Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1017
การวิวัฒนาการของไลต์นิ่งนั้นเป็นที่น่ายินดีเหมือนลูเซียตอนที่บรรลุนิติภาวะ แต่มันกลับสร้างปัญหาให้โรแลนด์นิดหน่อย
“เมื่อคืนในเขตชุมชนมีคนบาดเจ็บเหรอ?”
วันถัดมา หลังฟังบารอฟรายงานแล้ว เขาถึงกับเลิกคิ้วขึ้นมา
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท…” ปลายสายมีเสียงเศร้าสร้อยของอีกฝ่ายดังขึ้นมา “มีคนนึงกำลังไปเข้าห้องน้ำ แต่ดันถูกเสียงระเบิดทำให้ตกใจจนหกล้มไปขาหัก แล้วยังมีอีกสองคนที่กลิ้งตกลงมาจากเตียงจนหัวแตก ตอนเช้ามีชาวบ้านวิ่งหน้าตาตื่นมาที่สำนักงานเมืองกันเต็มไปหมด ทุกคนถามว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ถูกปีศาจหรือสัตว์อสูรโจมตีหรือเปล่า เจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาอยู่นานกว่าจะทำให้พวกเขากลับไปได้ ฝ่าบาท ต่อไปถ้าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น พระองค์ได้โปรดแจ้งกระหม่อมก่อนได้ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ถึงแม้จะเป็นการคุยผ่านโทรศัพท์ แต่เขาก็ยังจินตนาการหน้าตาของอีกฝ่ายตอนนี้ออก
ตัวหัวหน้าสำนักงานเมืองเองก็คงตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เขาคงจะอดนอนจนถึงเช้า
“ตอนนี้ผู้บาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?”
“ถูกส่งไปที่หน่วยพยาบาลหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีอันตรายถึงชีวิต แต่ประชาชนยังคงพูดคุยถึงเรื่องนี้อยู่ ตรงลานเมืองมีคนมายืนเฝ้าอยู่ตรงป้ายประกาศ นี่เป็นเพราะพลังของแม่มดใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ? หากพระองค์ทรงแจ้งกระหม่อมก่อน กระหม่อมคงไม่มีทางรบกวนพระองค์ด้วยเรื่องเล็กๆ แบบนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว แต่เรื่องที่มันเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนตร์มันก็ยากที่จะคาดเดาได้อยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เพราะว่าข้าไม่เชื่อใจเจ้า” โรแลนด์พูดปลอบ “ประกาศไปว่าข้ากำลังวิจัยอาวุธใหม่อยู่ หลังจากนี้อาจจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก ขอทุกคนอย่าได้ตกใจไป ในตอนที่เจอศัตรูโจมตีจริงๆ ให้ถือสัญญาณเตือนภัยเป็นสำคัญ ส่วนคนที่บาดเจ็บก็ให้ทางสำนักงานเมืองเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษา”
“พ่ะย่ะค่ะ….ฝ่าบาท” บารอฟพูดอย่างน้อยใจ
โรแลนด์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจก่อนจะวางสายไป
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่านับวันหัวหน้าสำนักงานเมืองผู้นี้จะขี้อ้อนขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้เขาจะจัดการงานต่างๆ ได้ดีมาก แต่น้ำเสียงที่เหมือนประมาณว่า ‘ฝ่าบาท กระหม่อมทำทุกอย่างเพื่อพระองค์แล้ว พระองค์ทรงอย่ารังแกกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ’ ยังคงทำให้เขารู้สึกขนลุก
กลับกลายเป็นว่าคุยกับไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือแล้วสบายใจมากกว่าอีก
แล้วก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ไหนแล้ว
โรแลนด์เก็บความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะมองไปยังไลต์นิ่งที่ยืนคอตกอยู่หน้าโต๊ะทำงาน เขาทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มพร้อมกับถามขึ้นมาว่า “เมื่อกี้นี้เจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม?”
“เอ่อ…” สาวน้อยทำเสียงเศร้า “ฝ่าบาท หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ ได้โปรดลงโทษให้หม่อมฉันทำแบบฝึกหัดสองชุดด้วยเถอะเพคะ”
โรแลนด์เลื่อนสายตาไปยังเมซี่ที่อยู่บนหัว แต่อีกฝ่ายกลับหลบสายตาทำเหมือนว่าตัวเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ “จิ๊บ..”
ถึงแม้สมาชิกในทีมนักสำรวจจะรักใคร่สนิทสนมกัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแบบฝึกหัด เมซี่เลือกที่จะเงียบไปทันที
ในที่สุดเขาก็หลุดหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ…เอาล่ะ เงยหน้าขึ้นมา นี่ไม่อาจถือเป็นความผิดเจ้าได้ เพราะว่าข้าเป็นคนอนุญาตให้เจ้าบินออกไปเอง ข้าควรจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้ถึงจะถูก”
“จะ จริงเหรอเพคะ?” ไลต์นิ่งเยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมสายตาที่เป็นประกาย
“แน่นอน ก็เจ้าไม่รู้นี่ว่าทำแบบนั้นแล้วมันจะเกิดความเสียหาย อีกทั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้มาก แบบฝึกหัดอะไรนั่นก็ช่างมันเถอะ”
เนื่องจากเส้นทางการบินในตอนนั้นมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาสิ้นวิถี ด้วยเหตุนี้ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเขตชุมชนจึงมีเพียงแค่นิดเดียว นอกจากกระจกของปราสาทกับตึกการทูตที่แตกเสียหายเล็กน้อยแล้ว สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ก็ล้วนแต่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ส่วนในตอนที่บินผ่านเขตเตาหลอม ไลต์นิ่งก็บินขึ้นไปสูงถึงระดับหนึ่ง ผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงมีเพียงแค่นิดเดียว”
“ฝ่าบาท พระองค์ทรง…ใจดีจริงๆ เพคะ!” เธอเหมือนจะกลับมามีชีวิตชีวาในทันที เมซี่เองก็กางปีกออกอย่างดีใจ
เมื่อเห็นเด็กหญิงกับนกเหมือนกำลังจะพุ่งเข้ามา โรแลนด์จึงรีบยกมือขึ้นมาห้ามพวกเธอเอาไว้ทันที “แต่ว่าบินด้วยความเร็วสูงมันเปลืองพลังเวทมนตร์ขนาดนั้นเลยเหรอ? เมื่อวานเจ้ายังบินได้ไม่ถึง 15 นาทีเลยนะ?”
พอพูดถึงเรื่องนี้ ไลต์นิ่งก็ทำหน้าเจื่อนๆ ขึ้นมาทันที “หม่อมฉันเองก็ประหลาดใจอย่างมากเหมือนกันเพคะ ตอนนั้นหม่อมฉันคิดจะเหลือพลังเวทมนตร์เอาไว้ส่วนหนึ่งเพื่อมาทดสอบ แต่พอลองเร่งความเร็วเพื่อดูว่าขีดจำกัดอยู่ตรงไหน พลังเวทมนตร์ก็ถูกใช้ไปอย่างรวดเร็วจนหมด จนหม่อมฉันเกือบจะตกลงมาแหนะเพคะ”
“ยังเร็วกว่านั้นได้อีกเหรอ?” เวนดี้ที่ยืนจดบันทึกอยู่ข้างๆ จับประเด็นสำคัญได้ทันที
“ได้” ไลต์นิ่งพูดอย่างมั่นใจ “ขอเพียงมีพลังเวทมนตร์พอ ตอนนั้นแม้แต่เสียงลมข้างหูยังหายไปเลย หม่อมฉันรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรมาหยุดการพุ่งของหม่อมฉันได้”
“เมซี่ล่ะ? ตอนนั้นนางเกาะอยู่บนหัวเจ้าตลอดเลยเหรอ?”
“จิ๊บ!” ไลต์นิ่งยังไม่ทันตอบ เมซี่ก็หมุนตัวกลับมาแล้ว “เร็วมาก เวียนหัว ในหน้าอกจิ๊บ!”
นี่กำลังบอกว่าเธอบินเร็วเกินไปจนทนไม่ไหว ก็เลยถูกกอดเอาไว้ในหน้าอกเหรอ? โรแลนด์พบว่าตัวเองเริ่มเข้าใจคำพูดของนกพิราบมากขึ้นแล้ว เขาสามารถเติมคำพูดที่หายไปได้โดยอัตโนมัติ
“แค่เวียนหัวเหรอ?” อกาธาที่เป็นผู้รับผิดชอบในการทดสอบแม่มดอีกคนถามขึ้นมา “รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของกระแสอากาศได้หรือเปล่า?”
“เอ่อ…” ไลต์นิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่ “ถึงแม้ตอนนั้นข้าจะใส่แว่นตากันลมเอาไว้ แต่ตอนที่ิบินไปได้ครึ่งทาง จู่ๆ ลมก็เหมือนหายไปยังงั้นแหละ”
“พวกเจ้าคิดว่าไง?” โรแลนด์มองไปทางแม่มดน้ำแข็ง “ความสามารถย่อยแบบนี้ ทางสมาพันธ์เคยบันทึกเอาไว้ไหม?”
ถึงแม้ไลต์นิ่งจะใช้พลังเวทมนตร์ส่วนใหญ่ไปจนหมดโดยไม่คาดฝัน จนทำให้การทดสอบพลังเวทมนตร์ต้องเลื่อนออกไปก่อน แต่ว่าตอนนี้สโมสรแม่มดได้สร้างขั้นตอนการประเมินอย่างเป็นระบบขึ้นมาชุดหนึ่ง บวกกับประสบการณ์ที่ได้รับสืบทอดมาจากสมาพันธ์ ทำให้ถึงแม้จะไม่ได้ใช้พลังออกมา แต่พวกเธอก็ยังทำการวิเคราะห์อย่างคร่าวๆ ออกมาได้จากการสอบถามและการวัดด้วยหินเวทมนตร์
จากคำบอกเล่าของไลต์นิ่ง เธอใช้เวลาเพียงสามนาทีก็สามารถผ่านเทือกเขาสิ้นวิถีเข้าไปยังดินแดนรกร้างได้แล้ว ซึ่งปกติแล้วระยะทางเท่านี้เธอจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง นี่แสดงว่าความสามารถหลังวิวัฒนาการของเธอทำให้เธอบินไล่ตามเสียงได้ เสียงที่เหมือนฟ้าผ่าเมื่อคืนนี้ก็ช่วยย้ำชัดในจุดนี้
โรแลนด์ไม่ได้เสียเวลาอธิบายเรื่องกำแพงเสียงนานเท่าไรนัก ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ของอกาธาที่นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมากในหมู่แม่มด เขาอธิบายเพียงเล็กน้อยเธอก็เข้าใจแล้วว่าเสียงกัมปนาทนั่นมันเกิดมาได้อย่างไร
ถึงแม้จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่หลายชนิดในธรรมชาติที่สามารถทำความเร็วได้ถึงความเร็วเสียงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ มนุษย์ที่มีร่างกายและเลือดเนื้อเองก็เคยเผชิญหน้ากับความท้าทายของความเร็วเสียงเช่นเดียวกัน แต่นั่นมันไม่ได้หมายความว่ามันจะเกิดขึ้นจริงได้ง่ายๆ ให้ได้ชัดว่าการที่ไลต์นิ่งไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากความเร็วเสียงนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับความสามารถย่อยที่เธอตื่นรู้ขึ้นมาใหม่อย่างแน่นอน
“หม่อมฉันคิดว่าน่าจะเป็น ‘การสอดประสานของพลังเวทมนตร์’ เพคะ” อกาธาพูดขึ้นมาหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง “ความสามารถย่อยชนิดนี้จะเกิดขึ้นมาตอนที่ร่างกายอาจจะได้รับความเสียหายจากความสามารถหลัก ด้วยเหตุนี้สมัยสมาพันธ์จึงมีบันทึกถึงพลังย่อยชนิดอยู่ค่อนข้างมาก พลังย่อยที่ว่ามักจะขยายออกมาแล้วห่อหุ้มแม่มดเอาไว้ด้านในเหมือนกับดักแด้ แล้วก็จะรักษาสภาพแวดล้อมภายในดักแด้ให้อยู่ในสภาพปกติ เพียงแต่ว่าการจะรักษาสภาพแบบนั้นจะทำให้สูญเสียพลังเวทมนตร์ไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งถ้าสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกมีความแตกต่างกันมาก การสูญเสียพลังเวทมนตร์ก็จะยิ่งเร็วขึ้น พูดอีกอย่างคือ….”
“ที่ไลต์นิ่งใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมดในระยะเวลาสั้นๆ นั้นไม่ได้เป็นเพราะการบิน หากแต่เป็นเพราะพลังย่อยของนาง?” เวนดี้พูดต่อ
“ถูกต้อง” อกาธาพยักหน้า “ความสามารถย่อยส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาก็เพื่อสนับสนุนความสามารถหลัก เหมือนอย่างหนังสือแห่งเวทมนตร์ของบุ๊คกับการมองโลกเป็นสีสันของลูเซีย ถ้าไม่มีพวกมัน ประสิทธิภาพของพลังหลักก็จะลดลงอย่างมาก จนอาจจะยากที่จะแสดงผลออกมาได้ การสอดประสานของพลังเวทมนตร์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ทางเลือกเดียวของนางคือบินให้น้อยลงดีกว่าปล่อยให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บหนักเพคะ”