Reincarnation Of The Strongest Sword God - ตอนที่ 2716
ตอนที่ 2716 การต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญระดับสัตว์ประหลาด
เมืองมังกรไฟ วิหารเทพสงคราม :
แม้จะมีขนาดเท่ากับสนามกีฬาสามแห่ง แต่ตอนนี้พลาซ่าด้านนอกของวิหารเทพสงครามก็เต็มไปด้วยผู้เล่น และนอกเหนือจากสมาชิกของมหาอำนาจต่างๆที่มาเข้าร่วมแล้ว ผู้เล่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ที่นี่ในฐานะผู้ชมด้วย ทุกคนล้วนรอคอยให้การแข่งขันอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้น
“เร็ว !! รีบมาดู พวกเขากำลังจะประกาศสนามรบ !!!”
ทันใดนั้นภาพโฮโลแกรมขนาดใหญ่ก็ปรากฎขึ้นบนท้องฟ้าเหนือวิหารเทพสงคราม โดยภาพโฮโลแกรมที่ฉายออกมานั้นมีรัศมีกว้างหลายร้อยเมตร และสามารถจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายไมล์ก็ตาม
ในขณะเดียวกันด้วยการปรากฎขึ้นของภาพโฮโลแกรมนี้ ความตื่นเต้นของทั้งผู้เล่น และ NPC ในเมืองมังกรไฟจึงเพิ่มขึ้นมากๆ
“ในที่สุดมันก็เริ่มแล้วสินะ !!!”
“การแข่งขันนี้จะกำหนดทิศทางในอนาคตของ God domain ทั้งหมด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งที่ล้วนปกปิดตัวตนอยู่ของมหาอำนาจต่างๆก็จะต้องเปิดเผยตัวเองออกมาแน่นอน เมื่อได้เข้าชมแล้ว อย่าลืมบันทึกข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ล่ะ พวกเขาจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงใน God domain ในอนาคตแน่นอน เราจะต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเราเองไม่ได้ไปทำให้เขาขุ่นเคืองใดๆ”
“พวกมือใหม่ทั้งหมดฟัง !!! กิลได้ใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อจองห้อง VIP ให้คุณได้สัมผัสกับการแข่งขันอย่างใกล้ชิดที่สุด ดังนั้นจงใช้โอกาสนี้เรียนรู้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากผู้เชี่ยวชาญที่น่ากลัวเหล่านี้ !!!”
กิลขนาดใหญ่ รวมไปถึงมหาอำนาจที่ไม่ได้เข้าแข่งล้วนพาพวกมีความสามารถ และพวกมือใหม่ในกิลของพวกเขามาที่นี่เพื่อเรียนรู้ทั้งหมด
“ฉันล่ะอยากจะเห็นจริงๆว่าพวกเขาจะทรงพลังมากแค่ไหน !!!”
“ฉันได้ยินว่าหลายคนที่มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้เชี่ยวชาญของศาลาลับจะปรากฎตัวขึ้น ฉันสงสัยจังว่าเราจะได้มีโอกาสเห็นการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ไหม ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าของพวกเขา เหล่าผู้มีความสามารถและพวกหน้าใหม่ทั้งหมดก็ล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ถ้าเป็นไปได้ พวกเขาอยากจะมีส่วนร่วมในการแข่งขันครั้งนี้ด้วยตัวเองเลยด้วยซ้ำ
ผู้เล่นในเมืองมังกรไฟนั้นไม่ใช่แค่กลุ่มเดียวที่ให้ความสนใจกับการแข่งขันครั้งนี้ ผู้เล่นทั่วทั้ง God domain เองก็ให้ความสนใจเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ผู้ที่จะสามารถเข้าไปชมการต่อสู้ได้โดยตรงนั้นมีจำกัด ซึ่งนี่มันทำให้หลายคนหงุดหงิดมากๆ
มันมีห้อง VIP เพียงหนึ่งร้อยห้อง และแต่ละห้องสามารถรองรับคนได้แค่หนึ่งร้อยคนเท่านั้น นอกจากนี้มันยังมีที่นั่งปกติให้ดูเพียงสิบล้านที่นั่ง ซึ่งเมื่อเทียบกับประชากรของผู้เล่นใน God domain แล้ว จำนวนแค่นี้มันนับว่าน้อยมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ส่วนที่น่าหงุดหงิดที่สุด สิ่งที่ทำให้ผู้เล่นหงุดหงิดมากที่สุดก็คือ นอกจากผู้เล่นแล้ว NPC ก็สามารถจะซื้อตั๋วเข้าชมได้ด้วย ซึ่งตามสถิติที่วิหารเทพสงครามรวบรวมมา ตั๋วยี่สิบเปอเซ็นต์นั้นถูกซื้อโดย NPC ขณะที่ตั๋วหกสิบเปอเซ็นต์นั้นถูกซื้อโดยกิล และองค์กรขนาดใหญ่ต่างๆ และนี่มันทำให้ตั๋วเหลือมาถึงผู้เล่นอิสระแค่ยี่สิบเปอเซ็นต์เท่านั้น
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่ใครจะทันได้รู้ตัว ภาพโฮโลแกรมที่ถูกฉายโดยวิหารเทพสงครามก็เผยให้เห็นสนามรบสำหรับการแข่งขันที่กำลังจะมาถึง โดยภาพที่ปรากฎขึ้นนั้นคือมหาสมุทรที่มีคลื่นปั่นป่วน และมีเมฆฝนฟ้าคะนองเต็มไปหมด และเมื่อมองโดยภาพรวม มันก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสถานที่ที่ผู้เล่นทั่วไปจะไม่สามารถเข้าไปได้เลย โดยมหาสมุทรทั้งหมดนี้มีสิบแปดเกาะที่มีขนาดแตกต่างกัน โดยเกาะเล็กๆก็มีขนาดเท่ากับแผนที่เก็บเลเวลขนาดเล็ก ในขณะที่เกาะขนาดใหญ่ก็มีขนาดที่ใหญ่กว่าเกาะเล็กๆราวสามเท่า
เกาะเหล่านี้นั้นอยู่ห่างกันมากๆ และด้วยท้องทะเลแบบนี้ แม้แต่การใช้เรือเร็วระดับทองแดงเดินทาง ผู้เล่นก็จะต้องใช้เวลาสองชั่วโมงในการเดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่ง โดยการปรากฎตัวขึ้นมาอย่างกระทันหันของคลื่นและพายุ มันก็อาจทำให้เวลาเดินทางเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
“อะไรกัน ?! มันจะเป็นการต่อสู้ทางเรืองั้นหรอ ?!”
“ไม่น่าใช่สิ มันมีเกาะอยู่แค่ไม่กี่แห่งเองนะในมหาสมุทรนั่น …”
“มันเป็นการต่อสู้แบบยึดครองเกาะรึปล่าว ?” ผู้เล่นนอกวิหารเทพสงครามต่างรู้สึกประหลาดใจ เมื่อพวกเขาได้เห็นสนามรบที่ถูกเปิดเผยออกมา และพวกเขาก็เริ่มพูดคุยอภิปรายกันอย่างร้อนแรงทันที
อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะได้ข้อมูล กฎที่ใช้สำหรับการแข่งขันแย่งชิงหกตำแหน่งสำรองก็ทยอยถูกประกาศออกมา
โดยผู้เล่นจะถูกเทเลพอร์ตไปยังเกาะต่างๆในแบบทีม ขณะที่แต่ละทีมนั้นจะต้องมีผู้เล่นอย่างน้อยหนึ่งร้อยคน และสูงสุดต่อทีมได้ที่หนึ่งพันคน โดยทุกเกาะนั้นเป็นจะมีจำนวนทรัพยากรที่แตกต่างกันออกไป และมีพื้นที่ทรัพยากรราวสิบสองถึงสามสิบพื้นที่
ซึ่งพื้นที่ทรัพยากรแต่ละแห่งก็จะให้คะแนนกิลแตกต่างกัน โดยพื้นที่ทรัพยากรขั้นพื้นฐานจะให้คะแนนกับกิลเพียงสิบแต้มต่อชั่วโมง ขณะที่พื้นที่ทรัพยากรขั้นกลางจะให้คะแนนกับกิลยี่สิบแต้มต่อชั่วโมง ส่วนพื้นที่ทรัพยากรขั้นสูงจะให้คะแนนกับกิลสามสิบแต้มต่อชั่วโมง
การแข่งขันนั้นจะใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งเมื่อมันจบลง กิลหกอันดับแรกที่มีคะแนนสูงสุดก็จะได้รับตำแหน่งสำรองทั้งหกไป
และในหมู่เกาะสิบแปดเกาะนี้ ยิ่งเกาะมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ มันก็จะยิ่งผลาญค่าสตามิน่ากับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของผู้เล่นมากขึ้นเท่านั้น และผู้เล่นทุกคนก็จะไม่สามารถใช้สกิลเบอเซิกร์ หรือเครื่องมือเวทย์มนต์ใดๆได้ โดยกิลที่อยู่ในห้าอันดับแรกของแต่ละเกาะจะสามารถเดินทางไปยังเกาะอื่นๆได้ และหากผู้เล่นตายลงในระหว่างการแข่งขัน ผู้เล่นก็จะถูกเทเลพอร์ตออกจากสนามรบที่ใช้แข่งโดยอัตโนมัติ และสูญเสียสองเลเวล
เมื่อผู้เล่นในพลาซ่าเห็นกฎเหล่านี้ พวกเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วการแข่งขันนี้มันขึ้นอยู่กับรากฐาน และความเป็นผู้นำของแต่ละกิลอย่างมาก
การใช้ความแข็งแกร่งส่วนบุคคลนั้นถูกจำกัดอย่างมากในการแข่งขันครั้งนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หากกิลไม่ได้วางแผนแบ่งทีมและกระจายอย่างถูกต้อง กิลๆนั้นก็อาจถูกทำลายล้างลงไปได้อย่างรวดเร็วเลย
“กฎนี้มันเอื้อให้กับกิลที่มีผู้เล่นจำนวนมากนี่นา ….” มู่หลิงชาขมวดคิ้ว ขณะที่เธอจ้องมองไปยังกฎที่ปรากฎอยู่เหนือวิหารเทพสงคราม
ข้อกำหนดขั้นต่ำในการที่จะเข้าแข่งขันได้ในครั้งนี้สำหรับผู้เล่นคือขั้นสาม และแม้ว่ามหาอำนาจส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมจะมีสมาชิกกิลใกล้เคียงกัน แต่พวกเขาก็มีจำนวนผู้เล่นขั้นสามที่แตกต่างกันอย่างมาก
ยกตัวอย่างเช่น อันยีลดิ้งโซล กิลมีผู้เล่นขั้นสามอยู่ที่ราวสี่พันห้าร้อยคนหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย อย่างไรก็ตามซุเปอร์กิลอย่างตระกูลมังกรฟ้านั้นมีผู้เล่นขั้นสามอยู่ในกิลมากกว่าแปดพันคนเลย
แน่นอนว่ากิลที่เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ ล้วนมีจำนวนผู้เล่นขั้นสามโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราวหกพันคน อย่างไรก็ตามมันก็มีบางกิลที่มีผู้เล่นขั้นสามมากกว่าค่าเฉลี่ยไปเยอะมาก ดังนั้นสถานการณ์นี้มันจึงจะทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่มากๆระหว่างกิลที่เข้าแข่งขันกัน
เริ่มด้วยซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดห้ากิลนั้น พวกเขาแต่ละกิลล้วนมีผู้เล่นสามเป็นของตัวเองราวสองหมื่นคน ซึ่งนี่มันไม่ใช่จำนวนที่มหาอำนาจอื่นๆหวังจะแข่งด้วยได้เลย และนี่มันก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้มหาอำนาจหลายกลุ่มหมดหวังในตำแหน่งสำรองห้าตำแหน่งไปทันที
ด้วยกฎเหล่านี้ มันจะทำให้มหาอำนาจอื่นๆไม่มีสิทต่อกรกับห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดได้เลย เพราะท้ายที่สุดแล้วแค่การแบ่งทีมตามจำนวนผู้เล่นที่มีนั้น ห้าซุเปอร์กิลที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะได้เปรียบมากแล้ว เนื่องจากพวกเขาสามารถจัดแต่ละทีมได้เต็มจำนวนที่พันคนเลย ซึ่งมันจะทำให้พวกเขามีข้อได้เปรียบเชิงตัวเลขอย่างมาก นี่ยังไม่นับรวมในด้านอื่นๆเช่นมาตราฐานของผู้เชี่ยวชาญอีก ….
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ถ้าทีมกิลที่ถูกแบ่งออกไม่สามารถขึ้นไปติดห้าอันดับแรกของเกาะได้ พวกเขาก็จะหมดสิทเดินทางไปยังเกาะอื่นๆด้วย
“กฎเหล่านี้มันยอดเยี่ยมมากๆ ตอนนี้ชัยชนะของมิราเคิลมันแทบจะได้รับการการันตีร้อยเปอเซ็นต์แน่นอน” โคลท์ชาโด้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เธออ่านกฎการแข่งขัน
ในช่วงเวลานี้ พวกระดับสูงของมิราเคิลก็ล้วนเต็มไปด้วยความสุขมากๆเช่นกัน
เพราะท้ายที่สุดแล้วมิราเคิลได้ส่งสมาชิกมาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้มากกว่าหนึ่งหมื่สามพันคน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้กิลมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากขนาดนี้ มันก็ต้องขอบคุณเครื่องมือที่ไมโทโลจี้มอบให้ เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้เล่นขั้นสองที่มีปัญหาในการทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสาม สามารถเอาชนะอุปสรรคสุดท้ายของเควสได้อย่างง่ายดาย และแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญที่กลายมาเป็นขั้นสามโดยอาศัยเครื่องมือแบบนี้จะขาดในเรื่องมาตราฐานการต่อสู้เมื่อเทียบกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสามคนอื่นๆ แต่พวกเขาก็ยังจัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นสามที่แท้จริง และแข็งแกร่งกว่าผู้เล่นขั้นสองมาก และด้วยการมีผู้เชี่ยวชาญขั้นสามจำนวนมากขนาดนี้ มันก็ทำให้มิราเคิลมีสิทสูงมากที่จะได้รับหนึ่งในหกตำแหน่งสำรองไป
ในทางตรงกันข้ามกับพวกระดับสูงของมิราเคิล เซเว่นวอร์นเดอร์และพวกระดับสูงในปัจจุบันของฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นล้วนมีใบหน้าที่ซีดเซียว ฟรอสต์ฮีฟเว่นนั้นส่งสมาชิกมาเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้มากกว่าเจ็ดพันห้าร้อยคนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งด้วยกฎที่การแข่งขันที่ประกาศออกมาเมื่อครู่ มันทำให้แทบเป็นไปได้เลยที่ฟรอสต์ฮีฟเว่นจะได้รับหนึ่งในหกตำแหน่งสำรองนี้
“ทางเลือกเดียวของเราคือต้องยอมรับความเสี่ยง และจัดทีมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่งั้นเราจะหมดโอกาสแน่นอนในครั้งนี้ ….” เซเว่นวอร์นเดอร์กล่าวกับเหล่าผู้อาวุโส และผู้อาวุโสสูงสุดอย่างใจเย็น
“นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เราสามารถทำได้จริงๆ ไม่งั้นเราจะไม่มีโอกาสสู้กับกิลที่มีจำนวนคนมากกว่าได้เลย” หงซินหยวนกล่าวพลางพยักหน้าเห็นด้วย
เหล่าผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหมดพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของเซเว่น
วอร์นเดอร์เช่นกัน
“เนื่องจากทุกคนตกลงตามนี้ งั้นฉันจะเริ่มแบ่งทีม ….”
“แม้ว่าเราจำเป็นจะต้องแบ่งทีมให้ได้มากที่สุด แต่เราก็ต้องคำนึงถึงความสมดุลของพลังการต่อสู้ และความสามารถในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่ทรัพยากรด้วย ผู้อาวุโสสูงสุดห้าคน และผู้อาวุโสสิบสองคนจะเป็นผู้นำทีมสามร้อยคน โดยเป้าหมายของพวกคุณคือต้องเข้ายึดและรักษาพื้นที่ทรัพยากรขั้นพื้นฐานไว้ให้ได้ และหากคิดว่าทีมของตัวเองมีพลังไม่มากเพียงพอก็ให้ลองติดต่อทีมอื่นที่อยู่ใกล้ๆ และให้ช่วยกันปฎิบัติการได้”
“ส่วนฉัน ผู้อาวุโสหง และบริลเลี่ยนบลู แต่ละคนจะนำทีมห้าร้อยคนที่ประกอบไปด้วยพวกสิบดาบด้วย ซึ่งเราก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเข้ายึดและรักษาพื้นที่ทรัพยากรขั้นกลางให้ได้ หรือพื้นที่ทรัพยากรขั้นพื้นฐานเป็นอย่างน้อยที่สุด ขณะที่รองหัวหน้ากิลทั้งสามจะนำสมาชิกที่เหลือร่วมกับสมาชิกสภาสิบแปดปีกเพื่อเข้ายึดพื้นที่ทรัพยากรขั้นสูง หรือไม่ก็พื้นที่ทรัพยากรขั้นกลางเป็นอย่างต่ำ”
การกระจายทีมแบบนี้ของเซเว่นวอร์นเดอร์ มันก็เป็นไปเพื่อให้กิลประสบกับปัญหาน้อยที่สุด ประการแรกมันทำให้กิลมั่นใจได้ว่าจะมีคนมากเพียงพอที่จะแข่งขันในเกาะทั้งสิบแปดเกาะ ประการที่สองทุกทีมจะมีความแข็งแกร่งประมาณหนึ่ง และน่าจะสามารถรับมือกับทีมหนึ่งพันคนที่เป็นศัตรูได้
แน่นอนว่าโอกาสในการเจอทีมหนึ่งพันคนนั้นมีค่อนข้างน้อย เนื่องจากแต่ละกิลนำผู้เล่นเข้ามาร่วมการแข่งขันครั้งนี้ได้อย่างจำกัดตามข้อกำหนด ดังนั้นการจะสร้างทีมหนึ่งพันคนขึ้นมาสักทีมมันจึงเป็นอะไรที่ฟุ่มเฟือยมากๆ และเพื่อกระจายอิทธิพลของตัวเองออกไปให้กว้างที่สุด กิลต่างๆก็น่าจะใช้แผนคล้ายกับเซเว่นวอร์นเดอร์นี่แหละ และอาจจะปรับเปลี่ยนแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“โอเคกับแผนนี้กันไหม ?” เซเว่นวอร์นเดอร์ถาม ขณะที่เขามองไปยังพวกระดับสูง
ของกิลในปัจจุบัน
ในการตอบสนองพวกระดับสูงของกิลเขาล้วนมองตากันและกัน อย่างไรก็ตามมันไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านใดๆ
เซเว่นวอร์นเดอร์พยักหน้า “ในกรณีนี้ …”
อย่างไรก็ตามในขณะที่เซเว่นวอร์นเดอร์กำลังจะสรุปการตัดสินใจของเขา เสียงที่ทุ้มต่ำก็ดังมาเข้าหูของทุกคน “ฉันขอคัดค้าน !!!”
ทันใดนั้นพวกระดับสูงของฟรอสต์ฮีฟเว่นก็หันไปมองยังต้นตอของเสียงนี้
เจ้าของเสียงนี้นั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซือเฟิงที่พึ่งมาถึง
อย่างไรก็ตามแทนที่จะรู้สึกไม่พอใจกับการคัดค้านของซือเฟิง เซเว่นวอร์นเดอร์กับถามอย่างจริงใจว่า “หัวหน้ากิลแบล๊คเฟรม คุณมีคำแนะนำอะไรดีๆงั้นหรอ ?”
หลังจากเซเว่นวอร์นเดอร์ถามคำถามของเขาจบ เหล่าผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุด รวมไปทั้งพวกระดับสูงของฟรอสต์ฮีฟเว่นคนอื่นๆก็ล้วนหันไปมองซือเฟิง การกระทำของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีความคิดแบบเดียวกับเซเว่นวอร์นเดอร์ และพวกเขาทุกคนรอยคอยที่จะฟังคำแนะนำของซือเฟิง
เกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านี้ในช่วงที่ฉันไม่อยู่เนี่ย ? ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับท่าทีของไซเร้นวอร์นเดอร์และคนอื่นๆ
ก่อนที่เขาจะจากไปครั้งก่อน คนเหล่านี้ไม่ได้ใส่ใจจะมองเขาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ทัศนคติของเซเว่นวอร์นจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น แต่พวกระดับสูงคนอื่นๆของกิลก็ยังดูเป็นมิตรมากขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้นานนัก
“ฉันไม่สามารถจะพูดได้ว่ามันเป็นคำแนะนำที่ดี ….” ซือเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น ก่อนที่เขาจะกล่าวเสริมว่า “ฉันแค่คิดว่าเราควรจะเปลี่ยนการจัดทีมเล็กน้อย”
“เราจะเปลี่ยนมันแบบไหน ?” เซเว่นวอร์นเดอร์ถามอย่างสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามของเซเว่นวอร์นเดอร์ ซือเฟิงก็แบฝ่ามือออก
“ห้า !!”
“ข้อเสนอของฉันคือให้สภาสิบแปดปีกนำทีมห้าทีมแยกออกไป โดยแต่ละทีมจะประกอบไปด้วยสมาชิกหนึ่งร้อยคน และให้รองหัวหน้ากิลของคุณที่เหลือนำทีมห้าร้อยคน ด้วยวิธีนี้ เราจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ของเราให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้”