในสายรุ้งยาวนั้นแผ่พลังมหาเต๋าสูงศักดิ์เช่นเดียวกัน