Ranker’s Return - ตอนที่ 60
ตอนที่ 60
ดูเหมือนว่าจอมเวทมนตร์ดําผู้นี้จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี กองทัพโครงกระดูกของเขาปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ
“กองทัพอมตะงั้นเหรอ?” นี่คือคําเรียกที่เหมาะสมที่สุดสําหรับกองทัพโครงกระดูกของคาร์ดัม
“ฉันควรบอกให้เขายอมแพ้น่าจะดีกว่านะ” อะซุพึมพําออกมาด้วยท่าทางถอดใจ ไม่ แปลกใจเลยว่าทําไมเขาถึงซื้อข้อมูลดี ๆ ได้ในราคาถูก นี้คือกับดัก! มันคือกับดักอย่างชัดเจน
“ไอ้บ้าเอ๊ย!”
อะซุใช้พลังเวทมนตร์จนหมดและเหลือยาฟื้นฟูพลังเวทเพียงแค่สามขวดเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะใช้เวทมนตร์โจมตีพวกมันเท่าไหร่ โครงกระดูกพวกนั้นก็ยังลุกขึ้นยืนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“คนอื่น ๆ ต่างก็กําลังลําบากเช่นเดียวกับฉัน อะซุหันไปมองใบหน้าของนิกและมาฮา พวกเขาต่างก็ขมวดคิ้วราวกับว่าพลังเวทมนตร์กําลังจะหมดเช่นกัน
“ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเราได้พบกับจุดจบแน่!”
ตอนนั้นเองก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้นในสุสาน พลังงานดาบของฮยอนนูได้ทําลายล้างพวกโครงกระดูก คลื่นพลังสีน้ำเงินน่าหวั่นเกรงกําลังพุ่งผ่านร่างกายของพวกมันโดยไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนกําลังลง มันแผดเผาและทําลายโครงกระดูกพวกนั้นอย่างต่อเนื่อง
“ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด…”
“นายหมายความว่ายังไง?” มาฮาถอนหายใจเพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาใกล้จะหมดลงแล้ว เขานั่งลงข้างอะซุเพื่อดื่มยาฟื้นฟูพลังศักดิ์สิทธิ์
“เลเวลของบอสใหญ่ประจําซอยต่ำกว่า 100 ไม่ใช่หรือไง?”
“ก็คงงั้นมั้ง? ฉันคิดว่าเขาน่าจะอยู่ที่เลเวล 70 แต่เขาคือบอสใหญ่ประจําซอย ดังนั้นเขาอาจจะถึงเลเวล 80 ไปแล้วก็ได้”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นไปได้ไหมที่จะปลดปล่อยพลังเวทมนตร์แบบนั้นออกมาน่ะ?”
“นั่นสิ!? เขาทําได้ยังไงกัน? พลังงานดาบเป็นทักษะที่ต้องใช้พลังเวทมนตร์ หรือเขาเพิ่มค่าสถานะเหมือนพวกเราหรือเปล่า?” มาฮาเห็นด้วยกับข้อสงสัยของอะซุ
มันอยู่เหนือสามัญสํานึก สถานการณ์ไม่สมเหตุสมผล ความแข็งแกร่งและความสามารถของบอสใหญ่ประจําซอยนั้นสูงมากจนไม่อาจวัดได้จากระดับเลเวลของเขา อันที่จริงเมื่อมองแวบแรก พลังของเขาสามารถเทียบเคียงเคทที่มีเลเวล 150 ได้เลยด้วยซ้ำ
“คลาสของเขาเป็นคลาสเฉพาะที่เน้นการต่อสู้งั้นเหรอ? นั่นอาจจะสามารถอธิบายพลังเวทมนตร์ของเขาได้”
***
ขณะที่สองคนนั้นกําลังคุยกันเรื่องเขา ฮยอนนูกําลังคิดหาวิธีฆ่าคาร์ดัม
“ในทุก ๆ เกม คุณต้องทําลายต้นกําเนิดเวทมนตร์ของลิชเพื่อฆ่ามัน”
“ต้นกําเนิดเวทมนตร์” มันคือศูนย์รวมของพลังเวทและพลังชีวิตของมัน
ฉันแค่ต้องหามันให้เจอ
ฮยอนนูคิดเกี่ยวกับมันและเอ่ยถามแคนคูน “แคนคูน! นายรู้ไหมว่าต้นกําเนิดพลังเวท มนตร์ของเจ้าลิชตัวนั้นมาจากไหน?”
“ ต้นกําเนิดพลังเวทมนตร์? ทําไมนายถึงถามคําถามแปลก ๆ ตอนนี้? ก็มาจากร่างกายของมันไม่ใช่หรือไง?” แคนคูนตําหนิฮยอนนูที่ถามคําถามแปลก ๆ ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้
“ใช่! แต่มันมาจากส่วนไหนของร่างกาย?”
“มันมาจากคอและมือซ้ายของเขา!”
“คอและมือ?”
หลังจากได้ยินคําพูดของแคนคูน ฮยอนนูก็สังเกตคอและมือของคาร์ดัมทันที คอของเขาถูกคลุมไว้ แต่มือซ้ายของเขามองเห็นได้ชัดเจน แหวนฝังพลอยสีแดงเล็ก ๆ อยู่บนมือซ้ายของเขา
“แคนคูน! เล็งไปที่แหวนบนมือซ้ายของเขา ฉันจะเล็งไปที่คอของเขาเอง”
“เข้าใจแล้ว!” แคนคูนตอบสั้น ๆ แล้วกระโดดไปข้างหน้าด้วยดาบขนาดใหญ่ของเขา ทว่าก่อนที่จะไปถึงตัวคาร์ดัม เขาต้องจัดการกับอัศวินโครงกระดูกที่ปกป้องคาร์ดัมไว้เสียก่อน ฮยอนนูกับแคนคูนเคยปะทะกับอัศวินโครงกระดูกและเอาชนะพวกมันมาได้แล้วก่อนหน้านี้ถึงสามครั้ง และทุกครั้งที่พวกมันล้มลง การฟื้นตัวก็จะยิ่งช้าขึ้น
ฮยอนนูสามารถสังเกตเห็นมันได้ด้วยตาเปล่า ครั้งแรกที่ถูกทุบ พวกมันกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ในครั้งที่สองก็มีการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วแต่ก็ไม่เร็วเท่าครั้งแรก ขณะที่ครั้งที่สามมันช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นในครั้งที่สี่นี้ อัศวินโครงกระดูกก็ไม่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกต่อไป
“กล้าดียังไง” คาร์ดัมโกรธจัด คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่บุกเข้ามาในพื้นที่ของเขาเท่านั้น แต่ยังทุบโครงกระดูกตัวโปรดของเขาอีกด้วย หอกเวทมนตร์อันน่าพรั่นพรึงโผล่ออกมาจากปลายนิ้วของคาร์ดัม มันแผ่บรรยากาศที่เลวร้ายออกมาจนทําให้ผู้ที่พบเห็นตกตะลึง “นั่นมันอะไรกัน?!”
“เป็นมัน! มันคือสิ่งที่ทําให้ฉันต้องทนทุกข์ทรมาน” แคนคูนกล่าวหลังจากเห็นหอก มันคือต้นเหตุของคําสาปที่เขาได้รับ
“ระวังด้วย..มันอันตรายมาก!” เขากล่าวเสริม
อย่างไรก็ตามจากมุมมองของฮยอนนู หอกเล่มนั้นเป็นเพียงทักษะของบอสที่ทรงพลัง แม้ว่าเขาจะหยุดมันไม่ได้ แต่เขาก็จะไม่ตายเพราะเขาได้รับการฟื้นฟูและบัฟของทังอี
“ไม่อย่างไรฉันก็จะเอาชนะให้ได้!”
ฮยอนนูพุ่งเข้าหาคาร์ดัมอย่างระมัดระวัง สิ่งที่สําคัญที่สุดในการต่อสู้กับนักเวทย์ทั้งหลายคือ การยับยั้งกระบวนการร่ายเวทมนตร์ของพวกเขา โดยปกติแล้วการร่ายเวทมนตร์ของ NPC นั้น มักจะซับซ้อนกว่าของผู้เล่น มันจึงง่ายกว่าที่จะยับยั้งการร่ายเวทมนตร์ของพวก NPC
ฮยอนนูกวัดแกว่งดาบในมือพร้อมทั้งเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ คาร์ดัม มันคือการคุกคามรูปแบบหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการทําลายสมาธิของคาร์ดัม และนั่นก็ทําให้จอมเวทมนตร์ดําผู้เป็นเป้าหมายของชายหนุ่มรู้สึกรําคาญใจอยู่ไม่น้อย “แมลงวันตัวนี้!!”
การเรียกใช้หอกต้องสาปนี้ค่อนข้างพิเศษและมีเงื่อนไขจําเพาะ คาร์ดัมจําเป็นต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะถ้าเขาพลาด มันจะไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง
‘บ้าจริง! เจ้านั่นเร็วเกินไป’
การเคลื่อนไหวของฮยอนนูเร็วเกินกว่าที่สายตาของคาร์ดัมจะตามทัน
.โธ่เอ๊ย!”
คาร์ดัมเริ่มรู้สึกกังวล ด้วยสถานะปัจจุบัน ไม่มีทางที่เขาจะต่อสู้ต่อไปในลักษณะที่ยืดเยื่อเช่นนี้ ได้อย่างไรก็ตามเขาไม่มีทางเลือกอื่น พลังเวทมนตร์ของเขาลดลงตามระยะเวลาที่เขาใช้ในการรักษาโครงกระดูก ดันเจี้ยนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นสนามหน้าบ้านของเขา แต่เขาไม่สามารถปล่อยพลังเวทมนตร์ออกมาแบบนี้ได้อีกต่อไป มันเป็นไปไม่ได้เลยเว้นแต่เขาจะเป็นมังกร
ต้องตัดสินใจ เขาควรจะรักษากองทัพโครงกระดูกต่อไปหรือคิดหาวิธีอื่นในการต่อสู้? เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนักเนื่องจากฮยอนนูยังคงจู่โจมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ไม่นานคาร์ดัมก็ตัดสินใจ เขานําโครงกระดูกทั้งหลายกลับมาพูดตรง ๆ คือเขาดูดพลังเวทมนตร์กลับคืนมานั่นเอง
“มันช่วยไม่ได้ จงออกมา!”
ทันทีที่คําพูดของคาร์ดัมจบลง วงกลมเวทมนตร์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันเป็นส่วนผ สมของรูปร่างทุกประเภทและอักขระที่ยากต่อการทําความเข้าใจ พื้นที่โดยรอบเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และอัศวินสวมเกราะกระดูกที่มีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ก็ปรากฏตัวขึ้นในวงเวทย์ และรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์ที่ว่านั้นก็คือ…เขากําลังจับหัวของเขาไว้ในมือซ้ายของตน
[โครงกระดูกชั้นยอด “ดูลาฮาน” ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว]
“ดูลาฮาน!”
“ดูลาฮาน?”
เมื่อสองเดือนก่อน ดูลาฮานถูกเรียกว่าเป็นกําแพงเหล็กกล้าที่ไม่มีวันแตก และทําให้ทีมจู่โจมจํานวนมากจากกิลด์ขนาดใหญ่และนักเล่นเกมมืออาชีพต้องผิดหวังและพังพินาศ
“เราจะล่ามันได้อย่างไร?”
โครงกระดูกถือหัว
เจเวลคร่ำครวญเมื่อเห็นดูลาฮาน
“กิล์ดโลกใหม่เป็นพวกแรกที่ฆ่ามันได้ใช่หรือเปล่า?”
“กองทัพนักบวชเอาชนะมันได้โดยใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง”
“กองทัพ? ประมาณ 20 คนงั้นเหรอ?”
“ใช่แล้วละ! หากนับรวมเจ้าออร์คตัวนั้น พวกเรามีเพียง 8 คน และฉันก็เป็นนักบวชเพียงคนเดียว!”
“เอาเถอะ! ตราบใดที่ยังไม่ตายเราก็ยังต่อสู้ได้ อีกอย่างพลังเวทมนตร์ของฉันก็ยังเต็มเปี่ยม”
“นายแค่ป้องกันตัวเองแล้วคอยซีลให้พวกเราก็พอแล้ว”
“แต่ว่าฉันยังมีทักษะโจมตีอยู่นะ ฉันควรใช้ ‘เสียงของพระเจ้า’ สักครั้งไหม?”
“อย่าสิ้นเปลืองไปเลย พลังเวทที่นายต้องใช้สําหรับสกิลนั้นสามารถฮีลเคทได้ถึง 5 ครั้งเลยนะ เจ้าโง่!”
ในขณะนั้นเอง แววตาของพวกเขาก็เริ่มจริงจังขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดฮยอนนู แคนคูน เคท และเจเวลก็ได้เริ่มต้นจู่โจมดูลาฮาน
ในเกมอารีนาดูลาฮานถือเป็นอันเดดที่แข็งแกร่งเป็นลําดับต้น ๆ มันแทบจะไม่เป็นอะไรเลย แม้จะถูกโจมตีโดยผู้เล่นสี่คน
“ถ้าไม่ใช่เพราะคําสาปบ้าน เจ้าโครงกระดูกนั้นคง…” แคนคูนรู้สึกว่าสถานการณ์ของตนเริ่มเลวร้ายมากยิ่งขึ้นเมื่อการต่อสู้ดําเนินต่อไป ทุกครั้งที่เขาใช้เวทมนตร์ คําสาปจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย เขาคงไม่สามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้หากปราศจากความช่วยเหลือจากสหายร่วมรบ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขามาถึงขีดจํากัดแล้ว “เจ้ามนุษย์ ข้าถึงขีดจํากัดแล้ว คําสาปได้แพร่กระจายมากเกินไป”
ฮยอนนูมองแคนคูนอย่างจริงจัง สภาพของเขาค่อนข้างย่ําแย่เลยทีเดียว เสื้อผ้าที่ทําจากขนสัตว์ไม่สามารถปิดบังคําสาปร้ายนั่นได้อีกต่อไป ตอนนี้แขนซ้ายของแคนคูนห่อเหี่ยวเนื่องจากพิษ คําสาปได้ดูดกลืนพลังชีวิตไปจนสิ้น
“นายไปพักข้างทั้งอีเถอะ ฉันจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จโดยเร็ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ามนุษย์”
ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฮยอนนูและแคนคูนคุยกันนั้น เคทและเจเวลกําลังลําบาก พลังเวทมนตร์ และพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาเหลืออยู่ไม่มากนัก ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้ทักษะของตนได้อย่างเต็มที่
“โทษที่ที่ให้รอ” ฮยอนนูกล่าวคําขอโทษและกลับเข้าร่วมการต่อสู้อีกครั้ง เขาจะรอช้าไม่ได้อีกต่อไป สถานการณ์ของแคนคูนเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ หากปล่อยไว้คําสาปจะดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดของเขาลง ฉะนั้นฮยอนนูต้องฆ่าดูลาฮานและเจ้าจอมเวทมนตร์ดํานั่นให้เร็วที่สุด
“ขอเวลาให้ฉันห้านาที ฉันจะจัดการมันเอง ในระหว่างนี้ฉันอยากให้พวกนายรีบฟื้นคืน พลังของตนให้ได้มากที่สุด”
ฮยอนนูได้เลเวลอัพไปในระหว่างที่ฆ่าโครงกระดูก ดังนั้นเขาจึงมีพลังเวทมนตร์มากกว่าคนอื่น ๆ นอกจากนี้ยังมีบัฟของทังอี ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันเพียงพอหลังจากได้รับบัฟของนักบวชด้วยเช่นกัน
“ถ้านายบัฟให้ฉัน ฉันจะจัดการดูลาฮานในเวลาห้านาที”
และแล้วการต่อสู้แบบตัวต่อตัวระหว่างฮยอนนูกับดูลาฮานก็เริ่มต้นขึ้น
***
[คุณได้รับบัฟ “พลังงานอันศักดิ์สิทธิ์”]
[อาวุธของคุณเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจากพระเจ้าอันสูงส่ง]
[พลังโจมตีเพิ่มขึ้น]
[คุณได้รับบัฟ “คําอวยของเหล่าเทพธิดา”]
[ค่าสถานะทั้งหมดจะเพิ่มขึ้น]
[ความเร็วในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น]
[คุณได้รับการปกป้องด้วยความกล้าหาญ]
[พลังโจมตีเพิ่มขึ้น]
[พลังป้องกันเพิ่มขึ้น]
บัฟของนักบวชที่เลื่อนขั้นคลาสครั้งที่สองแล้วนั้นยอดเยี่ยมมาก ตอนนี้ฮยอนนรู้แล้วว่าทําไมคนถึงนิยมเล่นอาชีพนักบวช
‘บัฟดูดีพอ ๆ กันกับบัฟของทังอีเลยนะเนี่ย’
หลังจากได้รับบัฟแล้ว ฮยอนนูก็พุ่งตรงไปที่ดูลาฮาน นอกจากนี้เขายังไม่ลืมที่จะใช้งานทักษะพลังแห่งยักษา
[เปิดใช้งานทักษะ “ พลังแห่งยักษา” แล้ว]
[ค่าพละกําลังของคุณเพิ่มขึ้น]
[ใช้ธาตุแท้ของยักษ์แล้ว]
[ค่าพละกําลังของคุณเพิ่มขึ้น]
“ฉันจะใส่ทุกอย่างที่มีไปกับระยะเวลาห้านาทีนี้ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว”
แน่นอนว่าดูลาฮานเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามครั้งนี้ฮยอนนูไม่ได้ต่อสู้เพียงลําพัง มีคนสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง สิ่งนี้ทําให้จิตใจของฮยอนนูผ่อนคลายมากขึ้น ร่างกายของเขาเบาราวกับขนนก ทว่าการโจมตีแต่ละครั้งกลับหนักหน่วงยิ่งกว่าหินผา ดูลาฮานยกโล่ขึ้นเพื่อป้องกัน การโจมตีของชายหนุ่ม น่าเสียดายที่โล่ของมันไม่สามารถป้องกันได้เลยแม้แต่น้อย
โล่ของดูลาฮานแหลกละเอียด ทว่าฮยอนนูไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้ เขาเคลื่อนไหวอย่างงดงามและมุ่งเป้าไปที่คาร์ดัมซึ่งยืนอยู่ด้านหลังดูลาฮาน ชายหนุ่มใช้ทักษะดาบพระจันทร์เสี้ยวซึ่งถูกเสริมด้วยทักษะการโจมตีอย่างหนักหน่วง
‘หลบ?..ไม่ได้ เจ้านายอยู่ข้างหลังฉัน’
ดูลาฮานต้องการหลบหลีกการโจมตีที่ทรงพลังนี้ ทว่าคาร์ดัมผู้เป็นเจ้าของมันยืนอยู่ข้างหลัง เป็นไปไม่ได้เลยที่จอมเวทมนตร์ดําจะตอบสนองและหลบการโจมตีของชายหนุ่มได้ทันเวลา
“เจ้ามนุษย์น่ารังเกียจ! ข้าจะฆ่าเจ้า!” ดูลาฮานโกรธจัด
“จะว่าไปแล้วเจ้าดูลาฮานตัวนี้เป็นบอสจริง ๆ เหรอ?” คําถามนี้ผุดขึ้นในใจของฮยอนนู บางที มันอาจจะเป็นดูลาฮานธรรมดา ๆ ไม่ใช่บอส? อาวุธและชุดเกราะของบอสไม่มีทางแตกได้เร็วขนาดนี้
“ถ้าอย่างนั้นละก็…”
“ฉันคนเดียวก็พอแล้ว!”