Re : Seconds (SS 1) - ตอนที่ 3 The ancient book [Part 1]
เมื่อทุกคนกลับถึงบ้านแล้วคุณ Stark จึงสั่งให้ Joseph ไปแจ้งแม่บ้านว่าให้จัดเตรียมห้องที่ว่างเพิ่มเพื่อไว้สำหรับ Charlotte
“ครับ” Josephพูดขึ้นและเดินเข้าไปในบ้านเพื่อแจ้งให้แม่บ้านทราบ
หลังจากนั้นไม่นานที่ Joseph เข้าไปในบ้านก็ได้ออกมาเชิญทุกคนเข้าไปนั่งที่ห้องรับแขกก่อน
บ้านหลังใหม่ของเธอนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาที่สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้ทั้งหมด มันเป็นบ้านหลังใหญ่โตสไตล์วิคตอเรียน มีสวนกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส มีสระว่ายน้ำ และแม้กระทั่งสนามเทนนิส Charlotte เธอแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อได้ก้าวเข้าไปในบ้านที่มีห้องมากมายเหลือเฟือ
“ดูดีเลยใช่ไหมล่ะ” Stark หันมาหา Charlotte และยิ้มบางๆ
เธอมองไปที่เขาและยิ้มด้วยความดีใจ “ค่ะ..เป็นบ้านที่สวยมากๆเลย”
“ถ้าเธอคิดแบบนั้นฉันก็ได้ใจนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น
ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันได้มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินเข้ามา
เธอยืนอยู่ด้านข้างของ Charlotte ในห้องรับแขก เธอมีผมยาวสีดำขลับถูกตัดเป็นหน้าม้าที่เรียบเนียน ตกลงมาปิดหน้าผากเล็กน้อย เธอสวมเครื่องแบบคนรับใช้แบบดั้งเดิม ชุดเดรสสีดำยาวที่มีลูกไม้สีขาวประดับอยู่ที่ขอบแขนเสื้อและชายกระโปรง ผ้ากันเปื้อนสีขาวบริสุทธิ์ถูกผูกอย่างประณีตที่เอว
ดวงตาสีทองของเธอเปล่งประกายมีเสน่ห์ แฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและความเคร่งขรึม เธอยืนตัวตรงอย่างสุภาพและมีความเรียบร้อย ท่าทางของเธอเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการอบรมที่ดีเยี่ยม
เธอมีชื่อว่า Leefa สาวรับใช้ประจำบ้านของ Stark หน้าที่ของเธอคือการดูแลความสะอาด,ความเรียบร้อยและการต้อนรับแขกภายในบ้าน ตั้งแต่การทำความสะอาด การจัดเตรียมอาหาร จัดหาห้องพัก ไปจนถึงการดูแลสวนดอกไม้ ทุกหน้าที่เธอปฏิบัติด้วยความภักดีและตั้งใจ
เธอเข้ามาหาพร้อมบอกกับ Charlotte ว่าจัดเตรียมห้องเรียบร้อยแล้วพร้อมกับยกถุงที่พึ่งซื้อของต่างๆจากห้างของ Charlotte ไปที่ห้อง
“เอ๊ะ..ม..ไม่เป็นไร” Charlotte พูดเสียงสั่นออกมาก่อนที่ Stark จะพูดแทรกขึ้น
“ไม่เป็นไร Charlotte เด็กคนนั้นชื่อ Leefa เป็นคนรับใช้น่ะ เธอแค่ยกของไปเก็บให้เธอเฉยๆ”
“เธอเองก็ขึ้นไปที่ห้องกับ Leefa ซะสิจะได้ดูห้องของตัวเองด้วยเลย” ทันทีที่ Stark พูดจบเขาก็ลุกขึ้นและเดินไปที่สวนหลังบ้าน
เธอได้เดินตาม Leefa ตามที่ Stark แนะนำแล้วได้ถาม Leefa เกี่ยวกับห้องนอนของเธอ Leefa นั้นได้อธิบายเกี่ยวกับห้องนอนของเธออย่างละเอียด
ห้องนอนของ Charlotte นั้นทั้งกว้างขวาง มีเตียงนุ่ม ๆ และมุมอ่านหนังสือสำหรับเธอ นอกจากนั้นก็มีตู้เสื้อผ้า ชั้นหนังสือ โต๊ะเครื่องแป้ง และหน้าต่างบานใหญ่ ที่เตียงนอนนั้นมีทั้งหมอนกับผ้าห่มที่ทำจากเนื้อผ้าคุณภาพดีสำหรับเธอ
หลังจากที่ Charlotte มาถึงห้องแล้ว Leefa ก็ถามขึ้นมา “นี่คุณ Charlotte คะ…จะพักอยู่นี่นานแค่ไหนหรอคะ?” เธอพูดขึ้นพร้อมแสดงท่าท่าที่สงสัย
Charlotte หันมามอง Leefa ด้วยสายตาที่อบอุ่น เธอยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ฉันเองก็ไม่แน่ใจนักค่ะไม่แน่อาจจะสักพักใหญ่ หรืออาจจะตลอดไปเลย คงต้องรอคุณ Stark ยืนยันอีกครั้งน่ะค่ะ”
Leefa พยักหน้าเข้าใจ “แล้วมีอะไรที่ฉันพอจะช่วยได้ไหมคะ?”
Charlotte หัวเราะเบาๆ “ขอบใจมาก Leefa แค่ได้ที่พักแบบนี้ก็ช่วยได้มากแล้วค่ะ”
Leefa ยิ้มตอบและได้เดินออกจากห้องก่อนที่เธอจะหันหลังและบอกกับ Charlotte “งั้นถ้ามีอะไรที่ต้องการเพิ่มเติมบอกฉันได้นะคะ”
“อื้ม~” Charlotte ยิ้มตอบ
เสียงปิดประตูดังขึ้นทั้งห้องอยู่ในความเงียบสงบ Charlotte ที่อยู่ในห้องมีเฉพาะเสียงพูดคุนอกห้องเท่านั้นที่เข้ามาผ่านช่องด้านล่างของประตู
Charlotte เดินรอบห้องเพื่อสำรวจ เธอเลือกที่จะเดินไปที่ชั้นหนังสือภายในห้องเพื่อเลือกหนังสือมาอ่าน หนังสือส่วนมากที่ชั้นหนักสือนั้นมักจะเป็นหนังสือศาสตร์เวทย์และหนังสือวิชาการต่างๆ ไม่นานที่เธอกำลังเลือกเธอไปสะดุดตากับหนังสือเล่มหนึ่ง
ปกหนังสือเก่าๆ ขอบมันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และลวดลายบนปกดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“ประวัติศาสตร์ของรอยแยกมิติปริศนา” ชื่อหนังสือเขียนด้วยตัวอักษรทองเหลืองที่เก่าคร่ำ เธอเปิดหนังสือเล่มนั้นอย่างระมัดระวัง หน้าแรกมีภาพวาดเก่าแก่เป็นภาพรอยแยกในอากาศ ที่มีแสงสว่างวาบออกมาเหมือนเป็นช่องทางไปยังอีกโลกหนึ่ง ข้อความบนหน้านั้นเขียนว่า
“ในยุคหลังจากมนุษย์ทำสงครามด้วยเวทย์มนต์มีเหตุการณ์ประหลาดจากรอยแยกมิติที่ปรากฏขึ้นโดยบังเอิญ รอยแยกนี้นำพามนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆจากดินแดนที่ไม่มีใครรู้จัก นอกจากการสำรวจที่เต็มไปด้วยอันตรายและความลึกลับ ผู้ที่เดินทางผ่านรอยแยกเหล่านี้จะพบกับสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน บ้างก็ไม่เคยกลับมาเล่าเรื่องราวของพวกเขาอีก”
Charlotte รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เธออ่าน เธอพลิกไปยังหน้าต่อไป พบว่ามีการบันทึกเหตุการณ์การค้นพบรอยแยกมิติต่างๆ ในประวัติศาสตร์ มีการบรรยายถึงผู้สำรวจที่พบกับรอยแยกและการเดินทางของพวกเขาในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย บางคนได้กลับมาเล่าเรื่องราวการพบปะกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดและพลังเวทย์ที่ไม่ธรรมดา ขณะที่บางคนหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย
หนังสือยังบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการตรวจจับรอยแยกมิติ แต่ไม่ได้บันทึกเกี่ยวกับเครื่องมือและเวทมนตร์ที่ใช้ในการเปิดปิดรอยแยก Charlotte รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเล่า แต่เป็นการบันทึกข้อมูลสำคัญที่อาจนำไปสู่การค้นพบอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า เธอตัดสินใจนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ และเริ่มอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างตั้งใจ พร้อมกับคิดในใจว่า บางทีเธออาจจะค้นพบความลับที่เก็บซ่อนไว้นานนับศตวรรษ
หน้าถัดมาของหนังสือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกลุ่มนักวิชาการและนักเวทย์จากสมัยโบราณที่รวมตัวกันเพื่อศึกษาเกี่ยวกับรอยแยกมิติ พวกเขาเรียกตัวเองว่า “กลุ่มผู้สำรวจมิติ” พวกเขาได้บันทึกการทดลองและผลการสำรวจอย่างละเอียด มีทั้งแผนที่ของสถานที่ที่พบรอยแยกมิติ รวมถึงวิธีการที่ใช้ในการเปิดรอยแยกเหล่านั้น
Charlotte หยุดอ่านเพื่อคิด เธอรู้สึกว่าเรื่องราวเหล่านี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยที่ Adam กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เขาตั้งใจที่จะศึกษาเพิ่มเติมและค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับกลุ่มผู้สำรวจมิตินี้ หนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาที่เขาเฝ้าตามหาก็ได้
เธอพลิกไปยังหน้าถัดไป พบว่ามีบันทึกเกี่ยวกับบุคคลสำคัญที่มีบทบาทในการค้นพบและศึกษาเกี่ยวกับรอยแยกมิติ หนึ่งในนั้นคือ Adam นักวิทยาศาสตร์และนักเวทย์ที่มีชื่อเสียงในยุคกลาง เขาเป็นผู้ที่ค้นพบวิธีการสร้างเครื่องมือที่สามารถตรวจจับพลังงานที่เกิดจากรอยแยกมิติ Charlotte รู้สึกว่าชื่อ Adam นั้นคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
“Adam ผู้นี้เคยกล่าวไว้ว่า รอยแยกมิติเป็นเสมือนประตูที่เชื่อมโยงโลกต่างๆ เข้าด้วยกัน มันไม่ใช่แค่ช่องทางข้ามเวลาและอวกาศ แต่ยังเป็นเส้นทางสู่ความรู้และพลังที่ไร้ขีดจำกัด” ข้อความนี้ทำให้ Charlotte เกิดความสงสัยว่าชายคนนั้นอาจสามารถใช้ประโยชน์จากรอยแยกมิติเพื่อค้นคว้าและพัฒนาพลังเวทย์มนต์ต่างๆ
ในขณะที่ Charlotte กำลังจดจ่อกับการอ่าน จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ดังมาจากด้านหลังของเธอ เธอหันไปมองแต่ไม่เห็นใครหรืออะไรที่น่าสงสัย เธอจึงหันกลับมาอ่านต่อ แต่เสียงกระซิบนั้นยังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะพยายามบอกอะไรบางอย่างแก่เธอ
Charlotte รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเมื่อเสียงกระซิบเหล่านั้นไม่ยอมหยุด แม้เธอจะพยายามเพิกเฉยและกลับมาอ่านหนังสือต่อ แต่เสียงเหล่านั้นก็ยังคงดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เธอตัดสินใจที่จะไม่เมินเฉยต่อความรู้สึกของตนเองอีกต่อไป
เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้และมองไปรอบๆ ห้องเสียงกระซิบนั้นดูเหมือนจะมาจากมุมมืดของห้อง เธอเดินไปที่มุมนั้นช้าๆ ด้วยใจเต้นแรง เมื่อเธอเข้าไปใกล้ เสียงกระซิบนั้นก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
ที่มุมห้องมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ดูเก่ากว่าหนังสือเล่มที่เธอกำลังอ่าน มันตั้งอยู่บนชั้นที่เต็มไปด้วยฝุ่นที่เธอไม่เคยเจอมาก่อนในห้อง Charlotte ยื่นมือไปหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมา และทันทีที่เธอเปิดหน้าปก เสียงกระซิบก็เงียบลง แต่แทนที่ด้วยลมเย็นที่พัดผ่านหน้าเธอจนเธอได้ยินคำพูดบางอย่าง
เสียงนั้นบอกกับเธอว่า “สักวันเจ้าจะต้องหายไป”เสียงนั้นเย็นชาและน่ากลัวจน Charlotte รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น ในชั่วพริบตาเดียว ลมเย็นนั้นก็พัดแรงขึ้นทำให้หน้ากระดาษพลิกไปมา เธอพยายามจะควบคุมสติและปิดหนังสือ แต่ก่อนที่เธอจะทำอะไรได้มากกว่านั้น ความรู้สึกหนักอึ้งก็ถาโถมใส่เธอ
ทันใดนั้น Charlotte ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา พบว่าตัวเองยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอ่านหนังสือในห้องนอน แสงแดดยามเช้าส่องผ่านหน้าต่าง เธอหอบหายใจแรงด้วยความหวาดกลัว หัวใจยังคงเต้นเร็วและรัว เธอพบว่าหนังสือเล่มเดิมที่เธออ่านค้างไว้วางอยู่บนโต๊ะ และทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นปกติ
เธอพยายามตั้งสติและบอกตัวเองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงความฝัน แต่ความรู้สึกหวาดหวั่นยังคงค้างอยู่ในใจ เธอหันไปมองชั้นหนังสือที่มุมห้องที่เธอเห็นในฝัน และพบว่าที่มุมห้องมีแต่โต๊ะวางแจกันเท่านั้น
Charlotte ตัดสินใจลงไปชั้นล่างพร้อมกับความรู้สึกที่ยังไม่คลายจากความกลัว พลางสงสัยว่าความฝันนั้นมีความหมายอะไร และสิ่งที่เสียงกระซิบนั้นบอกกับเธอจะเกี่ยวข้องกับอะไรในชีวิตของเธอหรือไม่
“ตื่นแล้วหรอ Charlotte ” Stark ทักทายเธอด้วยน้ำเสียงสดใสยามเช้า โดยที่เขานั่งจิบกาแฟอยู่ที่โซฟาหรูในห้องนั่งเล่น
Charlotte พยายามซ่อนความกังวลใจของเธอไว้ ยิ้มให้ Stark และตอบกลับ “ตื่นแล้วค่ะ..ขอโทษที่ตื่นสายนะคะ”
“ไม่เป็นไรเลย ฉันไม่ได้ซีเรียสอะไรขนาดนั้นสักหน่อย” Stark กล่าวพลางยิ้ม “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? ดูเหมือนจะไม่ค่อยสบายใจเลย” เขาพูดราวกับรู้ว่าเธอกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่
Charlotte ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเล่าเรื่องความฝันให้ Stark ฟัง “เมื่อคืนฉันฝันแปลกๆน่ะค่ะ มันรู้สึกเหมือนจริงมากมีเสียงกระซิบและหนังสือเก่า แล้วก็มีลมเย็นพัดมาพร้อมกับเสียงที่บอกว่า ‘สักวันเจ้าจะต้องหายไป’ หลังจากที่ฉันได้ยินเสียงนั้นก็รู้สึกถึงความกดดันต่างๆถาโถมใส่ตัวฉันจนสะดุ้งตื่นน่ะค่ะ”
Stark ฟังอย่างตั้งใจ พลางครุ่นคิด “บางทีอาจเป็นแค่ฝันร้าย หรือไม่ก็ความเครียดที่สะสมมาก็ได้ แต่ถ้าเธอรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เราอาจจะลองหาข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือเก่าที่เธอเห็นในฝันดู เผื่อว่ามันจะมีเบาะแสบางอย่าง”
“เอาล่ะ..อย่าคิดมากไปเลยนะ ทุกอย่างจะดีขึ้นเอง” Stark พูดให้กำลังใจเธอ
ไม่นานหลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จ Yoshino ก็ได้เดินลงมาจากห้องนอนของเธอ
*หาวววว* “อ..อรุณสวัสดิ์~~” เธอพูดทักทายทุกคนที่อยู่ในห้องนั่งเล่น
“เอ๊ะ.. Charlotte เธอตื่นไวจังเลยนะเนี่ย” Yoshino พูดด้วยความตกใจ
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้ไม่นาน Stark ก็ได้หยุดการสนทนาระหว่างทั้งสองคนและได้บอกอะไรบางอย่าง
“วันนี้ฉันมีข่าวดีจะมาบอก Yoshino ด้วยนะ”
“ข่าวดีอะไรเหรอคะ?” Yoshino ถามด้วยความอยากรู้
“Charlotte จะเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกับเธอน่ะ!” Stark พูดด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้เธอตื่นเต้น
Yoshino เบิกตากว้างด้วยความดีใจ “จริงเหรอคะ!”
ทันทีที่ Charlotte ได้ยินเธอตกใจอย่างมาก “เอ๊ะ…ให้ฉันเข้าเรียนหรอคะ!?”
“ใช่แล้ว Charlotte จะเริ่มเรียนในสัปดาห์หน้า” Stark ยืนยันด้วยรอยยิ้ม
Yoshino ยิ้มกว้างขึ้น “ฉันแทบรอไม่ไหวแล้วค่ะ”
หลังจากนั้น Leefa ได้เดินเข้ามาหาและบอกกับYoshinoและCharlotteคนว่าเธอเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้วและได้เดินนำทั้งสองคนไปที่ห้องอาหาร
“คุณ Stark ไม่ไปหรอคะ?” Charlotte ถามด้วยความสงสัย
“ฉันกินแล้วหละพวกเธอไปกันเถอะฉันยังมีงานที่กสรรพากรอีกน่ะ สักพักก็จะไปแล้วหละ”เขาพูดขึ้นพลางจิบกาแฟไปด้วย หลังจากที่ Charlotte ซักถามเขาเสร็จแล้วเธอจึงเดินไปที่ห้องอาหารทันที
มื้ออาหารบนโต๊ะนั้นสามารถสังเกตเห็นได้ว่าอาหารมีหลากหลาย เป็นขนมปังกรอบ ไข่ดาว และสลัดผักสดๆ รวมไปถึงน้ำส้มเข้มข้น ทั้งหมดดูอร่อยและดึงดูดใจมาก
“นี่ๆ Leefa เธอไม่มากินด้วยกันหรอ?” Yoshino ถามกับสาวใช้อย่างเป็นกันเอง
“ไม่ได้หรอกค่ะฉันเป็นแค่คนรับใช้นะคะคุณ Yoshino ทานไปเถอะค่ะ” เธอทำท่าทางเกรงใจกลับกันเธอเองนั้นก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เช้า Yoshino ที่คาดการณ์ไว้แล้วว่า Leefa จะปฏิเสธเธอ
Yoshino จึงพูดบีบบังคับ Leefa จนเธอต้องยอมมานั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน
” Yoshino เธอทำรุนแรงไปหน่อยไหม” Charlotte หัวเราะเบาๆ
“ไม่หรอก…เอาจริงก็เพราะ Leefa ไม่ค่อยดูแลตัวเองด้วยสิจะให้ฉันทนกินต่อหน้าเธอก็ไม่ดีเท่าไหร่หรอก” Yoshino พูดด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก
Leefa ก้มหน้าลงเล็กน้อย “ค่ะ..ทีหลังจะดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ค่ะ” เธอร้องสะอึกสะอื้นเล็กน้อย
“อย่าร้องสิฉันทำแบบนี้เพื่อตัวเธอหรอกนะ…” Yoshino ปลอบขวัญของ Leefa
ทั้งสามคนทานมื้อเช้ากันอย่างเอร็ดอร่อยบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและการสนทนาที่เต็มไปด้วยความสุขของทั้งสามคน
“ขนมปังนี้อร่อยมากเลยค่ะ Leefa ทำเองใช่ไหมคะ” Charlotte ถามพลางกัดขนมปังกรอบๆ
Leefa ยิ้มรับ “ใช่ค่ะ ฉันทำเองตั้งแต่เช้า จริงๆ แล้วสูตรนี้ฉันได้มาจากแม่ของฉันเอง”
Yoshino ที่กำลังทานไข่ดาวบนจานของเขา พูดขึ้น “แม่ของเธอคงทำอาหารเก่งเหมือนเธอเลยนะ Leefa ถ้าได้เจอแม่เธอบ้างคงจะดีนะ”
Leefa ที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับ Yoshino สะดุดกับคำพูดของเขา เธอหยุดลงชั่วขณะ พลางฝืนยิ้มเล็กน้อย ถึงแม้น้ำเสียงของ Yoshino เต็มไปด้วยความอ่อนโยนแต่ก็ไม่รู้เรื่องราวที่แท้จริง ทำให้เธอไม่อยากทำลายบรรยากาศที่กำลังดีนี้
“ใช่ค่ะ…แม่ฉันทำอาหารอร่อยมาก” Leefa พูดเบา ๆ และพยายามเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “เอาเป็นว่าพรุ่งนี้อยากทานเมนูไหนมาบอกฉันได้เลยนะคะฉันจะรอที่ห้องครัวค่ะ…”
เธอรู้สึกตะครั่นตะครออยู่ข้างใน แต่เลือกที่จะเก็บความรู้สึกนั้นไว้ เพราะไม่ต้องการให้ Yoshino เป็นห่วงหรือรู้สึกผิดที่ถามคำถามนั้น เธอจึงฝืนยิ้มต่อไป พยายามไม่ให้น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาไหลออกมา
Yoshino ยิ้มและตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “ได้สิ Leefa”
หลังจากที่ทั้งสามคนทานอาหารเสร็จ Charlotte จึงเดินกลับไปที่ห้องเพื่ออ่านหนังสือ’ประวัติศาสตร์ของรอยแยกมิติปริศนา’เล่มนั้นต่อ
ถึงแม้เธอจะยังหวาดกลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแต่เธอก็ยังพยายามคิดไว้ซะว่าเรื่องนั้นมันก็แค่ฝันร้ายเท่านั้น
Charlotte กำลังคิดคำนึงถึงข้อความของ Adam อย่างลึกซึ้ง ชายคนนี้อาจมีความรู้และประสบการณ์ที่เหนือกว่าคนทั่วไปในการศึกษารอยแยกมิติ เธอรู้สึกว่าเขาอาจเป็นกุญแจสำคัญในการไขปริศนาของรอยแยกเหล่านี้
เธอเปิดไปหน้าต่อไปก็พบว่าบันทึกเหล่านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการที่ Adam ใช้ในการค้นพบและเปิดรอยแยกมิติ รวมถึงแผนที่และสูตรเวทย์มนตร์ที่ใช้ในการควบคุมพลังของรอยแยกและเธอก็พบว่ามีข้อความที่เขียนด้วยลายมือที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นบันทึกสุดท้ายของ Adam
หน้าถัดไปของหนังสือที่ Charlotte กำลังอ่านเริ่มต้นด้วยข้อมูลของมอนสเตอร์ที่ถูกเรียกว่า “Void”
หลังจากที่เธอเปิดหน้าหนังสือไป Charlotteก็พบข้อมูลของมอนเตอร์ในหัวข้อที่เขียนด้วยอักษรสีทองโดดเด่น ‘ Void – มอนสเตอร์แห่งความโกลาหล’
Void คือสิ่งมีชีวิตจากรอยแยกมิติ มันเป็นเงาดำทมิฬ ไม่มีรูปร่างที่แน่นอน ไร้รูปทรงตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ตามต้องการ เหล่านักวิจัยที่บันทึกข้อมูลนี้ระบุว่า ในช่วงเวลาปกติ Void จะปรากฏในรูปทรงคล้ายมนุษย์บ้าง คล้ายกับปีศาจในนิยายบ้าง ดวงตาของมันส่องแสงสีแดงเจิดจ้า และมีพลังในการทำลายที่ส่งผลแม้กระทั่งอีกฟากของมิติ
ความสามารถพิเศษของพวกมันหลักๆเลยคือการการดูดกลืนพลังงานโดยที่Void สามารถดูดกลืนพลังงานจากสิ่งมีชีวิต,วัตถุที่อยู่ใกล้เคียงหรือแม้กระทั่งพลังเวทย์และมิติ ซึ่งทำให้มันสามารถฟื้นฟูพลังงานและรักษาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้มันยังสามารถเคลื่อนย้ายผ่านรอยแยกมิติโดยที่มันสามารถสร้างรอยแยกมิติเล็กๆ เพื่อย้ายตัวเองจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ยากต่อการติดตามและจับกุมแถมพลังในการการบิดเบือนความเป็นจริงของ”Void”นั้นสามารถสร้างภาพลวงตาและบิดเบือนความเป็นจริงรอบตัว ทำให้ศัตรูของมันสับสนและสังหารศัตรูมันอย่างง่ายดาย
พฤติกรรมของ “Void” มักจะปรากฏตัวในสถานที่ที่มีพลังงานมิติสูง มันมักจะล่าเหยื่อที่มีพลังงานเวทมนตร์สูงหรือสิ่งประดิษฐ์ที่มีพลังงานแฝงมันมีนิสัยที่เงียบสงบและซ่อนตัวเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้ แต่จะกลายเป็นศัตรูที่อันตรายเมื่อถูกกระตุ้นหรือถูกคุกคาม
นอกจากนั้นพวกมันยังมีสติปัญญาที่สูงผิดปกติและยังสามารถเข้าใจภาษาของสิ่งมีชีวิตต่างๆในที่ที่พวกมันอยู่ได้ตามธรรมชาติ
ในหน้าถัดมานั้นได้บอกวิธีการรับมือกับ “Void” การตรวจจับพลังงาน “Void” มีพลังงานที่เป็นเอกลักษณ์ที่สามารถตรวจจับได้ด้วยเครื่องมือพิเศษหรือเวทมนตร์การตรวจจับพลังงานมิติและการปรากฏตัวของ”Void”มักจะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่ลดลงอย่างกระทันหัน หรือการปรากฏของเงามืดที่ไม่สามารถอธิบายได้นอกจากนี้ยังสามารถใช้สัตว์เวทมนตร์บางชนิด สัตว์เวทมนตร์มีความสามารถในการตรวจจับการมีอยู่ของ Void และจะแสดงพฤติกรรมผิดปกติเมื่อ Void อยู่ใกล้เป็นต้น
แถม Void นั้นได้แยกเป็นหลายลำดับขั้นเริ่มตั้งแต่ลำดับต่ำสุด โดยเริ่มจากระดับที่อ่อนแอที่สุดไปจนถึงระดับที่แข็งแกร่งที่สุด จนถึงตอนนี้พวกเรารู้จัก Void แค่ 13 ระดับเท่านั้น
หลังจากที่ Charlotte อ่านเสร็จเธอจึงขึ้นไปนอนแผ่บนเตียงของเธอแล้วเผลอหลับไป จนเวลาล่วงเลยถึงช่วงเย็นที่ Stark กลับมาพอดี