Red Envelope อั่งเปาทะลุโลก - ตอนที่ 198
CF:บทที่ 198 หุ่นยนต์
เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อู๋ฮ่าวเหรินก็ออกมาจากห้องแล็บ, ซึ่งตอนนี้ เขาได้ติดตั้งส่วนหัวลงไปแล้ว
มองดูเจ้าตัวโตที่มีความสูงถึง 4 เมตร และมีโลหะที่เงางาม เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา, ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของการพ่นสีแล้ว ซึ่งจี้น่าจะช่วยเขาทำให้เสร็จได้
แต่จริงๆแล้ว หุ่นยนต์แบบนี้ เมื่อเทียบกับหุ่นยนต์ขนาดเท่ามนุษย์ที่อยู่ในช่องเก็บของแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากเศษเหล็กเลย ไม่ได้พูดถึงเรื่องของวัตถุดิบนะ แต่เป็นเศษเหล็กจริงๆ
แต่ทว่า, หุ่นที่เขาสร้างขึ้นมาเองนี้มันทำให้เขารู้สึกต่างออกไป มันทำให้เขารู้สึกถึงความประสบความสำเร็จ
ในตอนค่ำ, หลังจากที่ได้เข้าระบบซองแดงไป อู๋ฮ่าวเหรินก็พบว่ามีอารยธรรมอื่นได้เชื่อมต่อเข้ากับระบบซองแดงเข้ามาเพิ่มอีก ซึ่งทั้งหมดเป็นอารยธรรมชั้นสูง ที่จะอยู่ในเลเวล 9
เทียนหยูกรุ๊ปนั้นได้เร่งมือสร้างเครื่องเชื่อมต่อ เพื่อที่จะให้แล้วเสร็จในเวลาอันสั้น
สำหรับพวกคนในอารยธรรมชั้นสูงแล้ว ทำให้พวกคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันต้องสิ้นหวังไปตามๆกัน ซึ่งจากที่ได้ยินมา ดูเหมือนพวกเขาจะเจอซะอ่วมเลย
อู๋ฮ่าวเหรินได้ยินมาจากในกลุ่มว่า มีบางคนได้ฉกของดีจากพวกอารยธรรมชั้นสูงไปบ้างแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ทำให้อู๋ฮ่าวเหรินสงสัยว่า พวกอารยธรรมชั้นสูงนั้นต้องการเหรียญพลังงานไปทำไม? มันไม่น่าจะแลกเปลี่ยนเป็นของพิเศษได้นี่นา?
แล้วก็ยังมีอีกข่าว ซึ่งน่าจะเป็นที่เรื่องเกี่ยวกับหลิงหยิ่ง มีข่าวว่าพวกอารยธรรมวิญญาณนั้นจะเผชิญหน้ากับพวกอารยธรรมพาลอสแล้ว หลังจากที่ผ่านเรื่องที่อารยธรรมวิญญาณสามารถสะสางปัญหากับอารยธรรมพาลอสได้แล้ว, เธอก็น่าจะเดินทางกลับมา
อู๋ฮ่าวเหรินนั้นรู้สึกได้ว่าการที่หลิงหยิ่งสามารถไปที่แดนศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมพาลอสได้นั้น จะต้องมีทางกองทัพหนุนหลังอยู่เป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นจากข่าวได้เขาได้ยินมา อู๋ฮ่าวเหรินนั้นสงสัยว่าการที่หลานสาวเพียงคนเดียวของเทพสงครามนั้นไปยังอารยธรรมพาลอสได้นี่ ทำไมถึงไม่มีใครออกมาเคลื่อนไหวอะไร
ส่วนในวันนี้ตอนที่เขาไปที่กลุ่มเลเวลสอง เขาก็โดนเจ้าแห่งศิลปะเร่งเร้าให้หางานศิลป์โบราณให้เขาไวๆ ซึ่งทำให้อู๋ฮ่าวเหรินคิดถึงปัญหาเรื่องของโบราณขึ้นมา
ดูเหมือนเขาจะต้องหาทางเพื่อหาของโบราณเสียแล้ว, มิเช่นนั้นเขาคงไม่ได้อัพเลเวลแน่!
—————————————————————-
ในตอนประชุมเช้าของบริษัท อู๋ฮ่าวเหรินได้ชมการทำงานเว่ยหมิง และได้มอบเมล็ดพันธุ์บางอย่างให้เขา
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ด้วยการช่วยเหลือของศาสตราจารย์ทั้งห้าคน ก็ได้มีคนที่มีความสามารถที่สุดยอดด้านสถาปัตยกรรมโบราณมาเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ซึ่งทำให้อู๋ฮ่าวเหรินนั้นมีความสุขมาก
ตอนนี้มีพนักงานในบริษัทเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่มีคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปซักที อู๋ฮ่าวเหรินพบว่าการที่เขาต้องมาจัดการบริหารเองแบบนี้มันช่างวุ่นวายซะจริงๆ
ในตอนนี้เขามีงานมากมายที่จะต้องทำ และหนึ่งในนั้นคือ การต้องนั่งเซ็นของกองเอกสารเป็นตั้งทุกวันก่อนที่เขาจะได้ทำงานของตัวเอง
เรื่องของ R&D ก็ยังไม่ได้จัดการ งานวิจัยส่วนใหญ่ของเขาก็ล้วนมาจากจี้ แต่ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่ขายและเรื่องของการพัฒนาของบริษัทแล้ว เขาจำเป็นที่ต้องจัดการเองอยู่
อู๋ฮ่าวเหรินนั้นไม่ได้เก่งในเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่ได้จี้ช่วยเหลือละก็ ป่านนี้คงจะมีเรื่องตลกร้ายมากมายไปแล้ว
แต่โชคดีที่ การจัดการบริษัททุกวันนี้ค่อนข้างง่าย ทุกๆวัน การจัดการเรื่องของอุปกรณ์ไฟฟ้าชีวภาพบำบัดนั้น ส่วนใหญ่ก็สามารถจัดการได้โดยผู้จัดการของแผนกนั้นๆเอง
หลังจากที่เซ็นกองเอกสารเสร็จหมดแล้ว อู๋ฮ่าวเหรินก็ออกจากออฟฟิศ แล้วได้สั่งการเลขาไว้ ก่อนที่จะออกไปที่ห้องแล็บ
เปิดประตูเข้าไปแล้วมองดูหุ่นยนต์ที่ตั้งตระหง่ายอยู่เบื้องหน้า ตอนนี้ไม่เป็นสีของโลหะแล้ว แต่มันการเป็นหุ่นยนต์ที่เท่ห์เหมือนกับออฟติมัส ไพรม์
แขนสีดำ, หัวสีเงิน แล้วบอดี้สีฟ้า นี่มันของเล่นขนาดยักษ์ชัดๆ
“จี้, เจ้าสิ่งนี้มันไม่ขยับเลยอะ นายไม่ได้ทำอะไรพังใช่ไหม?”
ถ้าจี้เป็นมนุษย์ เขาคงมองอู๋ฮ่าวเหรินด้วยสายตาแบบมองคนโง่อยู่แน่นอน
“ไม่, ในโปรแกรมนั้น ฉันได้ติดตั้งระบบป้องกันเอาไว้ด้วย ถ้าคุณไม่ได้ออกคำสั่งอะไร มันจะได้แต่ยืนนิ่งๆและไม่ตอบสนองอะไร”
อู๋ฮ่าวเหรินมองดูคอมพิวเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าเขา นี่คืออุปกรณ์สำหรับใช้สั่งการหุ่นยนต์ ตราบเท่าที่มีคำสั่งการมา หุ่นยนต์จะทำงานตามคำสั่งโดยการเลือกแผนการที่ดีที่สุดที่บันทึกไว้ในฐานข้อมูล
ไม่แปลกใจเลยที่ คนพวกนั้นบอกว่าพวกหุ่นยนต์สู้รบนั้น มีหน้าที่ไว้ใช้ขนส่งเสบียงเท่านั้น เพราะทันทีที่ศัตรูสามารถตัดการติดต่อจากระบบสั่งการของคุณได้แล้ว หุ่นยนต์ก็จะทำงานตามคำสั่งสุดท้ายอย่างเดียวเท่านั้น
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ตราบเท่าที่คุณไม่เผชิญหน้ากับพวกหุ่นยนต์ซึ่งๆหน้า ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการหุ่นยนต์พวกนี้
แต่ทว่าสำหรับโลกยุคปัจจุบันนั้น อู๋ฮ่าวเหรินคิดว่าถ้าเขาสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาอีกซักร้อยตัว แล้วสั่งให้พวกมันไปโจมตีซักประเทศดู มันคงเป็นอะไรที่สุดยอดมากแน่ๆ
แน่นอนว่า การจะทำแบบนั้นได้ มันจำเป็นที่จะต้องติดตั้งอาวุธลงไปเสียก่อน เช่นเดียวกับตัวกำเนิดไฟฟาถาวรอย่างพลังงานนิวเคลียร์
หุ่นยนต์ที่เขาสร้างขึ้นมาตอนนี้นั้น, ถ้ามันทำงานเต็มพิกัดแล้ว พลังงานจะหมดลงภายใน 10 นาทีเท่านั้น
อู๋ฮ่าวเหรินคลิกที่ปุ่มเริ่มงานที่คอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นเองก็เสียงคำรามดังขึ้นมาราวกับเสียงรถยนต์และกล้องที่ติดอยู่ที่หัวก็ฉายภาพที่หน้าจอคอมพ์
“ออกไปข้างนอกได้”
หุ่นยนต์ตอบสนองในทันที เหมือนกับคนที่เพิ่งตื่นนอน กล้องฉายภาพรอบก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังที่ประตูของห้องแล็บ
อู๋ฮ่าวเหรินถือโน้ตบุ๊คขึ้นมาแล้วเดินตามหุ่นยนต์ไป เขาอยากที่จะรู้ว่าเจ้าตัวโตจะเดินออกจากประตูที่สูงแค่สามเมตรไปได้อย่างไร?
“ใช้ได้เลย มันฉลาดมาก หุ่นยนต์วิ่งไล่สัตว์ได้ไหม?”
“ได้ ตอนที่ออกแบบไว้ ในรูปแบบนี้ ความเร็วที่ได้จะสูงที่สุด ซึ่งเหมาะสมเมื่ออยู่ในสถานะไล่ตาม
เขายืนมองดูเท้าโลหะขนาดใหญ่เดินย่ำลงบนพื้น ซึ่งก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ อู๋ฮ่าวเหรินรู้ดีว่าอีกสักครู่คงได้มีคนมาตื่นเต้นกับพวกเขาที่นี่แน่ๆ
สำหรับหุ่นยนต์ตัวนี้ เขานั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะปิดบังอะไร เนื่องจากมันไม่ได้ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำยุคอะไร
ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องของระบบควบคุมเท่านั้น ซึ่งจริงๆทางประเทศก็ได้ศึกษาเรื่องนี้ใกล้จะสมบูรณ์แล้ว เขาก็แค่ปรับแต่งเพิ่มเท่านั้น
แต่เนื่องจากที่ห้องแล็บนี้มีขนาดเล็กมากเกินไป อู๋ฮ่าวเหรินจึงไม่กล้าที่จะปล่อยให้หุ่นยนต์วิ่งเต็มกำลัง จึงได้แต่ทดลองเดินเพียงอย่างเดียว
ซึ่งเขาก็พบว่าไม่มีปัญหาอะไร มันเคลื่อนไหวคล่องแคล่วดีมาก ราวกับไม่ใช่การเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์สูงถึง 4 เมตรเลย
การเคลื่อนไหวของเจ้าตัวโตนั้นทำให้คนจำนวนมากนั้นตกใจ ผู้คนที่มาดูโมเดลของเกมในห้องจัดแสดงอยู่นั้นก็ได้มายังที่นี่
เหล่าทหารที่กำลังทำเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยความร้อนอยู่นั้นต่างก็วิ่งออกมาดู แม้แต่เหล่ารปภ.ที่กำลังเดินตรวจตราอยู่ก็ต้องแห่กันมาดูเช่นกัน
“เสียงอะไรน่ะ?”
“ดูเหมือนเสียงจะมาจากทางห้องแล็บของท่านประธานนะ มีอะไรเกิดขึ้นรึเปล่า?”
“เร็วเข้า ทุกคน, เหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่านประธานล่ะ”
ความเร็วของรปภ.พวกนี้ดุจดั่งสายลม ดูเหมือนว่าคนพวกนี้น่าจะมาจากหน่วยลาดตระเวณมาก่อน จึงวิ่งมายังห้องแล็บของอู๋ฮ่าวเหรินกันได้อย่างว่องไว
แต่ทว่า, เมื่อพวกเขามองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าห้องแล็บแล้ว จึงตกใจและควบคุมแรงเฉื่อยของร่างกายที่เคลื่อนมาอย่างเร็วให้หยุดไว้ได้ไม่ทันจึงได้ล้มลงไป
ผู้คนที่ตามมาทีหลัง, เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่หน้าห้องแล็บ ต่างก็ตกตะลึง บ้างก็ไม่คาดฝัน
เจียงเสี่ยวชวนก็ได้ไปที่ห้องแล็บพร้อมด้วยกลุ่มช่างเทคนิค ยืนมองเหมือนเป็นคนบ้า และจ้องมองมาที่หุ่นยนต์ขนาดยักษ์
ส่วนผู้คนที่มาจากห้องจัดแสดงก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทั้งพู่กันและกระดานวาดภาพในมือของพวกเขาหล่นลงมากองกับพื้นหมดแล้ว
อู๋ฮ่าวเหรินนั้นกะไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีคนแห่มาดู แต่ในตอนนี้เขากำลังจ้องดูข้อมูลที่ปรากฏบนจอโน้ทบุ๊คอยู่ และไม่มีเวลาสนใจคนอื่น
แน่นอนว่า, ในตอนนี้คนอื่นๆกำลังยืนทื่อกันอยู่และยังไม่ได้ตอบสนองอะไร ปล่อยให้อู๋ฮ่าวเหรินทดสอบต่อไปโดยไม่มีคนกวน
จนกระทั่งมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา ซึ่งปลุกทุกคนที่อยู่ในภวังค์ให้ตื่น
“หุ่นยนต์!”
————————