Reincarnation Of The Strongest Sword God - ตอนที่ 2552
ตอนที่ 2552 เอฟเฟคเศษชิ้นส่วนดีไวน์อาติแฟค
ขณะที่ซือเฟิงสัมผัสกับต้นอ่อนของต้นไม้แห่งชีวิตที่ลอยอยู่กลางอากาศในลานอันเงียบสงบ มานาในพื้นที่ก็เริ่มเผาไหม้และมารวมตัวกันอย่างมหาศาลรอบๆต้นอ่อน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ซือเฟิงก็รู้สึกได้ถึงชีพจรของชีวิตจากต้นอ่อน และออร่าของมันก็ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เขามองเห็นได้เลย และพืชโดยรอบก็เริ่มเติบโตด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ เมื่อพลังงานสีเขียวมาถึงพวกมัน
สำเร็จ !! ซือเฟิงถอนหายใจออกมา ขณะที่เขาเฝ้าดูปฎิกิริยาของต้นอ่อน
หากมานาของลานแห่งนี้ไม่หนาแน่นเพียงพอที่จะรองรับต้นอ่อนของต้นไม้แห่งชีวิต เขาก็จะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้ และรอปลูกต้นอ่อนใหม่ในตอนที่เมืองป่าหินถูกอัพเกรดเป็นเมืองหลักแล้ว อย่างไรก็ตามการอัพเกรดเมืองกิลให้ไปถึงระดับนั้นได้ มันก็ยากอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะกิลผู้ปกครองนั้นไม่เพียงแต่จะต้องมีพลังเพียงพอ แต่ยังต้องใช้เวลาอีกมากในการพัฒนาเมือง
ซือเฟิงปลูกต้นอ่อนไว้ตรงกลางลานอย่างระมัดระวัง
เขาออกแบบลานนี้และจองที่ดินในส่วนนี้ไว้เป็นศูนย์กลางสำหรับต้นไม้แห่งชีวงิตโดยเฉพาะ เพื่อความแม่นยำต้องบอกว่า เขาได้ออกแบบเกาะเล็กๆที่อยู่ใจกลางทะเลสาบในลานด้านใน เพราะไม่เพียงแต่เขาจะสลักวงเวทย์รวบรวมมานาไว้ที่ใต้ทะเลสาบ แต่เขายังฝังหินมานาจำนวนมากไว้ในดินด้วย ซึ่งโดยรวมแล้วทะเลสาบแห่งเดียวนั้นจะต้องใช้หินมานามากกว่าสองร้อยก้อนต่อวันในการรักษามัน มหาอำนาจต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงถือว่าโครงสร้างเหล่านี้เป็นมาตราฐานสำหรับการปลูกต้นไม้แห่งชีวิต
หินมานาที่จำเป็นในการดูแลรักษาต้นไม้แห่งชีวิตเพียงอย่างเดียวนั้นมันก็มากเพียงพอแล้วที่จะทำให้กิลชั้นสูงในปัจจุบันหัวใจวายได้ กิลทั่วไปจะไม่สามารถแตะต้องต้นไม้แห่งชีวิตได้เลย ซึ่งมันก็ต้องบอกเลยว่าส่วนหนึ่งที่เขาสามารถทำได้แบบนี้นั้นก็คือเขาโชคดีที่มีมือแห่งปราชญ์
หลังจากซือเฟิงปลูกต้นอ่อนได้เรียบร้อย อากาศในลานก็ดูเหมือนจะสั่นสะเทือน
บรรยากาศที่เงียบสงบ เย็นสบาย กลายเป็นร้อนแผดเผาชั่วครั้งชั่วคราว และแม้แต่ซือเฟิงก็ยังรู้สึกได้อย่างชัดเจน
หลังจากนั้นประมาณสามวินาที ต้นอ่อนก็ค่อยๆเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สีเขียวมรกต และลำต้นของมันก็หนามากซะจนแม้แต่ผู้ชายที่โตเต็มที่สามคนก็ยังไม่น่าจะสามารถโอบรอบมันได้
ซึ่งเมื่อมันเติบโตเต็มที่ ออร่าแห่งชีวิตที่หนาแน่นก็แพร่กระจายไปทั่วลานด้านใน ทำให้ทุกอย่างมีสีเขียวจางๆ ขณะเดียวกันอุณภูมิที่สูงก็เริ่มลดลงจนอบอุ่น และตอนนี้มันก็ทำให้ซือเฟิงรู้สึกราวกับว่าเขายืนอยู่กลางทุ่งนาในวันที่อากาศอบอุ่นและมีแดด
นี่เป็นเอฟเฟคของเศษชิ้นส่วนดีไวน์อาติแฟคงั้นหรอ ? ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากๆ ขณะที่เขารู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของลานด้านใน
เพียงแค่ปลูกต้นไม้แห่งชีวิต พลังแห่งชีวิตที่หนาแน่นอย่างไม่น่าเชื่อก็เริ่มเข้าปกคลุมไปทั่วลานด้านใน และเมื่อได้อาบออร่ากับพลังนี้ ซือเฟิงก็สามารถสัมผัสได้เลยว่าสิ่งแปลกปลอมภายในตัวเขาหายไปอย่างรวดเร็ว และจิตใจของเขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นอย่างผิดปกติ
ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนกับผู้เล่นที่รู้สึกสงบเมื่อได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความหนาแน่นของมานาสูง ซือเฟิงนั้นรู้สึกบริสุทธิ์และกระปี้กระเปร่า ราวกับว่าความคิดทั้งหมดของเขาได้รู้ถึงเส้นทางที่ชัดเจน และเขาก็รู้ดีว่าต้องทำอย่างไร
หากผู้เล่นสามารถฝึกฝนและเรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ได้ที่นี่ พวกเขาก็จะมีช่วงเวลาที่ง่ายขึ้นมากๆ เพราะผู้เล่นจำเป็นจะต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเทคนิคในการฝึกฝน และดำเนินการมันให้ดีขึ้น
น่าเสียดายที่ไม่สามารถให้ใครเข้ามาในลานด้านในนี้ได้ ซือเฟิงคิดอย่างยิ้มอย่างขมขื่น เมื่อนึกถึงต้นไม้แห่งชีวิต
ต้นไม้แห่งชีวิตนั้นได้หยั่งรากลงแล้ว และผู้เล่นทุกคนก็สามารถจะค้นพบต้นไม้แห่งชีวิตได้ด้วยสกิลตรวจสอบทั่วไป หากมีข่าวออกมาว่าเมืองป่าหินเป็นที่ตั้งของต้นไม้แห่งชีวิตที่เป็นเศษชิ้นส่วนระดับดีไวน์อาติแฟค แม้แต่มหาอำนาจ NPC ก็จะไม่ปล่อยให้สภาสิบแปดปีกอยู่อย่างสงบแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงเหล่ามหาอำนาจที่เป็นผู้เล่น ทุกคนจะยอมทำทุกวิถีทางเพื่อขโมยมัน
ถึงกระนั้นซือเฟิงก็พอใจกับผลลัพธ์นี้มาก เอฟเฟคโบนัสของต้นไม้แห่งชีวิตไม่ใช่เป้าหมายของเขา แต่เป็นไอเทมที่มันสามารถผลิตได้ต่างหาก
เขาต้องการทั้งน้ำแห่งชีวิตและนิวเคลียสแห่งชีวิตอย่างเร่งด่วน แถมต้นไม้ยังจะผลิตผลไม้แห่งชีวิต ซึ่งนับเป็นเครื่องมือที่ดีมากสำหรับ NPC และผู้เล่น
ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่รอให้ต้นไม้แห่งชีวิตผลิตพวกมันออกมา
เมื่อเรื่องต้นไม้แห่งชีวิตเสร็จสิ้น ซือเฟิงจึงติดต่อเสวี่ยเหวินโหรวเพื่อถามว่า “เสวี่ย
เหวินโหรวการเตรียมการด้านเธอเป็นยังไงบ้าง ?”
“ทุกคนประจำตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว และหลังจากพูดคุยกัน เราได้คิดจะกำหนดค่าเข้าเมืองอยู่ที่ยี่สิบเหรียญเงินต่อคน เพราะผู้เล่นทุกคนที่จะสามารถสำรวจแผนที่เป็นกลางเลเวลหนึ่งร้อยได้นั้นล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นพวกเขาจึงน่าจะสามารถจ่ายในราคานี้ได้” เสวี่ยเหวินโหรวกล่าว
ตอนนี้แม้จะเก็บที่สิบเหรียญเงินต่อคน แต่จำนวนผู้เล่นของเมืองป่าหินนั้นก็แทบจะเต็มพิกัดแล้ว อย่างไรก็ตามตอนนี้หลังการอัพเกรดให้เมืองป่าหินกลายเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นกลางแล้ว ไม่เพียงแต่ความหนาแน่นของมานาภายในกำแพงเมืองจะเพิ่มขึ้น แต่มันยังมีร้านค้าของบริษัทการค้า NPC ด้วย
ดังนั้นเสวี่ยเหวินโหรวและลูกน้องของเธอจึงคิดกันว่า แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่มค่าเข้าเมืองเป็นสองเท่า แต่ประชากรผู้เล่นของเมืองป่าหินก็จะยังคงพุ่งสูงขึ้นแน่นอน และเควสที่ร้านค้าของบริษัทการค้า NPC นำเสนอนั้นก็จัดเป็นรายได้หลักส่วนหนึ่งของผู้เล่นทั่วไป ซึ่งมันก็เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากจึงยืนยันที่จะรักษาฐานปฎิบัติการของตนไว้ในเมือง NPC
“ยี่สิบเหรียญเงิน ? เธอกับพวกนี่โหดร้ายจริงๆนะ ….” ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อได้ยินค่าเข้าใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นจากการแสดงออกของผู้หญิงคนนี้ เธอยังดูเหมือนว่าจะคิดว่าราคานี้ต่ำไปเล็กน้อย ซือเฟิงกล่าวต่อด้วยรอยยิ้มขมขื่น “นั่นอาจดูยุติธรรม แต่เรากำลังพยายามจะพัฒนาสภาสิบแปดปีกให้เร็วที่สุดและเพื่อให้ได้สิ่งนั้น เราจะต้องดึงดูดผู้เชี่ยวชาญเข้ามาที่เมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยปกติผู้เล่นระดับผู้เชี่ยวชาญจะมีทีมส่วนตัวของตัวเอง ซึ่งรวมถึงผู้เล่นที่มีมาตราฐานการต่อสู้ต่ำ หากผู้เล่นเหล่านั้นไม่สามารถอยู่รอดในเมืองป่าหินได้ เพื่อนผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาก็จะไปที่อื่น”
เมืองป่าหินนั้นมีขนาดใหญ่กว่าเดิมมากกว่าที่เคยเป็นมามาก และมันก็จะมีพื้นที่ว่างเหลือเฟือให้สำหรับผู้เล่นเจ็ดถึงแปดล้านคนเข้ามาเยี่ยมชม พวกเขาจึงไม่จำเป็นจะต้องจำกัดการเข้าถึงของผู้เชี่ยวชาญอีกต่อไป และยิ่งผู้เล่นในเมืองมีความเจริญรุ่งเรือง และพัฒนาไปมากขึ้นเท่าไหร่ ในทางกลับกัน มันก็จะทำให้ NPC มาเยี่ยมเยียนที่เมืองนี้มากขึ้น โดยเฉพาะเผ่าอื่นๆ
นอกจากนี้เงินก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับกิลอีกต่อไป ตอนนี้สภาสิบแปดปีกสามารถเดินทางไปมาระหว่างทวีปทั้งสองด้านได้แล้ว ดังนั้นแทนที่จะมุ่งเน้นไปที่เงิน พวกเขาควรจะพยายามเพิ่มความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีก เพราะตอนนี้สภาสิบแปดปีกนั้นไม่สามารถสร้างผู้เล่นขั้นสามจำนวนมากขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นจะต้องรับสมัครผู้เชี่ยวชาญมากขึ้น
“ในกรณีนี้ เราควรจะคงไว้ที่สิบเหรียญเงินต่อคนเหมือนเดิมงั้นหรอ ?” เสวี่ยเหวินโหรวถาม หลังจากฟังแล้ว เธอก็เห็นด้วยกับเหตุผลของซือเฟิง
ผู้ที่มาเยี่ยมชมเมืองก่อนหน้านี้นั้นล้วนเป็นสมาชิกของทีมนักผจญภัยที่ทรงพลังต่างๆ หรือไม่ก็มาจากกิลเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญอิสระนั้นจัดเป็นประชากรส่วนน้อยมากในเมืองป่าหิน อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก เนื่องจากเมืองป่าหินนั้นสามารถที่จะรองรับผู้เล่นได้จำนวนมาก
ตอนนี้เลเวลเฉลี่ยของผู้เล่นชั้นแนวหน้าได้มาถึงเลเวลหนึ่งร้อยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ได้จำเป็นเลยที่จะต้องเพิ่มค่าเข้ามากเกินไป การคงค่าเข้าไว้ในราคาถูกเพื่อรับสมัครผู้เชี่ยวชาญขั้นสามเข้ามาที่สภาสิบแปดปีกให้มากขึ้นจึงเป็นเรื่องดีกว่า
“ไม่ ลดลงให้เหลือห้าเหรียญเงินเลย …” ซือเฟิงตัดสินใจ
“ห…. ห้า?” เสวี่ยเหวินโหรวพูดติดอ่างอย่างตกตะลึง
เมืองป่าหินตอนนี้นั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่ขั้นกลาง และการที่ยอมตั้งค่าเข้าเมืองเท่าเดิมก็จัดว่าดีมากแล้ว เธอนั้นแทบไม่สามารถจะจินตนาการได้เลยด้วยซ้ำว่าหากตั้งค่าเข้าเมืองเป็นห้าเหรียญเงินต่อคน อะไรมันจะเกิดขึ้นบ้าง
“อืมมม ตั้งไปห้าเหรียญเงินนั่นแหละ …” ซือเฟิงพูดพลางพยักหน้า “ถึงเวลาแล้วที่เราจะทำการเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในสภาสิบแปดปีก”
จากนั้นซือเฟิงก็สั่งให้เสวี่ยเหวินโหรวเปิดเมืองให้สาธารณชนทั่วไปเข้ามา หลังจากปรับค่าเข้าเรียบร้อยแล้ว
ในขณะเดียวกันผู้เล่นอิสระและกิลจำนวนมากที่อยู่นอกเมืองก็เริ่มหมดความอดทนกันแล้ว ในขณะที่พวกเขาทำการคาดเดาเกี่ยวกับการอัพเกรดของเมืองป่าหินไปเรื่อยเปื่อย
“นี่สภาสิบแปดปีกจะให้เรารออยู่ข้างนอกทั้งวันจริงๆงั้นหรอ ?”
“อันนี้ฉันไม่รู้นะ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ฉันสามารถบอกได้เลยคือมีคนแบบพวกเราจำนวนมาก และแค่ค่าเข้าเมืองก็น่าจะทำให้สภาสิบแปดปีกได้รับเงินจำนวนมหาศาลแล้ว นี่มันน่าอิจฉาสุดๆ !!!”
“หื้ม ? ดูเหมือนว่าในที่สุดเมืองป่าหินก็จะเปิดแล้ว !!!”