Pursuit of the Truth สู่วิถีอสุรา - ตอนที่ 1480
ฟ้าชั้นสามสิบนั้น ในมุมมองซูหมิงไม่ใช่ฟ้าแล้ว แต่เป็นดาบเล่มหนึ่งพุ่งลงมาจากฟ้า เป็นดาบที่เปล่งประกายระยิบระยับ สว่างจ้าดั่งนภา ดังนั้นถึงเป็นฟ้าชั้นที่สามสิบ เป็นร่องหุบเขาที่ขวางผู้ไม่บรรลุเต๋าไร้ที่สิ้นสุดทุกคน
ร่องหุบเขานี้ไม่อาจข้ามผ่าน แต่การจะก้าวมาถึงที่นี่จำเป็นต้องมีการตัดสินใจในการตัดเต๋าอย่างแน่วแน่ เต๋าที่ตัดจะถูกจะผิดไม่สำคัญ สำคัญคือการตัดสินใจอย่างแน่วแน่!
ซิวหลัวคิดว่าตนมีการตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้ว คิดว่าตนตัดเต๋าแล้ว แต่จนกระทั่งเห็นกูหงพลิกเต๋าทิ้งทุกอย่างเพื่อความสำเร็จของซูหมิง เขาถึงได้เข้าใจว่าในด้านการตัดสินใจอย่างแน่วแน่นี้ ตนยังสู้กูหงไม่ได้
คนที่เข้าใจในจุดนี้ยังมีจักรพรรดิกู่จั้ง พวกเขาสองคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตนถึงขึ้นฟ้าชั้นที่สามสิบไม่ได้ ไม่ใช่เพราะพวกเขาตัดเต๋าถูกหรือผิด แต่พวกเขายังตัดสินใจแน่วแน่ไม่พอ…
เพราะว่าพวกเขามีข้อผูกมัดมากเกินไป มีข้อผูกมัดนี้อยู่จึงพูดได้ว่ายากจะตัดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นดวงชะตาหรือการสร้างสรรค์สรรพสิ่ง หากไม่มีการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ถึงที่สุดก็จะก้าวสู่เต๋าไร้ที่สิ้นสุดไม่ได้
ร่างเงาซูหมิงชนเข้ากับฟ้าชั้นสามสิบ เสียงครึกโครมดังสนั่นฟ้าดิน กึกก้องโลกนี้สั่นสะเทือน จักรพรรดิกู่จั้งตาเป็นสมาธิ ซิวหลัวดวงตาวาววับ พวกเขามองน้ำวนสีดำขาวด้วยใจจดจ่อ มอง…ซูหมิงที่เป็นดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ
ซูหมิงชนเข้ากับฟ้าชั้นที่สามสิบ ช่วงที่เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้อง เหมือนว่าดาบระยิบระยับฟันลงมายังซูหมิง เขาไม่หลบ แต่พาความยึดมั่นและการตัดสินใจแน่วแน่เดินหนึ่งก้าวไปยังดาบที่ฟันลงมานั้นอย่างไม่ลังเล
ดาบ…เหมือนทะลวงผ่านร่างซูหมิง พริบตาเดียวก็ขยับวูบผ่านไป ไม่มีโลหิต ไม่มีบาดแผล แต่กลับตัดชะตาชีวิตเขา…
พูดดูเหมือนลวงตา แต่ความจริงสิ่งที่ถูกตัดคือ…การเลือกของซูหมิง เพราะชีวิตคน ชะตาชีวิต ความจริงแล้วการตัดเต๋าครั้งนี้เป็นการเลือกอย่างหนึ่ง เลือกอดีตหรือเลือกอนาคต
หากเลือกตัดอดีต ซูหมิงจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ หากเลือกตัดอนาคต เขาจะอยู่กับอดีตของตัวเองไปชั่วนิรันดร์
การเลือกของซูหมิง นอกจากตัวเขาเองแล้วก็ไม่มีใครรู้ ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิกู่จั้งหรือซิวหลัว พวกเขาสองคนเห็นเพียงซูหมิงตัดเต๋าตัวเอง ทว่าตัดอะไรนั้นซูหมิงไม่พูด คนอื่นก็ไม่รู้
ช่วงที่ดาบฟันลง มันกลายเป็นเศษละเอียดท่ามกลางเสียงอึกทึก หลังพังลงเป็นชั้นๆ แล้วฟ้าถึงเกิดรอยแตก ส่งผลให้ช่วงที่ซูหมิงก้าวเท้าลงช้าๆ เขาข้ามผ่านฟ้าชั้นที่ยี่สิบเก้า ขึ้นไปยัง…ฟ้าชั้นที่สามสิบ!
พริบตาที่ก้าวข้ามไป ซูหมิงยืนอยู่บนฟ้าชั้นที่สามสิบ เขาก้มหน้าลง ไม่มองแผ่นดิน ไม่มองรอบๆ แต่สัมผัสอะไรบางอย่างเงียบๆ
ตอนนี้กู่ตี้กับซิวหลัวกลางเมืองหลวงกู่จั้งข้างล่างน้ำวนพากันใจสั่นสะท้าน เหม่อมองซูหมิงที่ยืนอยู่บนฟ้าชั้นที่สามสิบในน้ำวน
พวกเขาไม่เอ่ยใดๆ เพียงแค่มองเงียบๆ
ผ่านไปนานซูหมิงถึงเงยหน้าขึ้นช้าๆ ตรงระหว่างคิ้วไม่เห็นดวงตาที่สามแล้ว และก็ไม่เห็นเทพเต๋าขั้นเก้า ทั้งตัวเขาเหมือนต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยยากจะอธิบายได้
ซูหมิงถอนหายใจเบา ก่อนเงยหน้าขึ้นมองฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ดข้างบน ตรงหน้า…คือโลกที่จักรพรรดิกู่จั้งกับซิวหลัวบนพื้นมองไม่เห็น ขณะเดียวกับที่เห็นฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ดชัดเจน ซูหมิงเข้าใจแล้วว่าเหตุใดก่อนหน้านี้กูหงถึงยืนเงียบอยู่ตรงนี้
ซูหมิงเห็นร่างเงายักษ์ ร่างเงานั้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางมวลอากาศ ใต้ร่างมีเข็มทิศหนึ่งอัน ตรงข้อมือมีไข่มุกหนึ่งพวง สวมชุดคลุมยาวสีดำ นั่นคือเสวียนจั้ง
หรืออาจพูดได้ว่านั่นคือมหาจักรพรรดิกู่จั้งที่หายตัวไปในวังหลวงกู่จั้งและถูกคิดว่าสิ้นชีพไปแล้ว!
เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่สิ้นชีพไปอย่างแท้จริง แต่ลอยอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ คอยตามหาปาฏิหาริย์ที่จะคืนชีพตัวเองจากชีวิตซางเซียงทีละตัว
ซูหมิงมองร่างเงามายานั้นเงียบๆ นี่ก็เป็นภาพเดียวกับที่กูหงเห็นก่อนหน้า ตอนที่เห็นภาพนี้ชัดกูหงได้เข้าใจคำพูดที่ซูหมิงเคยพูดกับเขาไว้เมื่อนานมาแล้ว
ซูหมิงเงียบอยู่นานมากจนเดินไปบนฟ้าทีละก้าว จนกระทั่งมาถึงปราการฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ด แล้วเดินผ่านไป
เมื่อเดินผ่านฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ด ยามที่มองข้างบน เงามายากู่จั้งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซูหมิงจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังกระเรียนขนร่วงที่แผ่มาจากในกำปั้นกู่จั้ง
กลิ่นอายพลังนี้ทำให้เขานึกถึงขนนกที่ตนคว้าไว้ในมือตอนที่กระเรียนขนร่วงถูกดูดเข้าไปในมวลอากาศ
เพียงแต่ซูหมิงมองเห็นใบหน้ามหาจักรพรรดิกู่จั้งไม่ชัดเจนนัก ใบหน้าดูเลือนรางเล็กน้อย ทว่า…ต่อให้เลือนราง ต่อให้ไม่ชัดเจน แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าใบหน้านี้…เหมือนกับตัวเขาทุกประการ
“ดูท่าก่อนหน้านี้ตอนที่อาจารย์เลือกพลิกเต๋าอยู่ตรงนี้ก็คงจะสัมผัสได้ถึงใบหน้าร่างเงานี้เหมือนกับข้า…” ซูหมิงถอนหายใจเบาแล้วพูดพึมพำ
เสียงถอนหายใจยังคงดังก้อง ซูหมิงเดินหน้าอีกก้าวแล้ว ก้าวนี้ฟ้าชั้นที่สามสิบเอ็ดถล่มลง ฟ้าชั้นที่สามสิบสองแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมซูหมิงเดินเข้ามา
ซูหมิงที่ยืนอยู่บนฟ้าชั้นที่สามสิบสองเห็นร่างเงานั่งขัดสมาธิบนเข็มทิศยักษ์กลางมวลอากาศแทบจะชัดเจน หน้าตาร่างเงานั้น…ก็คือซูหมิง
“เจ้าเห็นอะไร!” ภายในเมืองหลวงจักรพรรดินอกน้ำวนสีดำขาวข้างล่าง หลังซิวหลัวเงียบแล้วก็ถามขึ้น
ซิวหลัวเคยถามกูหงแบบนี้มาแล้ว คำตอบของกูหงทำให้เขาเหมือนจะเข้าใจ ยามนี้ถามซูหมิงอีกครั้ง แต่ซูหมิงไม่ได้ให้คำตอบที่คล้ายๆ กัน
“ข้า…เห็นตัวเอง” ซูหมิงตอบกลับเสียงเบา เสียงดังกังวานฟ้าชั้นที่สามสิบสอง ดังก้องไปทั้งผืนฟ้า ซูหมิงมองร่างเงาบนเข็มทิศพลางเดินหน้าหนึ่งก้าวไปยังฟ้าชั้นที่สามสิบสาม
เมื่อก้าวเท้าลง ฟ้าชั้นที่สามสิบสามหายไปตรงหน้าเขาราวกับไม่มีอยู่ ซูหมิง…จึงเดินมาถึงฟ้าชั้นที่สามสิบสาม เหมือนว่าเดินมาอยู่ตรงหน้าร่างเงายักษ์ที่นั่งขัดสมาธิบนเข็มทิศ ประหนึ่งว่าห่างจากระหว่างคิ้วร่างนั้นเพียงหนึ่งก้าวสุดท้าย
ซูหมิงยืนมองร่างเงายักษ์อยู่นาน ขณะเงียบก็ยังใคร่ครวญอย่างหนัก คิดถึงคนมากมาย คิดถึงเรื่องราวมากมาย จนกระทั่งเขาถอนหายใจเบา นำความคิดทั้งหมดรวมไว้ในเสียงถอนหายใจ ให้เสียงถอนหายใจดังก้องกังวานไม่หายไป ก่อนจะ…เดินก้าวสุดท้าย!
ในระหว่างเดินหนึ่งก้าว ตัวซูหมิงเปล่งแสงสีม่วงหมื่นจั้งข้ามผ่านฟ้าสามสิบสามชั้นสาดลงมายังแผ่นดิน ทะลวงผ่านหมอกทั้งหมด สลายมวลอากาศทุกแห่งหน ส่งผลให้แคว้นกู่จั้งเป็นสีม่วง ตอนนี้เองเขาก้มหน้าลงมองโลกข้างล่าง เขาเห็นร่างเงาสวมชุดกันฝนในสายลมหิมะอยู่นอกประตูเมืองหลวง ร่างเงานั้นคือเทียนเสียจื่อ เขาเหมือนเพ่งมองตนด้วยรอยยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นมีการอาลัยอาวรณ์ มีการจากลาและคำอวยพร
เขาเห็นเต้าหานในสำนักเจ็ดจันทราไม่ปิดด่านนั่งฌานอีก แต่ยืนอยู่บนโลงไม้เพ่งมองฟ้าด้วยสีหน้าซับซ้อน ซ้ำยังมีความเคารพจากใจจริง เฝ้ามองฟ้าอยู่เงียบๆ…
และยังมีในพื้นที่ของสำนักเอกะเต๋า กลางมิติที่เกือบถูกตัดขาด มหาเต๋าสูงศักดิ์เซินมู่มองฟ้าเช่นกัน เหม่อมองไปมองมาท้องฟ้าไม่ใช่คืนมืดอีก แสงตะวันกำลังรุนแรง ส่องลงมาบนแถบใบหน้าเขา ทำให้เงาข้างหลัง…เหมือนเป็นศิษย์พี่รองที่กำลังยืนอมยิ้มอย่างอบอุ่นในแปลงดอกไม้บนยอดเขาลำดับเก้า
อีกทั้งกลางเทือกเขาบนแผ่นดิน สตรีคนหนึ่งหอบเอาร่างเหนื่อยล้าเดินออกมาจากในถ้ำ หน้าตานางคือสวี่ฮุ่ย ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ยามที่เพ่งมองฟ้า ราวกับว่ามีเสียงถอนหายใจเบาดังอยู่ในใจนางไม่ดังออกไป
และยังมี…
และยังมี…
อย่างเช่นภายในโลกของเฮ่าเฮ่า บนต้นพิสูจน์เต๋าที่แทนที่ฟ้า เด็กชายน้อยนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับมองเห็นซูหมิง กำลังยิ้มอย่างเบิกบานใจ ยกสองมือเล็กขึ้นโบกมือลาซูหมิง
“เฮ่าเฮ่ากลับบ้านแล้ว พี่ใหญ่…ท่านก็ต้องกลับบ้านเช่นกัน…”
อย่างเช่นภายในโลกใต้แมกไม้ ร่างเงาไร้หัวที่นั่งขัดสมาธิบนหัวเมืองเหมือนขยับไหวเล็กน้อย กลายเป็นส่วนหนึ่งของการจากลาพร้อมกับความรุ่งเรืองในเมืองนั้นกับเสียงหัวเราะภายในวังหลวง เสียงหัวเราะดังกังวาน น้ำเสียงตี้เทียนดูมีความสุขกับเหล่าศิษย์และอาจารย์รอบกาย ระหว่างที่ดังกังวานอยู่นานไม่หายไป เขาที่ถือแก้วสุราเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ดูเหมือนดื่มสุรา แต่ความจริงเขาเพ่งมองฟ้า ภายในแววตามีการอวยพร
อย่างเช่นเหลยเฉิน ไม่ว่าสายลมพัดอย่างไรก็ดับแสงไฟใต้ภูเขาทมิฬไม่ได้ ข้างหลังมแกไม้ที่มองไม่เห็นบนฟ้า ไม่ต้องมีสายลมก็พัดพาความห่อเหี่ยวไปได้ ความห่อเหี่ยวที่ว่ามาจากเหลยเฉิน มาจากตัวเขาที่ตอนนี้ยืนอยู่ในชนเผ่า เงยหน้ามองฟ้าพลางหัวเราะ
หัวเราะไปหัวเราะมาน้ำตารินไหล…
อย่างเช่นกลางมหาสมุทร ผู้เฒ่าเมี่ยเซิงบนเรือโดดเดี่ยวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า สีหน้าขมขื่นทีละน้อยจนถอนหายใจ
ซูหมิงละสายตากลับ ยามนี้เขามีสีหน้าสงบนิ่งมาก ดวงตาไม่ใช่สีแดงอีก แต่ใสสะอาด มองหนึ่งชีวิตหนึ่งภพชาติที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด ผ่านสี่ฤดูกาลมาเท่าไร ซูหมิงหมุนตัวกลับแล้วก้าวเดินไป…
ก้าวสุดท้ายเหยียบลง ร่างเงาเขา…หายไปในระหว่างคิ้วชายชุดคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิบนเข็มทิศ หายไป…ชั่วนิรันดร์
สายลมหิมะ ควันไฟ โลกกู่จั้ง การถอนหายใจแห่งการจากลา…
ตอนมาตื่นขึ้นในความแปลกตา ยามจาก…เพียงแค่ไปอย่างเงียบเหงา มีเพียงเต๋าที่เป็นดั่งแสงม่วงบนฟ้า แม้จะไร้ชะตาชีวิตแล้ว แต่ฟ้าสีม่วงยังคงอยู่นิจนิรันดร์