Ranker’s Return - ตอนที่ 44
ชายทั้งสองคนกำลังนั่งดื่มกันอยู่บนสกายเลานจ์ชั้นที่ 39 ของโรงแรมเกาลูนในปักกิ่ง
“เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับพี่ ผมคิดว่าพอสตรีมไปได้สวยแล้วพี่จะลืมผมซะอีก” ชายหนุ่มผู้มีอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ นามว่าหลิวเซยยิ้มให้กับเทียนฮู
“ฉันอาจจะดูยุ่งกับงานก็จริง แต่นายก็เป็นถึงหนึ่งในสามมังกรร้ายของเกาลูนนะ มาคุยไปกินไปกันเถอะ” หลังจากที่เทียนฮูชูมือขึ้นแล้ว อาหารมากมายหลายจานก็นำมาเสิร์ฟบนโต๊ะ
“มีใครมาหาเรื่องพี่เหรอครับ?” หลิวเซยสงสัย
“ไม่ใช่แบบตรง ๆ หรอก แต่ก็ทำให้ความภาคภูมิใจของฉันมีรอยด่างเหมือนกัน”
เมื่อหลิวเซยได้ยินเรื่องราวของเทียนฮูแล้วเขาก็โกรธขึ้นมา สำหรับเขาแล้วเทียนฮูเป็นทั้งพี่ชายที่เคารพและเป็นผู้มีบุญคุณสำหรับเขา เขาเป็นผู้มีบุญคุณผู้ที่ทำให้หลิวเซยได้มาเล่นเกมนี้ นอกจากนี้ยังทำให้เขาได้รับตำแหน่งหนึ่งในสามมังกรร้ายแห่งสมาพันธ์เกาลูนอีกด้วย
“ใครเป็นคนทำกันครับ?”
“เหมือนคนจะเรียกหมอนั่นกันว่าบอสใหญ่ประจำซอยนะ พักนี้เจ้านี่ดังมากเลย”
“บอสใหญ่ประจำซอยเหรอครับ?” หลิวเซยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขานึกไม่ออกเสียทีว่าบอสใหญ่ประจำซอยนั้นเป็นใคร “อ้อ! คนดังหน้าใหม่ที่เอาชนะต่อกันร้อยครั้งในอารีน่าสินะครับ?” หลิวเซยตบมือขึ้นมาหลังจากที่นึกขึ้นได้
“ใช่! เจ้านั่นแหละ”
“ให้ผมช่วยอะไรพี่ดีครับ?”
“แต่มันอยู่ในสังกัดของไนกี้นะ นายจะไหวงั้นเหรอ?” เทียนฮูแสร้งทำเป็นห่วงหลิวเซย ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จากหลิวเซยได้เรื่อย ๆ นั่นเอง
“เชื่อในตัวผมเถอะครับ ผมเองก็เป็นหนึ่งในสามมังกรร้าย สามมังกรร้ายเชียวนะ!”
“อื้อ! ฉันจะเชื่อใจนายนะ” เทียนฮูพูดพร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นในตัวหลิวเซย จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า “งั้นถ้าฉันส่งเด็กในกิลด์ซักคนไปจัดการมันในนามของเกาลูนล่ะ?”
“เด็กของพี่จะไหวหรือครับ?”
“งั้นจะให้ทำไงล่ะ?”
ตอนนั้นเองที่หลิวเซยประกาศกร้าวออกมา “ผมจะลุยเองครับ ผมจะกระทืบเจ้านั่นให้จมดินไปเลย”
เทียนฮูเขย่ามือของหลิวเซยเบา ๆ ในขณะที่หลิวเซยเองก็ยิ้มให้เขา
***
สุดท้ายแล้วฮยอนนูก็ไม่เจออะไรในพื้นที่ชนเผ่าทูม่า เขาจึงมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบไบรอันต่อไป
“มันจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่ที่นี่แน่ ๆ”
ในเมื่อไม่มีเบาะแสอะไรที่พื้นที่ชนเผ่าทูม่าเลย ที่ทะเลสาบไบรอันก็ต้องมีร่องรอยบางอย่างไม่ผิดแน่ น่าจะต้องมีแคมป์ลับสักแคมป์ที่พวกกบฏเอาเสบียงมาจากปราสาทลิป้า
ความจริงแล้วทะเลสาบไบรอันไม่ควรจะถูกเรียกว่าทะเลสาบเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากมันเป็นแค่โอเอซิสแห่งเล็ก ๆ เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตามพื้นที่รอบ ๆ นี้ก็เต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่คอยแย่งชิงพื้นที่โอเอซิสนี้อยู่ หมาป่าทะเลทรายจะพบได้มากที่สุดในเขตนี้ มีการแนะนำให้ล่าพวกมันด้วยปาร์ตี้อย่างน้อยสามคนหากเพิ่งจะมาล่าที่ปราสาทลิป้าได้ไม่นาน เนื่องจากการล่าหมาป่าทะเลทรายพวกนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าฮยอนนูกับทังอี พวกมันก็ไม่ต่างอะไรกับฝูงสุนัขที่ไร้พลัง
[คุณได้ฆ่าหมาป่าแห่งทะเลทราย]
[ได้รับค่าประสบการณ์]
“ทังอี! ตั้งใจหาให้มันดี ๆ หน่อยสิ ถ้าไม่เจอละก็ นายกับฉันจะต้องติดอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ไปตลอดชีวิตแน่” ฮยอนนูดุทังอีผู้ไร้เดียงสา
การล่าที่ทะเลสาบไบรอันผ่านมานานกว่าสามชั่วโมงแล้ว แต่สิ่งที่ฮยอนนูหาเจอก็มีแต่พวกหมาป่าทะเลทรายเท่านั้น ตอนนี้เองฮยอนนูก็เริ่มกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่นะไอ้เจ้านายท่าน! ฉันเกลียดทะเลทรายนี้เหลือเกิน” ตาทั้งสองข้างของทังอีเบิกโพลงขึ้นหลังจากได้ยินคำพูดนั้นของฮยอนนู ทะเลทรายเป็นพื้นที่ที่เลวร้ายมากสำหรับทังอี เกาะบุงบุงบ้านของทังอีนั้นเป็นป่าที่สวยงามมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขามายังพื้นที่ทะเลทราย
“นั่น! มีรอยอยู่ตรงนั้นด้วย” ทังอีใช้อุ้งมือของตนชี้ไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ
ฮยอนนูมองสำรวจบริเวณที่ทังอีชี้ไปอย่างระมัดระวัง เขามองเห็นรอยเท้าจำนวนมากที่เดินไปยังทะเลสาบ
“อย่างที่คิดเลย นายนี่มันพึ่งพาได้จริง ๆ ด้วยทังอี” ฮยอนนูลูบหัวของทังอีเบา ๆ
ในที่สุดเขาก็เจอเบาะแสของภารกิจแล้ว
***
“นี่มันอะไรกัน?”
เขาเจอร่องรอยของรอยเท้าจำนวนมาก รอยเท้ามีต้นตอมาจากปราสาทลิป้าและไปสิ้นสุดที่ทะเลสาบ
‘น่าแปลกมาก ร่องรอยหายไปกับทะเลสาบนั้น’
“พวกมันเข้าไปในทะเลสาบงั้นเหรอ?”
ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของฮยอนนูได้ ฮยอนนูได้แต่เตะทรายไปในทะเลสาบเพื่อระบายอารมณ์
แก๊ง~
“เอ๋?”
ในตอนนั้นเองฮยอนนูก็สังเกตเห็นเรื่องผิดปกติบางอย่าง เห็นได้ชัดว่าฮยอนนูเตะทรายไปในทะเลสาบเพื่อระบายอารมณ์ ทว่าแทนที่จะได้ยินเสียงทรายตกลงไปในน้ำ เขากลับได้ยินเสียงเหมือนเหล็กที่ถูกอะไรมากระทบแทน
“หรือว่าบางทีนี่มัน?”
ฮยอนนูเดินเข้าไปใกล้ ๆ ทะเลสาบมากยิ่งขึ้น
[คุณต้องการจะเข้าไปแคมป์ทะเลทรายของพวกกบฏหรือไม่?]
“ใช่จริง ๆ ด้วย!”
การคาดการณ์ของฮยอนนูนั้นไม่ผิดเพี้ยนเลย นี่เป็นดันเจี้ยนส่วนตัวที่มีรูปแบบเดียวกันกับดันเจี้ยนกิ้งก่าทะเลทราย
***
[คุณเข้ามายังแคมป์ทะเลทรายของพวกกบฏแล้ว]
เมื่อฮยอนนูเข้ามายังแคมป์ทะเลทรายแล้ว เขาก็เห็นผู้คนมากมายที่กำลังขนเสบียงจำนวนมากอยู่ มองแวบแรกก็พอจะรู้ได้ว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคน เสบียงนั้นมีตั้งแต่อาหารไปจนถึงอาวุธหรือแม้แต่พวกสมุนไพร ไม่ว่าจะดูอย่างไรของพวกนี้ก็เป็นเสบียงสงครามไม่ผิดแน่
‘จะว่าไปแล้วทำไมหน้าต่างสำเร็จภารกิจถึงไม่เด้งขึ้นมากัน? หรือต้องสำรวจอะไรเพิ่มอีกงั้นเหรอ?’
ในตอนนั้นเองชายผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาหาฮยอนนู เขาเป็นคนที่คอยคุมคนอื่น ๆ ในการลำเลียงเสบียง “เฮ้ย! แกน่ะ! ทำไมถึงเอาแต่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ไกล ๆ กัน?”
ดูเหมือนชายผู้นี้จะคิดว่าฮยอนนูเป็นแค่คนงานธรรมดาเหมือนกับคนอื่น ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นฮยอนนูจึงตัดสินใจที่จะสวมรอยตามการเข้าใจผิดของอีกฝ่าย “ฉันชื่ออเดล เป็นจอมเวทมนตร์ดำ”
“อเดลงั้นเหรอ? อ้อ! นายคือลูกศิษย์ของเฟเลี่ยนนี่เอง ดีจริง ๆ ที่ได้เจอ ฉันชื่อชาเลส” ชาเลสพูดตอบกลับ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่ทังอี “ว่าแต่เจ้าหมีนี่มันอะไรกัน?”
“สัตว์ประหลาดของข้าเอง มันชื่อปีปี้ และมันก็เป็นผลงานชิ้นเอกของข้า ถึงจะมีรูปร่างแบบนี้แต่มันก็ดีกว่าพวกซอมบี้เยอะ”
“งั้นเหรอ? ปีปี้…ก็ดูเหมาะดีนะ” ชาเลสดูจะระแวงฮยอนนูอยู่พอสมควร
เฮ้อ~
ฮยอนนูคิดว่าชาเลสจะต้องรู้จักอเดลแน่ ไม่เช่นนั้นหลังจากที่ถามเกี่ยวกับทังอีแล้วเขาคงไม่ทำท่าทีระมัดระวังฮยอนนูถึงขนาดนี้
“ถ้างั้นก็ไปหาเฟเลี่ยนเถอะ เขาน่าจะยินดีที่นายมาที่นี่นะ”
“เข้าใจแล้ว”
ชาเลสกลับไปประจำตำแหน่งของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
“รีบไปกันเถอะทังอี” ฮยอนนูกับทังอีเริ่มสำรวจรอบ ๆ บริเวณแคมป์ทะเลทราย
จากที่ฮยอนนูสังเกตุดูแม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นแคมป์ของพวกกบฏแต่มันก็ไม่ได้ดูพิเศษอะไร เขายังคงมองสำรวจไปรอบ ๆ ทว่าในขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินคำพูดบางอย่างที่ทำให้เขาหยุดชะงัก
“อาณาจักรซองอาจมีส่วนเกี่ยวข้องงั้นเหรอ? ฉันจะต้องเลื่อนกำหนดการแล้ว เรียกพวกจอมเวทมนตร์ดำไปยังทิศใต้ซะ” จอมเวทมนตร์ดำสูงอายุกำลังสื่อสารกับใครบางคนผ่านลูกแก้ว
‘คนคนนี้จะต้องเป็นเฟเลี่ยนอย่างแน่นอน’
“เกือบจะเสร็จแล้ว สามวันจากนี้พวกเราก็จะโจมตีปราสาทลิป้าได้แล้วละ ท่านลอร์ดของปราสาทลิปาอยู่เคียงข้างเรา”
‘อะไรกัน? ลอร์ดของปราสาทลิป้าเป็นพวกกบฏงั้นเหรอ?’
[-ข้อมูลเกี่ยวกับพวกกบฏ 1/1]
ในขณะนั้นเองจอมเวทมนตร์ดำอาวุโสเฟเลี่ยนก็โยนผลึกทรงกลมสีดำไปยังที่ที่ฮยอนนูซ่อนอยู่
“ใครกัน?” อย่างไรก็ตามฮยอนนูก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้ว
“หรือว่าฉันดูผิดไป?”
***
ทันทีที่ได้ยินแผนการของพวกกบฏ ฮยอนนูก็รีบผละตัวออกมาโดยทันที เขาต้องรีบหนีไปและกลับไปที่พระราชวังเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ
“อีกสามวัน”
แทบจะไม่เหลือเวลาอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะออกจากค่ายกบฏอย่างลับๆ ฮยอนนูก็เห็น ‘พวกเขา’ และเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา
‘พวกมันกำลังถูกขัง’
หนึ่งในนั้นเอามือกระแทกกับโต๊ะอย่างแรง
“น่าอายจริง ๆ ที่ถูกมนุษย์หลอก ข้าคือค้อนทองคำแห่งเผ่าทั่งแดงเชียวนะ !”
“พวกเขาสัญญาว่าจะปล่อยเราเมื่อเรื่องนี้จบลงไม่ใช่เหรอ?”
“เจ้าโง่! แกกลายเป็นคนแคระหน้าโง่แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่! พวกมันไม่มีทางปล่อยเราไปแน่”
พวกเขาคือคนแคระที่ถูกจอมเวทมนต์ดำจับตัวมาและบังคับให้ทำอาวุธให้กับพวกกบฏ ฮยอนนูค่อย ๆ เข้าไปหาพวกคนแคระอย่างระวัง “โทษทีนะ มีอะไรให้ช่วยไหม?”
“พวกมนุษย์ที่น่าสะอิดสะเอียน! แกมาทำอะไรที่นี่กัน?” คนแคระที่เรียกตัวเองว่าค้อนทองคำชี้ค้อนไปที่ฮยอนนูอย่างเกรี้ยวกราด
“ฟังเรื่องราวของฉันสักหน่อยเถอะ ฉันเป็นนักผจญภัยที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับคนที่ลักพาตัวพวกนายมา”
“นักผจญภัยงั้นเหรอ? นักผจญภัยจะช่วยพวกเราได้ยังไงกัน?” เหล่าคนแคระสงสัย
เป็นเรื่องปกติที่เหล่าคนแคระจะรู้สึกสงสัย ผู้เล่นในปัจจุบันซึ่งรู้จักกันในนามของนักผจญภัยนั้นไม่ได้แข็งแกร่งมากนักเมื่อเทียบกับพวก NPC ของอารีน่า พวกเขาพัฒนาตัวละครได้อย่างรวดเร็วแต่ก็มีแค่นั้น
“หนีไปกับฉันเถอะ!”
“แล้วเราจะเชื่อนายได้ยังไง?” ครั้งนี้คนแคระอีกคนเดินออกมาข้างหน้า ดูเหมือนคนแคระเหล่านี้จะไม่เชื่อใจในตัวฮยอนนูเลย
อย่างไรก็ตามก่อนที่ฮยอนนูจะตอบคำถามนั้น ค้อนทองคำก็ขัดจังหวะเสียก่อน “ดาบที่เจ้านี่ถืออยู่มันเป็นดาบที่ฉันสร้างขึ้นนี่น่า ไม่มีจอมเวทมนตร์ดำหน้าไหนถือดาบนี้หรอก พวกมันไม่รู้คุณค่าของอาวุธเพราะเอาแต่พึ่งพาเวทมนตร์” เขาหยุดพูดไปพักหนึ่งก่อนจะประกาศว่า “รวบรวมเด็ก ๆ ทั้งหมด เราจะออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
“เข้าใจแล้วครับ ท่านค้อนทองคำ”
หลังจากนั้นคนแคระหนุ่มก็หายตัวไป มันเป็นความเร็วที่น่าทึ่งสำหรับคนแคระผู้มีขาสั้น
ฮยอนนูสงสัยจึงถามว่า “นายเชื่อใจฉันงั้นเหรอ?”
“ฉันไม่เชื่อใจนายหรอก แค่จะหาวิธีหนีก็เท่านั้น”