Reincarnation Of The Strongest Sword God - ตอนที่ 2615
ตอนที่ 2615 การเปลี่ยนชีวิตให้กับองครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน
เมื่อซือเฟิงอัญเชิญแวร์ซายออกมาในห้องรับรอง มานาในห้องก็แปรเปลี่ยนไปเป็นหนาแน่นมากๆ แล้วก็หนักมากด้วย !!!
มานาภายในห้องรับรองตอนนี้นั้นไม่ได้รู้สึกเหมือนกับเป็นมานาเลย ทุกคนในห้องนั้นรู้สึกราวกับว่าพวกเขาอยู่ในน้ำที่ลึกมากๆและกำลังจะจมน้ำ
“องครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ ?!”
“เป็นไปได้ยังไง ?!”
หลงหวู่ชางและแอสซาซินขั้นสามนั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างมาก เมื่อได้เห็นแวร์ซาย
พวกเขานั้นเคยเห็นองครักษ์ส่วนตัวเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบมาก่อน เพราะท้ายที่สุดแล้วมหาอำนาจต่างๆในระยะนี้ของเกมนั้นล้วนมีองครักษ์แบบนี้กันจำนวนหนึ่ง แต่องครักษ์ส่วนตัวเหล่านั้นก็เป็นเพียงองครักษ์ขั้นสามเท่านั้น พวกเขาไม่เคยเห็นองครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ เลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบมาก่อน และพวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีใครมีในระยะนี้ของเกมด้วย
การเข้าถึงขั้นสี่นั้นถือเป็นความสำเร็จที่ยากมาก แม้กระทั่งกับองครักษ์ส่วนตัว และทั้งผู้เล่นกับองครักษ์ส่วนตัวที่ผู้เล่นเป็นเจ้าของในชีวิตที่ผ่านมาของซือเฟิงส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถเข้าถึงขั้นสี่ได้
องครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลนั้นมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะสามารถทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จ แต่การจะไปให้ถึงจุดนั้นได้มันต้องใช้การเตรียมการและเวลาค่อนข้างมาก และแม้แต่องครักษ์ส่วนตัวของมหาอำนาจต่างๆนั้นก็พึ่งจะมาถึงเลเวลหนึ่งร้อยยี่สิบเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยเหตุนี้การจะมีองครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ในระยะนี้ของเกมจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่สภาสิบแปดปีกกับมีหนึ่งคน
NPC ขั้นสี่นั้นจัดว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงใน God domain พวกเขามีคุณสมบัติมากพอที่จะปกครองเมืองใหญ่ของ NPC ได้ และค่อนข้างจะอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับผู้เล่นในปัจจุบันที่จะสามารถเป็นเจ้านายพวกเขาได้
“องครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ ? ดูเหมือนว่ามหาอำนาจในทวีปด้านตะวันออกจะประเมินสภาสิบแปดปีกต่ำไปมาก ข้อสันนิษฐานของพวกเขาที่ว่ากิลของคุณนั้นแทบไม่มีพลังอยู่ด้านนอกป่าใบไม้ผลิ นั้นดูเหมือนจะผิดไปมากเลยทีเดียว …” ทอร์เร้นกล่าวแสดงความคิดเห็นขณะที่จ้องมองไปยังแวร์ซาย แต่แม้ว่าจะได้เห็นองครักษ์ส่วนตัวขั้นสีี่แล้วท่าทางของเขาก็ยังคงดูสงบมาก “แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่คิดหรอกนะว่าองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ที่ขั้นสี่จะสามารถบุกทะลวงเข้ามาในเมืองของทั้งสองกิลเราได้”
แม้ว่าเมืองกิลที่เป็นปัญหานี้จะเป็นเพียงเมืองกิลขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่มันก็ได้รับการปกป้องจากวงเวทย์ที่ทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ และวงเวทย์นั้นจะสามารถทนต่อการโจมตีขั้นสี่ได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ ไม่งั้นเมืองนี้คงจะไม่สามารถต้านทานการรุกรานของกองทัพสิ่งมีชีวิตปีศาจได้
ทวีปด้านตะวันตกนั้นอันตรายกว่าทวีปด้านตะวันออกมาก ทั้งเมืองทั่วไปและเมืองขนาดใหญ่ต่างๆล้วนต้องเผชิญกับการโจมตีของสิ่งมีชีวิตปีศาจบ่อยครั้ง โดยสิ่งมีชีวิตปีศาจเหล่านี้ก็ชอบที่จะกำหนดเป้าหมายมาที่เมืองทั่วไปของกิล และเมืองขนาดใหญ่ของกิลเป็นพิเศษ
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะพบมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายสามถึงห้าตัวในกองทัพสิ่งมีชีวิตปีศาจที่เข้าโจมตี และนี่ยังไม่นับรวมสิ่งมีชีวิตปีศาจที่อ่อนแอกว่าอีกหลักแสนตัว
ดังนั้นการพยายามพึ่งพา NPC ขั้นสี่เพื่อคุกคามเมืองกิลที่ถูกดำเนินการโดยซุเปอร์กิล สองกิลนั้นจึงเป็นเรื่องน่าหัวเราะมากๆ
แน่นอนว่า NPC ขั้นสี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่นั้นสามารถจะทำลายเมืองกิลทั่วไปได้อย่างง่ายดาย แต่การพยายามทำลานเมืองที่ถูกดำเนินการโดยมหาอำนาจสองกลุ่ม ด้วย NPC ขั้นสี่ที่เป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นมันจัดว่าเป็นเรื่องไร้สาระมาก
เมืองกิลทุกเมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยมหาอำนาจนั้นจะล้วนมีวิธีการบางอย่างในการจัดการกับการรุกรานหรือโจมตีของสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ ไม่งั้นมันคงไม่มีความแตกต่างระหว่างมหาอำนาจทั่วไปกับมหาอำนาจที่แท้จริง
“ถูกต้อง แม้ว่าองครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่หนึ่งคนนั้นจะจัดว่าแทบเป็นอมตะเลยในแผนที่ล่า แต่น่าเสียดายที่การใช้คุกคามเมืองกิลของมหาอำนาจนั้นไม่เพียงพอแน่นอน” คริมสันสตาร์กล่าว หลังจากหายจากอาการตกตะลึง
ที่ใกล้กับประตูห้องรับรอง หลงหวู่ชางก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ความแข็งแกร่งของสภาสิบแปดปีกที่เพิ่งเปิดเผยออกมานั้นน่าประหลาดใจ และหากสภาสิบแปดปีกกำลังรับมือกับมหาอำนาจที่อ่อนแอกว่านั้น พวกเขาก็อาจจะยอมรับความต้องการของสภาสิบแปดปีกไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้สภาสิบแปดปีกกำลังรับมือกับไวโอเล็ตซอร์ด ซึ่งเป็นซุเปอร์กิลที่มีพลังเกือบเท่าจะเทียบเท่ากับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นแม้แต่องครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสี่ สองถึงสามคนนั้นมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ไวโอเล็ตซอร์ดเปลี่ยนใจได้แน่นอน
“อันที่จริงองครักษ์ระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสี่ นั้นก็จะไม่มีทางทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมืองกิลของมหาอำนาจได้แน่นอน อย่างที่คุณว่ามานั่นแหละ …” ซือเฟิงกล่าว
อย่างเห็นด้วย ก่อนที่เขาจะถามต่อด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ถ้าฉันบอกว่าฉันมีองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลที่เป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ขั้นสี่ล่ะ ?”
“เป็นไปไม่ได้ !! แค่มีองครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสี่ หนึ่งคนมันก็น่าอัศจรรย์มากๆแล้ว !!! คุณจะไปมีอีกคนได้ยังไง ?!” คริมสันสตาร์ปฎิเสธและต่อต้านคำถามที่สงบของซือเฟิงโดยสัญชาตญาณ
องครักษ์ส่วนตัวระดับลึกลับขั้นเงิน ขั้นสี่ นั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำลายวงเวทย์ป้องกันของเมืองกิลที่ถูกดำเนินการโดยมหาอำนาจได้ แต่มันจะเป็นเรื่องที่แตกต่างกันออกไปสำหรับองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกล ขั้นสี่ โดยทั่วไปองครักษ์ส่วนตัวระดับไฟน์โกลนั้นจะมีสกิลต้องห้าม และคำสาปที่แข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้พวกเขาแสดงพลังเกินขั้นของพวกเขาออกมาได้ และด้วยพลังของสกิลต้องห้าม หรือไม่ก็คำสาปนั้น แม้แต่การทำลายวงเวทย์ป้องกันในเมืองด้วยการโจมตีครั้งเดียวก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้นการที่สามารถเลื่อนขั้นจากขั้นสามขึ้นไปเป็นขั้นสี่ได้ก็ถือเป็นความสำเร็จมากแล้วสำหรับองครักษ์ส่วนตัว เพราะแม้แต่องครักษ์ส่วนตัวที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงก็ยังต้องเตรียมความพร้อมอย่างมากก่อนจะท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังมีแนวโน้มที่จะล้มเหลวสูงมาก และการจะส่งองครักษ์ส่วนตัวจำนวนมากของตัวเองไปทำเควสแบบนี้ด้วยความหวังว่าบางคนจะประสบความสำเร็จนั้นก็ไม่สามารถทำได้เลยสำหรับกิลในปัจจุบัน
เมื่อองครักษ์ส่วนตัวขั้นสามต้องการจะท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ พวกเขาจะต้องการแกนเวทย์มนต์จำนวนมาก ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหาได้ง่ายๆเลยในปัจจุบัน เพราะแกนเวทย์มนต์มันดรอปจากมอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อย
แต่น่าเสียดายที่มอนสเตอร์ระดับเทพนิยายเลเวลมากกว่าหนึ่งร้อยนั้นมีอัตราการ
ดรอปแกนเวทย์มนต์ไม่ถึงห้าเปอเซ็นต์ และมีเพียงสิ่งมีชีวิตปีศาจเท่านั้นที่จะดรอปแกนเวทย์มนต์ออกมา ด้วยเหตุนี้แม้แต่ซุเปอร์กิลต่างๆก็จะสามารถส่งองครักษ์ส่วนตัวไปได้อย่างมากสุดแค่คนเดียวเท่านั้นในการท้าทายเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่
แม้ว่าสภาสิบแปดปีกจะทำการล่าพวกมอนสเตอร์ในป่าใบไม้ผลิด้วยกองอัศวินขั้นสาม แต่มันก็มีสิ่งมีชีวิตปีศาจระดับเทพนิยายในป่าใบไม้ผลิอยู่จำนวนไม่มากนัก ดังนั้นสภาสิบแปดปีกจึงไม่ควรจะมีแกนเวทย์มนต์มากพอให้องครักษ์ส่วนตัวของตัวเองอีกคนไปทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้ และแค่พวกเขามีองครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ หนึ่งคนนั้นมันก็จัดว่าน่าอัศจรรย์มากแล้ว สำหรับการจะมีองครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่สองคนนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
“ฉันอาจจะมีองครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่แค่คนเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ฉันจะไม่สามารถเพิ่มศักยภาพในการเติบโตของเขาได้” ซือเฟิงกล่าวก่อนจะหยิบผลไม้หลากสีออกมาจากกระเป๋าของเขา
ซึ่งมันทำให้ทุกคนในห้องรับรองนั้นรู้สึกกระสับกระส่ายทั้งร่างกายและจิตใจ เมื่อซือเฟิงทำแบบนี้ …. เพราะสัญชาตญาณของพวกเขานั้นกรีดร้องให้พวกเขารีบกินผลไม้นี้
“ผลไม้แห่งชีวิต ?! คุณเป็นใคร ?!” คริมสันสตาร์กล่าวออกมา และจ้องมองไปยังผลไม้หลากสีด้วยความประหลาดใจ
องครักษ์ส่วนตัวขั้นสี่ที่ซือเฟิงมีนั้นมันน่าประหลาดใจพอสมควร แต่ชายคนนี้กับมีผลไม้แห่งชีวิตที่มีค่าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อีก นี่มันไม่น่าเชื่อเลย !!!
ผลไม้แห่งชีวิตนั้นเป็นตำนานของ God domain และผู้คนก็ล้วนเรียกมันว่าผลไม้ศักสิทธิ์ เพราะผลไม้แห่งชีวิตนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ แต่มันยังจะช่วยให้สิ่งมีชีวิตกลับสู่สถานะสูงสุดได้ และเพิ่มศักยภาพในการเติบโตได้ด้วย
มันมีข่าวลือว่าผู้เล่นสามารถเพิ่มคะแนนชนชั้นสิ่งมีชีวิตได้โดยแค่การกินมัน
หากพวกเขาเห็นผลไม้แห่งชีวิต แม้แต่ NPC ขั้นสูงก็ยังจะยอมทำทุกอย่างเพื่ออ้าง
สิทเหนือมัน ไม่ต้องพูดถึงผู้เล่นเลย
ในความเห็นของคริมสันสตาร์ ผลไม้แห่งชีวิตนี้มันเป็นเพียงแค่ตำนาน และมันก็เกินเอื้อมสำหรับผู้เล่น วิธีเดียวที่ทราบกันดีในการจะได้รับผลไม้แห่งชีวิตคือการเก็บเกี่ยวมันจากต้นไม้แห่งชีวิตของเผ่าเอลฟ์ อย่างไรก็ตามเหล่าเอลฟ์นั้นถือว่าผลไม้เหล่านี้เป็นของศักสิทธิ์ พวกเขาจะไม่ขายหรือแลกเปลี่ยนผลไม้นี้ให้กับบุคคลภายนอกเด็ดขาด และหากผู้เล่นต้องการจะได้รับผลไม้แห่งชีวิตมาเป็นของตัวเองสักผล พวกเขาก็จะสามารถทำได้โดยการโจมตีสถานที่ซึ่งเป็นที่อยู่ของผลไม้แห่งชีวิตเท่านั้น
อย่างไรก็ตามต้นไม้แห่งชีวิตของเอลฟ์นั้นก็ได้รับการปกป้องอย่างหนาแน่นมากๆ และแม้แต่เทพขั้นหกก็ยังจะไม่สามารถเข้าถึงพวกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นจอมเวทย์ และมหาจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรและจักรวรรดิต่างๆก็ล้วนเรียนรู้หลายสิ่งมาจากจอมเวทย์ และมหาจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเอลฟ์ด้วย ดังนั้นใครก็ตามที่กล้าโจมตีสำนักงานใหญ่หลักของเอลฟ์ก็จะเป็นศัตรูกับทั้งอาณาจักรและจักรวรรดิเหล่านั้นด้วย ซึ่งมันก็จะไม่มีใครที่อยู่ใต้ผืนฟ้าและสวรรค์ของ God domain แห่งนี้จะสามารถช่วยพวกเขาได้
แม้แต่ทอร์เร้นก็ยังจ้องมองไปยังผลไม้ในมือของซือเฟิงด้วยความประหลาดใจ
ผลไม้แห่งชีวิต !!!
มหาอำนาจต่างๆได้ค้นหาผลไม้นี้กันอย่างบ้าคลั่ง หลังจากได้เรียนรู้เกี่ยวกับมัน และจากสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้ มันก็มีวิธีเดียวนอกเหนือจากการบุกเข้าไปในเมืองเอลฟ์เพื่อปล้นชิงนั่นก็คือ ผลไม้นี้มันจะถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่ผู้ที่อยู่นอกเผ่าเอลฟ์ที่ได้ทำการช่วยเหลือเผ่าเอลฟ์ไว้อย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามผลไม้นี้ไม่เคยถูกมอบให้กับผู้ที่อยู่นอกเผ่าเอลฟ์มานานแล้ว และแม้ว่ามหาอำนาจต่างๆจะพยายามค้นหาเบาะแสของเรื่องนี้ แต่มันก็ยังไม่มีกลุ่มไหนค้นพบเลยแม้แต่คนเดียว
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับมีมันอยู่หนึ่งผลในมือของเขา ….
“กินมันเข้าไป …” ซือเฟิงกล่าวพลางส่งผลไม้แห่งชีวิตให้แวร์ซาย
แวร์ซายเองนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเช่นกัน พอเขาได้รับผลไม้นี้มาจากซือเฟิง และอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของเขานี้มันก็ทำให้มานาภายในห้องอยู่ไม่สุข
หลังจากโค้งคำนับอย่างจริงใจต่อซือเฟิง แวร์ซายก็ได้กินผลไม้แห่งชีวิตนี้เข้าไป ขณะที่ผู้เล่นในห้องรับรองทั้งหมดเฝ้าดูอยู่