Reincarnation Of The Strongest Sword God - ตอนที่ 2454
ประเภทโดเมน
เมื่อปืนใหญ่มานาสิบเอ็ดกระบอกถล่มกำแพงทางด้านตะวันตกของป้อมปราการแสงดาว ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงก็รู้สึกราวกับว่าวันสิ้นโลกได้มาถึงแล้ว และรอบตัวของพวกเขาก็สั่นสะเทือนมากๆ
การทำลายล้าง !!
ตกตะลึง !!
ทำอะไรไม่ถูก !!
ทุกคนนั้นทำได้แค่อ้าปากค้าง ขณะที่พวกเขาได้เห็นลำแสงสีขาวดำทำลายกำแพงทางด้านตะวันตก และทำให้เกิดรอยฉีกขาดเชิงพื้นที่ในอากาศที่มันแหวกผ่าน
“นี่เรือเหาะลำนี้จะไม่แข็งแกร่งเกินไปหน่อยงั้นหรอ ?!” คริมสันวิชกล่าวอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย
ไม่เพียงแต่ปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดลำนี้จะทรงพลังมากๆ แต่บนเรือยังมีปืนใหญ่แบบนี้ยังมีทั้งหมดสิบสองกระบอกบนเรือ ซึ่งมันจัดเป็นดั่งป้อมปราการที่บินได้เลย
ภายในใจเธอตอนนี้นั้นรู้สึกโล่งใจมากๆที่เธอไม่ได้เริ่มการต่อสู้อย่างเต็มที่กับทีมของซือเฟิงที่เหมืองแร่เงินปีศาจ เพราะหากเริ่มการต่อสู้อย่างเต็มที่นั้นกองทัพของเธอจะไม่รอดแน่นอน แม้ว่าจะใช้ม้วนคัมภีร์อัญเชิญฮีโร่ขั้นสี่ก็ตาม
คริมสันวิชและสมาชิกคนอื่นๆของกองกำลังสิงโตเงินไม่ใช่แค่พวกเดียวที่ตกตะลึงกับฉากนี้ ทีมนักผจญภัยที่ต่อสู้อยู่ไม่ไกลจากประตูหน้าของป้อมปราการแสงดาวเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน
การโจมตีแค่ระลอกเดียวจากปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นได้สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับพื้นที่ในรัศมีห้าสิบหลา ซึ่งหากปืนใหญ่มานาทั้งหมดสิบสองกระบอกยิงพร้อมกันจริงๆมันก็เพียงพอจะสังหารหมู่ทีมห้าพันคนได้เลย ไม่ต้องพูดถึงทีมห้าร้อยคน
“พวกเขาเป็นใครกัน ?”
นอกเหนือจากความตกตะลึง และความกลัวแล้ว สมาชิกในทีมนักผจญภัยทั้งหมดก็ยังอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นถึงตัวตนของซือเฟิงและทีมของเขา
พวกเขานั้นเป็นสมาชิกของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุ ซึ่งเป็นทีมนักผจญภัยชั้นยอดที่รอดชีวิตมาได้อย่างยาวนานมากจากการต่อสู้ขนาดใหญ่กับกองทัพสัตว์ปีศาจหลายครั้ง และหัวใจพายุนั้นก็มีชื่อเสียงอย่างมากในอาณาจักรทรายทอง และประเทศใกล้เคียงหลายแห่ง ซึ่งครั้งหนึ่งมหาอำนาจกลุ่มหนึ่งได้เคยเข้ามาขอความช่วยเหลือจากพวกเขาในการยึดเมืองคืนจากสัตว์ปีศาจด้วย
อย่างไรก็ตามจากฝ่ายตรงข้ามทั้งหมดที่หัวใจพายุเคยเผชิญมานั้น มันไม่มีอะไรจะเทียบเท่ากับเรือเหาะมังกรสีเลือดได้เลย และแม้แต่มหาอำนาจต่างๆตอนนี้เท่าที่พวกเขารู้ก็ยังไม่มีใครมีอาวุธแบบนี้เลย
“นี่ผู้เล่นเหล่านั้นพยายามจะเข้ายึดป้อมปราการแสงดาวงั้นหรอ ?” ชายผู้ที่ถือดาบใหญ่อยู่ และดูโหดเหี้ยมกล่าวพลางมองไปยังเรือเหาะมังกรสีเลือด
หุบเขาดาวนั้นถือว่าเป็นดินแดนต้องห้าม และป้อมปราการที่นี่ก็ถือว่าเป็นดินแดนต้องห้ามในดินแดนต้องห้ามเลย ผู้เล่นในปัจจุบันนั้นไม่มีความแข็งแกร่งมากพอจะทำอะไรกับป้อมปราการพวกนี้ได้ และโดยเฉลี่ยแล้วมอนสเตอร์ภายในป้อมปราการเหล่านี้ก็มักจะมีเลเวลตั้งแต่หนึ่งร้อยสิบ หรือมากกว่านั้นขึ้นไปทั้งหมด และมันก็จะมีจำนวนมากกว่าสองแสนตัวอย่างง่ายดายเลย และป้อมปราการนี้ก็ยังเป็นบ้านของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยสิบด้วย ซึ่งสำหรับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายแบบนี้ การฆ่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามในปัจจุบันจะจัดว่าง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากเลย
แม้กระทั่งตอนนี้มหาอำนาจต่างๆนั้นก็พึ่งจะทำการสำรวจพื้นที่รอบๆป้อมปราการบางแห่งในหุบเขาดาวได้เท่านั้น พวกเขานั้นจะต้องรอจนกว่าจะมีผู้เล่นขั้นสามหลายพันคน พวกเขาจึงจะมีโอกาสยึดป้อมปราการแบบนี้ได้
เหล่ามอนสเตอร์นั้นไม่ใช่ส่วนที่ยากที่สุดในการเข้ายึดป้อมปราการในหุบเขาดาว แต่การเปิดช่องในแนวป้องกันของป้อมปราการนั้นนับเป็นความยากที่แท้จริง และหากทีมล้มเหลว พวกเขาจะไม่สามารถส่งผู้เล่นเข้าไปในป้อมปราการได้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถฆ่าบอสผู้พิทักษ์ และรับเอาโทเค่นป้อมปราการมาได้
“ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้น ไม่งั้นทำไมพวกเขาถึงเลือกจะโจมตีไปที่ป้อมปราการแสงดาวโดยตรงล่ะ ?” ผู้บัญชาการของทีมนักผจญภัยหัวใจพายุกล่าวตอบ ในขณะที่เขาเฝ้ามองไปยังเรือเหาะมังกรสีเลือดด้วยความกลัว ตอนแรกเขานั้นคาดเดาว่าซือเฟิงและกองกำลังของเขาเพิ่งจะเคยเข้ามาล่าในพื้นที่นี้ และก็ได้เลือกจะเปิดเผยเรือเหาะมังกรสีเลือดออกมาเพื่อข่มขู่และไล่ทีมนักผจญภัยของพวกเขาไป เขานั้นไม่คิดเลยว่าความจริงแล้วผู้เล่นเหล่านี้นั้นตั้งใจที่จะยึดป้อมปราการแห่งนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่มหาอำนาจต่างๆก็ยังทำไม่ได้
ก่อนที่ทุกคนจะทันได้หายตกตะลึงที่ได้เฝ้าดูฉากการระดมยิงของปืนใหญ่มานาจากเรือเหาะมังกรสีเลือด แสงอันเจิดจ้าที่ล้อมรอบป้อมปราการแสงดาวก็เริ่มจางหายไปเผยให้เห็นรอยแตกขนาดใหญ่บริเวณกำแพง และลอร์ดบอสผู้ยิ่งใหญ่ที่ประจำการอยู่บริเวณนั้นก็ถูกลบหายออกไปด้วย
“มันพลังบ้าอะไรกัน ?! นี่การโจมตีจากปืนใหญ่มานาแค่ไม่กี่ระลอกสามารถทำความเสียหายได้มากขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?!!” แม๊คอาฟรี่นั้นอดไม่ได้ที่จะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากขึ้น เมื่อได้เห็นรอยแตก
เขานั้นคาดเดาว่าพลังของเรือเหาะมังกรสีเลือดเพียงแค่ลำเดียวนั้นคงไม่เพียงพอที่จะทำลายกำแพงของป้อมปราการแสงดาวได้อย่างรวดเร็ว และถ้าพูดให้ถูก เขาคาดเดาว่าด้วยแผนนี้ของซือเฟิง โอกาสในการที่พวกเขาจะยึดป้อมได้จริงๆนั้นมีน้อยมาก เพราะท้ายที่สุดพวกเขาจะไม่มีเวลาเพียงพอที่จะจัดการกับพวกมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ และค้นหาบอสผู้พิทักษ์เพื่อฆ่า ก่อนที่กำแพงจะซ่อมแซมตัวเอง
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันก็ชัดแล้วว่าเขาคาดเดาผิด และพวกเขาก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จสูงมาก
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ค่าความทนทานที่กำแพงทางด้านตะวันตกสูญเสียไปนั้นมันมากแค่ไหน แต่เขาก็มีประสบการณ์ค่อนข้างมากในสงครามปิดล้อมและโจมตีป้อมปราการหรือเมืองแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่ามันต้องใช้พลังมากขนาดไหนในการจะทำลายกำแพงแบบนี้ได้
จากประสบการณ์ของเขา เขาสามารถคำณวนได้เลยว่ากำแพงของป้อมปราการแสงดาวนั้นจะสูญเสียค่าความทนทานไปอย่างน้อยสองเปอเซ็นต์แล้ว ซึ่งนี่มันจะหมายความว่าพวกเขาจะต้องโจมตีอีกราวห้าสิบระลอกจึงจะเปิดช่องโหว่ของกำแพงได้อย่างแท้จริง และโดยปกติป้อมปราการนั้นก็จะต้องใช้เวลาสองวันในการซ่อมแซมกำแพงที่ถูกทำลาย ซึ่งหากพวกเขาสามารถทำลายกำแพงได้ด้วยการโจมตีปกติห้าสิบระลอก ไม่เพียงแต่พวกเขาจะมีเวลาเพียงพอในการกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดในป้อมปราการ แต่พวกเขายังจะมีเวลาเพียงพอที่จะสามารถฆ่าบอสผู้พิทักษ์ได้หลายรอบเลย
อย่างไรก็ตามสมาชิกของสภาสิบแปดปีกบนเรือเหาะมังกรสีเลือดนั้นกับมีความเห็นที่แตกต่างออกไปมาก
“หัวหน้ากิลกำแพงของป้อมปราการโบราณนี้มันแข็งแกร่งมากจริงๆ การโจมตีของเราทำได้แค่สร้างรอยแตกขนาดใหญ่ขึ้นมา ความแข็งแกร่งของกำแพงของมันนั้นมีมากพอๆกับกำแพงเมืองของ NPC ที่เป็นเมืองใหญ่เลย” อควาโรสกล่าวด้วยความประหลาดใจ เมื่อเธอเห็นความเสียหายที่กำแพงทางด้านตะวันตกได้รับ
เธอนั้นคุ้นเคยกับพลังของปืนใหญ่มานาของเรือเหาะมังกรสีเลือดดี ทุกการโจมตีของแต่ละกระบอกนั้นล้วนมีมาตราฐานพลังที่ขั้นสี่ ซึ่งมันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีของมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายทั่วไป และการโจมตีของมันเพียงแค่ระลอกเดียวก็เพียงพอจะสร้างความเสียหายให้กับกำแพงเมืองกิลอย่างมากแล้ว
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ปืนใหญ่มานาสิบสองกระบอกกับทำได้แค่สร้างความเสียหายเป็นรอยแตกใหญ่ๆเท่านั้น หลังจากระดมโจมตีเข้าไป
กำแพงนี้นั้นมันแทบจะแข็งแกร่งเท่ากับกำแพงของเมืองไวท์ริเวอร์เลย
ซึ่งพูดกันจริงๆ เมืองไวท์ริเวอร์นั้นผ่านการอัพเกรดมาหลายครั้งแล้ว และแม้ว่ามอน
สเตอร์ระดับเทพนิยายจะโจมตีเมือง เมืองนั้นก็แทบจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงจะต้องโจมตีเป็นเวลานานมากเลยทีเดียวกว่าจะเปิดช่องโหว่ของกำแพงป้อมปราการแสงดาวได้อย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดแล้วการยิงปืนใหญ่มานาแต่ละครั้งนั้นมันก็มีค่าใช้จ่ายสูงพอตัว และแม้ว่าจะไม่ได้สูงเท่ากับการยิงปืนใหญ่มานาที่กำแพงเมืองกิล แต่พวกเขาก็จะยังคงต้องจ่ายคริสตัลเวทย์มนต์หนึ่งร้อยชิ้นทุกครั้งต่อการยิงหนึ่งกระบอก
“ฉันพอใจกับผลลัพธ์นี้นะ หากป้อมปราการวงเวทย์ป้องกัน และทำการซ่อมกับเสริมความแข็งแกร่งให้กับกำแพง เราจะไม่สามารถทะลุฝ่าเข้าไปได้ด้วยซ้ำ แม้ว่าจะใช้เวลาสองวัน” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆและส่ายหัว
ป้อมปราการแสงดาวนั้นอยู่รอดมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้จะผ่านสงครามมามากมายหลายครั้ง ดังนั้นเรือเหาะขั้นสูงจะทำลายมันลงได้ง่ายๆได้ยังไง ?
หากป้อมปราการแสงดาวเปราะขนาดนั้น มันคงไม่สามารถจะอยู่ได้มาจนถึงตอนนี้
เขาไม่ได้สนใจคริสตัลเวทย์มนต์ที่เขาจะต้องใช้ เขานั้นมีมันเหลือเฟือ และถ้าเขาขาดคริสตัลเวทย์มนต์อย่างมาก เขาคงไม่คิดจะยึดป้อมปราการนี้ตั้งแต่แรก
ในขณะที่ซือเฟิงและทีมของเขารอให้คูลด์ดาวของปืนใหญ่มานาสิ้นสุดลง พวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามที่อึกทึกดังมาจากภายในป้อมแสงดาว และแม้จะอยู่ห่างออกไปหลายพันหลา แต่พวกเขาก็ยังได้ยินมันอย่างชัดเจน
จากนั้นประตูของป้อมปราการแสงดาวก็เปิดออก และฝูงสิ่งมีชีวิตสายธาตุก็หลั่งไหลกันออกมา ซึ่งนี่มันรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตสายธาตุที่บินได้ก็บินออกมาจากป้อมปราการเช่นกัน และหากมองและสังเกตได้อย่างรวดเร็วนั้นก็จะพบว่ามอนสเตอร์เหล่านี้มีจำนวนมากกว่าห้าหมื่นตัวเลย และทุกตัวก็ล้วนพุ่งเข้าใส่กองกำลังสิงโตเงินกับเรือเหาะมังกรสีเลือด
“ทำไมถึงมีมากมายขนาดนี้ ?” แม๊คอาฟรี่ขนลุก เมื่อเขาเห็นกองทัพมอนสเตอร์กำลังพุ่งเข้ามา
แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มันก็ควรจะมีมอนสเตอร์แค่ราวหนึ่งหมื่นตัวเท่านั้นที่ออกมาจากป้อมปราการตามการประมาณเบื้องต้นของเขา แต่ตอนนี้มันกับมีมากกว่าห้าหมื่นตัวออกมา ซึ่งนี่รวมไปถึงแกรนลอร์ดมากกว่าหนึ่งร้อยตัว และแค่แกรนลอร์ดนั้นมันก็มีจำนวนมากกว่าผู้เชี่ยวชาญขั้นสามของกองกำลังสิงโตเงินแล้ว
แถมก่อนที่แม๊คอาฟรี่จะทันได้ออกคำสั่งใดๆ เบเฮโมทแสงดาวที่มีความสูงสามสิบเมตรก็บินออกมาจากป้อมปราการด้วยเช่นกัน
ซึ่งทันทีที่เบเฮโมทแสงดาวปรากฎตัวขึ้นนั้น มันก็ราวกับว่ามานาโดยรอบพื้นที่นั้นได้ยอมจำนนและอยู่ใต้การควบคุมของมันทั้งหมด
“อะไรกัน ?! ระดับเทพนิยายประเภทโดเมนเนี่ยนะ ?!” คริมสันวิชอุทานออกมา ขณะที่เธอจ้องมองไปยังมอนสเตอร์บินได้ตัวนี้
สำหรับผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญอย่างเธอนั้น แนวคิดของโดเมนไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป และ NPC ขั้นสี่ส่วนใหญ่ก็จะล้วนมีโดเมนเป็นของตัวเองอย่างน้อยหนึ่งโดเมน ซึ่งในขณะที่อยู่ในโดเมนของพวกเขา NPC จะสามารถเคลื่อนที่และต่อสู้ในโลกที่มันถูกปรับให้เหมาะสมกับพวกเขา และนี่คือสาเหตุที่ NPC ขั้นสี่ทรงพลังมากๆ และ NPC ขั้นสามก็ยากจะเอาชนะตัวตนระดับนี้ได้ แม้ว่าจะมีข้อได้เปรียบเชิงตัวเลขก็ตาม
โชคดีที่มอนสเตอร์นั้นจะไม่เหมือนกับ NPC เพราะพวกมันมักจะอาศัยความสามารถทางกายภาพในการต่อสู้ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็สามารถจะต่อสู้กับ NPC ในขั้นเดียวกันได้ ซึ่งมอนสเตอร์ที่มาถึงมาตราฐานของระดับเทพนิยาย ขั้นสี่นั้นจะมีความแข็งแกร่งมากเป็นพิเศษ และแม้แต่ NPC ขั้นสี่ก็จะไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ง่ายๆ
ขณะเดียวกัน สำหรับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายที่มีโดเมนเป็นของตัวเอง แม้แต่ NPC ขั้นสี่บางคนก็ยังจะต้องหนีจากมันเลย
เธอนั้นไม่คิดมาก่อนเลยว่ามอนสเตอร์ที่ทรงพลังแบบนี้จะอาศัยอยู่ในป้อมปราการแสงดาว แถมตอนนี้มันยังเพิ่งจะบินออกมาทักทายพวกเขาด้วย ….