Reincarnation Of The Strongest Sword God - ตอนที่ 2864
ตอนที่ 2864 เปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้สาธารณชน
“ในที่สุดพวกเขาก็ไปแล้ว …”
เฟยยี่มองไปที่ซือเฟิงและพรรคพวกของเขาที่หายลับตาไป พลางถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ก่อนหน้านี้เธอนั้นคิดว่าซือเฟิงจะลงมือทำบางอย่างกับพวกเขา ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวการถูกฆ่า แต่หากอาวุธหรืออุปกรณ์ชั้นยอดที่พวกเขาใช้และสวมใส่อยู่ดรอป
ออกไปหลังพวกเขาตาย มันก็ยังจะนับเป็นความสูญเสียที่รุนแรงเช่นกัน
“แบล๊คเฟรม !!” ซี่หยวนมองไปยังทิศทางที่ซือเฟิงหายลับตาไปด้วยดวงตาที่เย็นชา “รอก่อนเถอะ !! ฉันจะต้องจัดการคุณให้ได้ !!!”
ซือเฟิงนั้นจัดว่าแข็งแกร่งและทรงพลังมากๆอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้เป็นอมตะ ….
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้ในสงครามโลกแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกขั้นสี่ที่ไม่มีใครเทียบได้ หรือแม้แต่ NPC ขั้นห้าก็ไม่สามารถจะหยุดการรุกรานจากกองทัพของโลกของพวกเขาได้ ไม่งั้นประเทศต่างๆจำนวนมากในทวีปหลักของ God domain ก็คงจะไม่ล่มสลายไป ….
ปัจจุบันมันอาจจะดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายได้มาถึงสภาวะหยุดนิ่งต่อกันแล้ว แต่ความจริงนั้น ที่มันเป็นแบบนี้เพราะพวกเขากำลังสะสมความแข็งแกร่งเพิ่มเติมต่างหาก
และตอนนี้อีกไม่นานพวกเขาก็จะเริ่มทำการโจมตีครั้งใหญ่ครั้งต่อไปแล้ว ….
“ซี่หยวน อย่าทำเรื่องวุ่นวายมากไปกว่านี้เลย แบล๊คเฟรมนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เราคิดไว้มาก หากมันส่งผลกระทบต่อแผนของพันธมิตร แม้ว่าคุณจะเป็นหนึ่งในอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดที่กิลเลี้ยงดูขึ้นมา แต่เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ผู้อาวุโสจูเฟิงหยิงก็จะไม่สามารถปกป้องคุณได้ …” เฟยยี่ส่ายหัว และอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนเมื่อเธอได้ยินคำพูดของซี่หยวน “สิ่งที่เร่งด่วนที่สุดที่เราต้องทำตอนนี้คือการกลับไปแจ้งข้อมูลของแบล๊คเฟรมให้ผู้อาวุโสรู้ ….”
ในสงครามโลกนั้น แม้ว่าพวกขั้นสี่ที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวแบบซือเฟิงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์โดยรวมได้มากนัก แต่พวกขั้นสี่แบบนี้ก็จะยังคงมีอิทธิพลอยู่บ้างแน่นอนในบางพื้นที่ ….
“ฉันเข้าใจ …” ซี่หยวนพยักหน้า “หลังจากนี้ฉันก็จะกลับไปที่สำนักงานใหญ่หลักเพื่อสมัครเข้าร่วมการทดสอบ …”
“นี่คุณจะสมัครเข้าร่วมการทดสอบตอนนี้เลยงั้นหรอ ? มันเร็วเกินไปหรือปล่าว …” เฟยยี่กล่าวอย่างประหลาดใจ
ในโลก God domain ของพวกเขานั้นมันเหนือกว่าที่นี่มากๆ เพราะมันยังคงมีมรดกมากมายเหลือไว้ และในหมู่มรดกทั้งหมดมันก็มีการทดสอบบางอย่างที่กิลจะสงวนไว้สำหรับอิจฉริยะของกิล ซึ่งหากอัจฉริยะของกิลสามารถทำการทดสอบได้สำเร็จนั้น อัจฉริยะของกิลก็จะเติบโตขึ้นอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามการเข้ารับการทดสอบนี้มันก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะหากล้มเหลว จิตวิญญาณของผู้เข้ารับการทดสอบจะตกอยู่ในสถานะอ่อนเป็นเวลานาน นอกเหนือจากนี้อัจฉริยะของกิลหนึ่งคนยังจะได้รับโอกาสจากกิลเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“ฉันจำเป็นจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเองให้มากขึ้นเพื่อให้ตัวเองไปได้ไกลขึ้นในพันธมิตร และสามารถรับเอาคะแนนสะสมจำนวนมากได้ ซึ่งเมื่อฉันสามารถสะสมคะแนนได้มากเพียงพอแล้ว ฉันก็จะนำมันไปแลกกับโควต้ามรดก”
ซี่หยวนครุ่นคิดเรื่องนี้มาแล้ว ….
หลังจากพันธมิตรพิชิตทวีปด้านตะวันออกไปด้วยส่วนหนึ่งนั้น ทรัพยากรของพันธมิตรก็อุดมสมบูรณ์ขึ้นมากๆ และโควต้ามรดกนั้นก็นับเป็นสิ่งล้ำค่าแน่นอน ดังนั้นนี่จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับเขาที่จะใช้ประโยชน์จากตรงนี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองให้ไวที่สุด
ปัญหาเดียวที่เขากังวลในตอนนี้คือเขาจะต้องทำการทดสอบให้สำเร็จเท่านั้น ….
เขานั้นเคยได้ยินเรื่องของการสร้างโลกมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้นั้นเขายังไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าการสร้างโลกมันน่ากลัวแค่ไหน อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ดูการต่อสู้ของซือเฟิง เขาก็ได้เข้าใจถึงความแข็งแกร่งของการสร้างโลกแล้ว และนี่แหละก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจแบบนี้
หุบเขาอาร์กติกแกรนด์ เมืองสภาสิบแปดปีก :
เมื่อวงเวทย์เทเลพอร์ตสว่างขึ้นในห้องเทเลพอร์ตของเมือง ร่างของซือเฟิง และอีกหกคนก็ปรากฎตัวขึ้นในห้องเทเลพอร์ต
“นี่คือเมืองสภาสิบแปดปีกงั้นหรอ ?”
ซิคทีนคลาวด์มองไปที่ห้องเทเลพอร์ตตรงหน้าของเธอ แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ
มานา !!
มานาที่นี่มันหนาแน่นในระดับที่น่ากลัวมากๆ !!!
แม้ว่าเธอจะได้ยินข่าวคราวมาบ้างแล้วว่ามานาในเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้มาที่เมืองสภาสิบแปดปีก และได้สัมผัสมันด้วยตัวเองนั้น เธอก็คิดว่ามานาที่มันเหนือกว่าในข่าวลือซะอีก
นอกเหนือจากมานาที่หนาแน่นในระดับที่น่ากลัวมากๆแล้ว เมืองสภาสิบแปดปีกก็ยังมีการจราจรที่พลุกพล่านมากๆด้านนอกห้องเทเลพอร์ต โดยมันก็มีทั้งพ่อค้า NPC ขุนนาง NPC มากมาย รวมไปถึงพวก NPC ขั้นสี่ได้เข้ามาที่เมืองนี้
ถ้าในเวลานี้ เธอไม่ได้เป็นตัวแทนของไชนิ่งไทเกอร์เพื่อเดินทางมาเซ็นสัญญาความร่วมมือเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับสภาสิบแปดปีกที่เมืองสภาสิบแปดปีก เธอก็คงจะไม่รู้เลยว่าเมืองสภาสิบแปดปีกที่ไม่ได้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมนั้นทรงพลังมากขนาดนี้
หลังจากที่ฟิธาเลีย แม๊คอาฟรี่ และคริมสันวิช ทั้งสามได้มาถึงเมืองสภาสิบแปดปีก พวกเขาก็ประหลาดใจกับสถานการณ์ของเมืองสภาสิบแปดปีกมากเช่นกัน
เมืองนี้มีแม้กระทั่งหน่วยลาดตระเวนเป็นทหาร NPC ขั้นสี่ ซึ่งมันนับเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากๆ แม้แต่ในเมืองกิลขนาดใหญ่ของซุเปอร์กิล
NPC ขั้นสี่ทุกคนนั้นล้วนจัดเป็นตัวตนที่ทรงพลังและล้ำค่ามากๆสำหรับผู้เล่น โดยส่วนใหญ่ถ้าผู้เล่นไม่ให้ NPC แบบนี้เป็นองครักษ์ของเมือง ผู้เล่นก็จะให้ NPC เป็นผู้พิทักษ์ของเมือง
แต่ตอนนี้สภาสิบแปดปีกกับนำ NPC ขั้นสี่มาร่วมในหน่วยลาดตระเวนตามท้องถนนจริงๆ แถมยังไม่ใช่แค่หน่วยหรือสองหน่วยด้วย นี่มันบ้าชัดๆ ….
อย่างไรก็ตามซือเฟิงไม่ได้แปลกใจกับสิ่งนี้เท่าไหร่นัก ….
ปัจจุบันเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นเมืองหลักของกิลเพียงแห่งเดียวใน God domain แถมมันก็ยังตั้งอยู่ในพื้นที่เชิงกลยุทธ์อย่างหุบเขาอาร์กติกแกรนด์ ดังนั้นมันจึงจะต้องมี NPC ขั้นสี่เข้ามาล่าที่นี่อยู่แล้ว และเมื่อเป็นแบบนี้นั้นการรับสมัครทหาร NPC ขั้นสี่เข้ามาคอยดูแลเมืองสภาสิบแปดปีก มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ….
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสภาพแวดล้อมในปัจจุบันของเมืองสภาสิบแปดปีกนั้นเทียบได้กับในยุคโบราณแล้ว มันจึงยิ่งสามารถจะดึงดูด NPC ขั้นสี่จำนวนมากเข้ามาได้ ซึ่งสภาพแวดล้อมแบบนี้มันจะเอื้อต่อ NPC ขั้นสี่ในการฝึกฝนตัวเองให้ไปได้ไกลกว่านี้อย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามซือเฟิงก็ต้องยอมรับอยู่เรื่องหนึ่งว่า เขาไม่อยู่แค่ระยะหนึ่งเท่านั้น แต่เมืองสภาสิบแปดปีกกับพัฒนาไปได้ไกลอย่างมากจริงๆ ….
ไม่เพียงแต่เรื่องความแข็งแกร่งของหน่วยทหาร NPC ที่ลาดตระเวนอยู่ตามท้องถนนเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงความแข็งแกร่งของผู้เล่นบนท้องถนนด้วย พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้เล่นขั้นสามหรือสูงกว่าที่มีเลเวลหนึ่งร้อยสามสิบหกหรือมากกว่าขึ้นไปทั้งหมด และสำหรับผู้เล่นขั้นสี่ที่นี่นั้นก็สามารถจะพบเห็นได้ค่อนข้างมากเช่นกัน
เพียงแค่เดินจากห้องเทเลพอร์ตไปยังสถานที่พักกิลนั้น ซือเฟิงก็สังเกตเห็นผู้เล่นขั้นสี่ตามรายทางมากกว่าสิบคนแล้ว …. ซึ่งมันนับว่ามากกว่าป้อมปราการแสงดาวมากเลยทีเดียว
ต้องรู้ก่อนว่าใครก็ตามที่สามารถเข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกได้นั้นจะต้องเป็นสมาชิกของสภาสิบแปดปีก หรือไม่ก็สมาชิกของผู้ที่มีความร่วมมือกันกับสภาสิบแปดปีก ไม่งั้นจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าสู่เมืองสภาสิบแปดปีกเลย
นอกจากนี้มันก็ยังมีสมาชิกของสภาสิบแปดปีกจำนวนมากด้วยที่เดินอยู่ตามท้องถนน
เท่าที่ซือเฟิงสังเกต ตอนนี้เมืองสภาสิบแปดปีกน่าจะมีประชากรมากกว่าห้าแสนคนแล้ว
หากต้องการจะปฎิบัติการใดๆรอบเมืองสภาสิบแปดปีกนั้น ผู้ที่ต้องการจะต้องเป็นผู้เล่นขั้นสามเป็นอย่างน้อย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตอนนี้สภาสิบแปดปีกมีผู้เล่นขั้นสามอยู่อย่างน้อยห้าแสนคนแล้ว ….
ซึ่งจำนวนนี้นั้นมันนับว่าเกินจำนวนที่ซุเปอร์กิลทั่วไปมีแล้วอย่างแน่นอน …. และมันก็จะมีเพียงแต่พวกซุเปอร์กิลชั้นยอดเท่านั้นที่จะมีจำนวนในเรื่องนี้มากกว่าสภาสิบแปดปีก ….
“หัวหน้ากิล นี่คือข้อมูลทั้งหมดในปัจจุบันของกิลสภาสิบแปดปีกของเรา …” เหลียง
จิงกล่าวด้วยรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจ ขณะที่เธอส่งข้อมูลล่าสุดทั้งหมดของกิลให้ซือเฟิง
แม้ว่าซือเฟิงจะหายไประยะหนึ่ง และมันก็มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในทวีปด้านตะวันออก ซึ่งมันก็ทำให้สภาสิบแปดปีกของพวกเขาได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน
แต่เนื่องจากเมืองกิลสามเมืองของสภาสิบแปดปีก และป้อมปราการเคลื่อนที่ มันจึงทำให้สภาสิบแปดปีกสามารถจะยันสถานการณ์เอาไว้ได้ และพอหาผลประโยชน์ได้บ้าง …. โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเมืองที่เป็นเมืองหลักอย่างเมืองสภาสิบแปดปีก ซึ่งในสงครามโลกตอนนี้นั้นผู้เล่นทุกคนล้วนต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อจะให้ตัวเองได้เข้ามาหลบที่เมืองนี้ เพราะมันนับเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด
ด้วยเหตุนี้มันจึงมีกิลจำนวนมากที่ถูกกวาดล้าง และทีมนักผจญภัยที่ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากสงครามโลกครั้งนี้มาเข้าร่วมกับสภาสิบแปดปีกเป็นจำนวนมาก และนี่มันก็ทำให้สมาชิกของสภาสิบแปดปีกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากไม่ใช่เพราะข้อจำกัดด้านทรัพยากรของกิลที่มีอยู่ในปัจจุบัน และเงื่อนไขในการจะเข้าร่วมที่โหดมากๆนั้น กิลอาจจะมีผู้เล่นมากกว่าในข้อมูลเหลียงจิงรายงานราวสองเท่าเลย
“ยอดเยี่ยม !!!”
ซือเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากๆ หลังจากได้อ่านข้อมูลที่เหลียงจิงส่งมาให้
ปัจจุบันจำนวนผู้เล่นขั้นสามของกิลมีทะลุแปดแสนคนไปแล้ว ….. ซึ่งในหมู่แปดแสนคนนี้ มากกว่าห้าแสนคนได้ทำงานอยู่ในเมืองสภาสิบแปดปีก ขณะที่ส่วนที่เหลือก็ถูกแบ่งออกไปที่เมืองกิลอีกสองเมืองของสภาสิบแปดปีก และป้อมปราการเคลื่อนที่
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุด ….
จำนวนผู้เล่นขั้นสี่ของกิลตอนนี้คือประเด็นสำคัญที่สุด โดยตอนนี้กิลมีผู้เล่นขั้นสี่ทั้งหมดเจ็ดสิบสามคนแล้ว ซึ่งมากกว่าซุเปอร์กิลทั่วไปอย่างแน่นอน
ในตอนที่ได้อ่านข้อมูลนี้นั้น แม้แต่ตัวซือเฟิงเองก็ยังสงสัยเล็กน้อยว่าเขาได้ยินผิดรึ
ปล่าว
ปัจจุบันซุเปอร์กิลทั่วไปนั้นน่าจะมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่มากกว่ายี่สิบคนเท่านั้น ส่วนพวกซุเปอร์กิลชั้นยอดก็น่าจะมีผู้เล่นขั้นสี่อยู่ราวสามสิบคนหรือมากกว่านั้นนิดหน่อย แต่ตอนนี้สภาสิบแปดปีก …..
นอกจากนี้ตามรายงานของเหลียงจิง ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะยังมีผู้เล่นของสภาสิบแปดปีกอีกมากกว่าสี่สิบคนที่อยู่ในดินแดนมรดกขั้นสี่ และจากการประเมินแล้วนั้น มันก็น่าจะมีมากกว่าครึ่งที่ทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่ได้สำเร็จ ซึ่งมันอาจกล่าวได้เลยว่าอีกไม่นานนั้น สภาสิบแปดปีกก็จะมีผู้เล่นขั้นสี่ทะลุหนึ่งร้อยคนแล้ว
และแน่นอนว่ามันก็จะยังไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วสภาพแวดล้อมในเมืองสภาสิบแปดปีก รวมทั้งแผนที่ที่เมืองสภาสิบแปดปีกตั้งอยู่นั้น มันเอื้อ และช่วยเหลือผู้เล่นขั้นสามในการทำเควสเลื่อนขั้นไปเป็นขั้นสี่อย่างมาก
เหลียงจิงมองไปที่ซือเฟิงที่มีท่าทีประหลาดใจด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เธอจะกล่าวแนะนำว่า “หัวหน้ากิล เนื่องจากการรุกรานจากโลกอื่น ในตอนนี้มันจึงมีองค์กรขนาดใหญ่ต่างๆมากมายถูกกวาดล้าง และถูกทำลายไป ซึ่งนี่มันก็ทำให้มีผู้เล่นขั้นสาม และขั้นสี่ที่ไร้สังกัดเพิ่มขึ้นมาจำนวนมาก จะให้ฉันทยอยดูดซับพวกเขาทั้งหมดเลยไหม ?”
“แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทรัพยากรของกิลเราได้มาถึงคอขวดแล้ว หากเราต้องการจะพัฒนาไปมากกว่านี้เพิ่มเติมในอีกหลายด้าน เราก็จำเป็นจะต้องเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกเพื่อที่จะนำกำไรจากเมืองสภาสิบแปดปีกมาสนับสนุนการพัฒนาทั้งหมดนี้”
ซือเฟิงพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับคำพูดของเหลียงจิง
แม้ว่าสงครามโลกที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหลายด้านของสภาสิบแปดปีก แต่มันก็มาพร้อมกับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของกิลเช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วมันมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ระบบได้ระบุมาอย่างชัดเจนนั่นก็คือ ผู้เล่นที่มาจากโลกอื่นในตอนนี้นั้นจะนับเป็นศัตรูของผู้เล่นในทวีปหลักอย่างสิ้นเชิง ซึ่งนี่มันก็ทำให้ผู้เล่นทั้งสองโลกนั้นไม่สามารถจะเพิ่มเพื่อน หรือส่งข้อความหากันได้เลย และทั้งสองฝ่ายก็จะไม่ต้องเจอกับค่าอาชญากรรม หรือชื่อสีแดงใดๆเมื่อฆ่าอีกฝ่าย ในทางตรงกันข้ามหากฆ่ากันได้นั้น ฝ่ายที่สามารถฆ่าได้นั้นก็จะได้รับทั้ง EXP และไอเทมที่มีค่าจำนวนมากด้วย
แถมระบบยังระบุอีกว่าผู้เล่นของทวีปหลักก็จะไม่สามารถไปเข้าร่วมกับกิลของโลกอื่นได้ และผู้เล่นของกิลจากโลกอื่นก็จะไม่สามารถไปเข้าร่วมกับกิลในทวีปหลักได้เช่นกัน ดังนั้นนี่มันจึงนับเป็นโอกาสอันดีมากๆสำหรับสภาสิบแปดปีกที่จะทำในหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างการดูดซับเหล่าผู้เล่นขั้นสาม และขั้นสี่ที่พึ่งจะกลายเป็นคนไร้สังกัดมาเข้าสู่กิลตัวเอง
“เราจะเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกัน ….” ซือเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่ก่อนหน้านั้นฉันจำเป็นจะต้องทำอะไรบางอย่างก่อน ….”
“หื้ม ?” เหลียงจิงรู้สึกงงงวย
ในปัจจุบันเธอรู้สึกว่าสภาสิบแปดปีกได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว และการพัฒนาของกิลตอนนี้มันก็มาถึงขีดจำกัดแล้ว หากสภาสิบแปดปีกต้องการจะก้าวหน้า และพัฒนาต่อไปจริงๆ กิลก็จะสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกให้สาธารณชนเท่านั้น มันไม่น่าจะมีวิธีอื่นอีก
“ไปเตรียมวัสดุทั้งหมดนี้มาให้ฉัน ฉันต้องการมันตอนนี้ …” ซือเฟิงไม่ได้คิดจะอธิบายเพิ่มเติมใดๆกับท่าทีงงงวยของเหลียงจิง ตรงกันข้ามเขากับหยิบรายการวัสดุที่เขาต้องการออกมา และออกคำสั่งกับเหลียงจิงทันที ….
แน่นอนว่ายังไงซะเขาก็จำเป็นจะต้องเปิดเมืองสภาสิบแปดปีกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามถ้าทำหลังจากที่เขาตั้งค่า และเซ็ทวงเวทย์เทเลพอร์ตข้ามทวีปเรียบร้อยแล้ว มันก็จะดีกว่าแน่นอน ….