Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1475
นี่คือตะวันยามอัศดง แสงสุดท้ายส่องลงพื้นดิน หิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้าโดยไม่รู้ตัว ตกลงปกคลุมพื้นดิน ปกคลุมโลกในดวงตาซูหมิง แต่กลับบดบังเมืองหลวงในโลกนั้นไม่ได้
และก็บดบังร่างเงาสวมงอบ สวมชุดกันฝนที่ยืนอยู่นอกประตูเมืองหลวงไม่ได้ ร่างเงานั้นถือไม้เท้า ยืนอยู่นอกเมืองเงียบๆ เหมือนรอมาหลายพันปี
ซูหมิงมองร่างเงานอกเมืองนั้นอยู่ไกลๆ เหมือนย้อนไปสามพันปีก่อน ตนเพิ่งตื่นขึ้นในโลกนี้แล้วได้พบเทียนเสียจื่อ
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามพันปี ขั้นพลังซูหมิงต่างออกไป ในตัวเขามีความรู้สึกผ่านโลกมาเนิ่นนานเพิ่มมาไม่น้อย ภาพต่างๆ ในความทรงจำยังคงชัดเจนเล็กน้อย แต่…กลับเรือนรางโดยไม่รู้ตัว
เป็นดั่งโลกพายุหิมะทำให้ภาพในดวงตาคนเลือนราง มองเห็นไม่ไกลนัก แต่บางครั้งจะเห็นตรงหน้า แม้ไม่ไกลมากก็ยังเป็นความสุข แต่หากเห็นได้ไกลมาก บางทีความสุขนี้อาจจะออกห่างไปไกลจนกระทั่งมองไม่เห็น
ในสายลมหิมะ ซูหมิงเดินต้านหิมะเข้ามาทีละก้าวจนมาอยู่นอกเมือง จนมาอยู่ตรงหน้าร่างเงาสวมงอบและชุดกันฝน
“เจ้ามาแล้ว” ร่างเงาสวมชุดกันฝนเงยหน้าขึ้นช้าๆ เผยใบหน้าที่ซูหมิงคุ้นเคย นั่นคือเทียนเสียจื่อ
สีหน้าเขามีความเมตตาดั่งผู้อาวุโสมองผู้เยาว์ นั่นเป็นความห่วงใยและเคารพรักจากใจจริง เหมือนกับว่าการเติบโตของซูหมิง ในมุมมองเขาต่อให้สูงระฟ้า แต่ในใจเขาซูหมิงก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง ถึงจะไม่ต้องให้เขาปกป้องแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กที่เขาหวังจะปกป้องได้
“อาจารย์” ซูหมิงมองเทียนเสียจื่อในชุดกันฝนพลางประสานมือคารวะลงลึก น้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย อาจารย์ตรงหน้าตามเขามาทั้งชีวิตตั้งแต่ยอดเขาลำดับเก้าแผ่นดินหมาน จนแคว้นกู่จั้ง จนถึงตอนนี้
“สามพันปีก่อนข้าเคยบอกว่าจะรอเจ้าที่นี่ เพื่อไขข้อสงสัยสุดท้ายให้เจ้า…ข้อสงสัยสุดท้ายนี้ เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่?” เทียนเสียจื่อในชุดกันฝนมองซูหมิงอย่างเมตตา ยามที่กล่าวเนิบๆ นัยน์ตาลุ่มลึก ราวกับว่าในดวงตาสองข้างแฝงไว้ด้วยสติปัญญาสุดบรรยาย
ซูหมิงเงียบ ข้อสงสัยสุดท้ายนี้ เมื่อสามพันปีก่อนเขาอยากถามว่าโลกนี้คือที่ใดกันแน่ เป็นฟ้าดินในร่างกายของเสวียนจั้งหรือความทรงจำของเสวียนจั้งที่เกิดขึ้นตอนตนยึดร่างกับเสวียนจั้ง
แต่เมื่อซูหมิงเดินทาง ข้อสงสัยนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป เป็นเขาอยากรู้ว่าจะออกจากโลกนี้ได้อย่างไร…
แต่เมื่อเวลาผ่านไป ข้อสงสัยของซูหมิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าใบหน้าคุ้นเคยที่พบในโลกนี้ พวกเขา…ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับคนเหล่านั้นในความทรงจำจริงๆ หรือไม่
ข้อสงสัยแต่ละข้อลอยขึ้นมาทีละอย่างตลอดสามพันปีมานี้ จนกระทั่งเขาอยู่ในโลกของเฮ่าเฮ่า ข้อสงสัยเปลี่ยนไปอีกครั้ง เป็น…เต๋าของตนคืออะไร
เขาไม่เข้าใจว่าเต๋าของตนคืออะไร เขาอยากได้คำตอบจากเทียนเสียจื่อ ทว่าข้อสงสัยที่ว่า ตอนนี้เมื่อเทียนเสียจื่อเอ่ยถาม ตอนที่ซูหมิงตรึกตรองอย่างจริงจัง เขาพลันพบว่านี่เหมือนไม่ใช่การไขข้อสงสัยที่ตนต้องการ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าข้อสงสัยสุดท้ายคืออะไร
ได้แต่เงียบ
“จำไม่ได้แล้วรึ?” ในสายลมหิมะ เทียนเสียจื่อสวมชุดกันฝนอยู่นอกเมืองมองซูหมิงด้วยสีหน้าเจ็บปวดภายใน เหมือนว่าท่าทีซูหมิงตอนนี้ทำให้เขาไม่สบายใจเล็กน้อย จึงถามเสียงเบา
ซูหมิงเงียบ มองสายลมหิมะอยู่นานมากถึงถอนหายใจเบา
“จำไม่ได้แล้วจริงๆ บางทีอาจมีข้อสงสัยเยอะเกินไป แต่หากพูดถึงข้อสงสัยสุดท้าย ข้า…ก็หาไม่พบ มันหายไปในกาลเวลาแล้ว อยากจะหา แต่กลับมีมวลอากาศขวางกั้น สัมผัสไม่ได้และก็หาไม่พบ” ซูหมิงพึมพำ
“ในเมื่อหาไม่พบก็ไม่ต้องหา ไม่มีข้อสงสัยสุดท้ายก็ใช่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี” เทียนเสียจื่อในชุดกันฝนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดตอบเนิบๆ
“อาจารย์เลือกให้ข้าเถอะ” ซูหมิงเงยหน้าขึ้นมองสายลมหิมะบนฟ้า มองประตูเมืองข้างหลังเทียนเสียจื่อ ผ่านไปพักใหญ่ถึงพูดขึ้นเบาๆ
“จะต้องยึดมั่นรึ?” เทียนเสียจื่อมองซูหมิง สีหน้าลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ
“นั่นเป็นวิธีหนึ่ง ในเมื่อลิขิตไว้แล้วว่าต้องคดเคี้ยวและอ้างว้าง ในเมื่อเดินบนเส้นทางนี้แล้ว เหตุใดจะไม่ยึดมั่น” ซูหมิงตอบกลับเบาๆ
เทียนเสียจื่อเงียบ ศิษย์อาจารย์สองคนเงียบอยู่ในสายลมหิมะอยู่นานมาก จนกระทั่งตะวันยามอัศดงลาลับ จนกระทั่งสายลมหิมะปกคลุมฟ้าดินกองเป็นชั้นหนาๆ บนเส้นผมสองคนเต็มไปด้วยหิมะสีขาวราวกับผมขาว ทำให้ความรู้สึกผ่านโลกมานานเข้มข้นกว่าเดิม ทำให้ความรู้สึกแห่งกาลเวลาหนักหน่วงกว่าเดิม
“หยุดเถอะ ไม่ต้องเดินต่อแล้ว หยุดอยู่ที่นี่ ตอนที่เจ้าหันไปมองจะเห็นใบหน้าที่มีอยู่ในความทรงจำเจ้า พวกเขาจะรอเจ้าอยู่ข้างหลังเจ้า
หันไปมองความธรรมดา เป็นเซียนอิสระ ไม่สนใจความจริงหรือปลอม ไม่ยึดมั่นในเส้นทาง บางครั้ง…ความสุขที่ไม่เลือกอาจจะเป็นความสุขที่แท้จริง” ผ่านไปนานเสียงเทียนเสียจื่อดังก้องในสายลมหิมะเข้าถึงหูซูหมิง ทำให้ซูหมิงหันหน้ากลับช้าๆ เหมือนหวนลำรึกถึงความธรรมดา มองไปข้างหลัง
ช่วงที่หันไปมอง เขาเห็นว่ากลางสายลมหิมะข้างหลังปรากฏไป๋หลิง นางสวมอาภรณ์ขาวขนเตียว มีความงามแบบดื้อรั้น กำลังยิ้มมองตน
ข้างนางคืออวี่เซวียน อวี่เซวียนยิ้มอย่างดงามอย่างในอดีต แววตายึดมั่นนั้นหลอมละลายหัวใจซูหมิง เขามองไปมองมาก็มีเสียงในความทรงจำดังก้องข้างหูอีกครั้ง
“พี่ชาย”
และยังมีชางหลัน นางผู้งดงามและอ่อนโยนที่รอซูหมิงมาไม่รู้กี่ปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร นางก็จะรอต่อไป ขณะเฝ้ารอ นางให้ซูหมิงกลายเป็นหนึ่งเดียวในใจทีละน้อย
และยังมีสวี่ฮุ่ย…
ท่านปู่อมยิ้ม ใบหน้าแก่ชรามีความเมตตา ราวกับรอการเลือกของซูหมิง หากเขาเลือกหันกลับมา เขาจะเอ่ย…
ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รอง หู่จื่อ ใบหน้าทุกคนอยู่ที่นั่น ช่วงที่ซูหมิงหันกลับมาได้สะท้อนเข้าไปในดวงตา เพียงแต่ว่า…ไม่มีกระเรียนขนร่วง
“หากเดินต่อไป พวกเขาจะไม่มีวันคืนชีพ แต่หากไม่เดินต่อ ยามที่เจ้าหันไปมองความธรรมดาที่นี่ เป็นเซียนอิสระ พวกเขา…จะอยู่กับเจ้า
ซูหมิง เจ้าคือศิษย์ของข้า ข้าไม่อยาก…ให้เจ้าเหนื่อยล้าเช่นนี้ นี่คือทางเลือกที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุด” เทียนเสียจื่อในชุดกันฝนกล่าวเสียงแหบ เขามองเงาแผ่นหลังยามที่ซูหมิงหันไปมองด้วยสีหน้าเจ็บปวด เป็นอย่างที่เขาว่าไว้ ความคดเคี้ยวและอ้างว้างของเส้นทางนี้ทำให้เขาไม่อยากให้ซูหมิงเดินต่อไป เดินไปจน…กี่วัฏจักรถึงขาดหายไปคนหนึ่ง
“สามพันปีมานี้เจ้าได้บอกลากับอดีตไปแล้ว ตอนนี้หันไปมองถึงความธรรมดา ไฉนยังต้องยึดมั่น ไฉนยังต้องแสวงหาความจริงปลอม เจ้าเห็นตี้เทียน เห็นเหลยเฉินแล้ว…อย่าให้สุดท้ายแล้วต้องขาดหายเจ้าไปคนหนึ่งในกี่วัฏจักรชั่วนิรันดร์เลย” เทียนเสียจื่อถอนหายใจเบา ในเสียงถอนหายใจมีความขมขื่น แฝงไว้ด้วยความสงสารที่เจ็บปวดเล็กน้อย
เขาเห็นชีวิตซูหมิง ชีวิตนี้คดเคี้ยวและอ้างว้าง เป็นรูปแบบการแสวงหา
ซูหมิงเงียบ ขณะหันไปมองเขาเห็นทุกอย่างเต็มไปด้วยความอบอุ่น ใบหน้าในความทรงจำเหล่านั้นทำให้เขาเกิดอารมณ์ชั่ววูบ เขาอยากจะพยักหน้าตกลง อยากหยุดเดิน อยู่ที่นี่ กลายเป็นเซียนอิสระ ไม่สนใจความจริงเท็จ แต่ตามหาความสุขที่แม้จะเป็นมายาก็ตาม
“ที่นี่มีคนมากมาย มีใบหน้าคุ้นตามากมาย แต่ไม่มีกระเรียนขนร่วง…คนรู้จักที่นี่ล้วนมีหน้าตาในความทรงจำข้า มีชีวิตอยู่ในความทรงจำข้า พวกเขา…ยังเป็นพวกเขารึ…
พวกเขาไม่มีความคิดต่ออนาคต เพราะความคิดทุกอย่างถูกมอบโดยความทรงจำข้า พวกเขาแบบนี้…ไม่มีจิตวิญญาณ” ซูหมิงพึมพำ น้ำตาไหลรินทีละน้อย ใบหน้าเหล่านั้นทำให้เขาปวดใจ ขณะเดียวกันเขาหันหน้ากลับช้าๆ ทันใดนั้นเองหิมะในสายลมกลายเป็นสีดำ โลกข้างหลังมืดมิด แม้แต่เมืองตรงหน้า ฟ้าดินข้างหลังยังกลายเป็นคืนมืด
การมาเยือนของคืนมืดประหนึ่งหมายถึงการเลือกของซูหมิง กลายเป็นฟ้ายามค่ำคืน เป็นเงามืดที่ย้อมสีไม่ได้
เหมือนกับเส้นทางของเขา ยามที่หันไปมองความธรรมดา เขาไม่ได้เลือกเป็นเซียนอิสระ
อาจพูดได้ว่าเส้นทางใต้เท้าเขาไม่ใช่เส้นทาง และก็ไม่ใช่เต๋าของเขา แต่เป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง ลิขิตไว้แล้วว่าเย็นเยือกแต่กลับยึดมั่น มีชีวิตเพื่อตัวเอง มีชีวิตเพื่อความจริงและ…มีชีวิตเพื่อคนอื่น
เพื่อเส้นทางนี้ เพื่อให้ใบหน้าคุ้นตาในความทรงจำมีจิตวิญญาณ เพื่อให้ในวัฏจักรไม่ขาดหายกระเรียนขนร่วง เพื่อให้ทุกใบหน้าไม่เพียงยิ้มแต่ยังมีความปราดเปรียว เหมือนกับกุมชะตาเกิดดับ ซูหมิง…หลังเลือกหันไปมองแล้วก็ไม่เป็นเซียนอิสระ แต่…เดินหน้าต่อไป!
ถึงอีกหลายวัฏจักรต่อจากนั้นจะขาดหายไปคนหนึ่งชั่วนิรันดร์ แต่บนเส้นทางคดเคี้ยวและอ้างว้างนี้ ต้องแสวงหาความจริงระหว่างทางที่ยึดมั่นแต่กลับเย็นเยือกแห่งนี้
การแสวงหาคือรูปแบบหนึ่ง มันลิขิตไว้แล้วว่าต้องคดเคี้ยวและอ้างว้าง ความจริงคือทัศนคติอย่างหนึ่ง มันถูกลิขิตไว้แล้วว่าเย็นเยือกแต่กลับยึดมั่น แสวงหาความจริง ชีวิตคนในคืนมืด
ในยามค่ำคืน ซูหมิงเพ่งมองเทียนเสียจื่อสวมชุดกันฝน สวมงอบตรงหน้า ก่อนประสานมือคารวะลงลึก ตอนที่ยืนขึ้น เขาไม่กล่าวใดๆ แต่เดินผ่านข้างกายเทียนเสียจื่อ มุ่งหน้าไปยังเมืองในคืนมืด เดินต่อไปอย่างยึดมั่นทีละก้าว
เทียนเสียจื่อมองเงาแผ่นหลังซูหมิงในคืนมืดพลางพึมพำ
“ใครเข้าไปในชีวิตเจ้านั่นคือชะตาลิขิต ใครยึดอยู่ในชีวิตเจ้า เจ้าเป็นคนลิขิต ในเมื่อลืมไม่ได้ก็อย่าลืม ต่อให้ทุกอย่างว่างเปล่า ทุกอย่างในอดีตก็คุ้มค่าที่จะมี…
ซูหมิง ศิษย์ของข้า นี่…คือการเลือกของเจ้ารึ…หันไปมองความธรรมดาไม่เป็นเซียน เพียงเพื่อทุกใบหน้า เพื่อความทรงจำทั้งหมด เพื่อนางที่เป็นตัวแทนแห่งความจริง เพื่อ…กุมชะตาเกิดดับที่ยึดมั่น”