Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1018
“แต่ว่าพลังเวทมนตร์ของข้าสามารถเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการฝึกฝนได้ใช่ไหมล่ะ?” ไลต์นิ่งไม่ได้มีสีหน้าเศร้าสร้อยแม้แต่น้อย “แบบนี้ก็ดีเลย สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองได้เรื่อยๆ แค่คิดๆ ก็ตื่นเต้นแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ข้าถือว่าเป็นแม่มดสายต่อสู้ครึ่งหนึ่งแล้วด้วย!”
“ต่อสู้จิ๊บ!” เมซี่ยืดหัวขึ้นมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าดีใจ แต่จำเอาไว้ว่าครั้งหน้าอย่าเร่งความเร็วสุ่มสี่สุ่มห้าตอนอยู่เหนือปราสาทอีกล่ะเข้าใจไหม” เวนดี้กระแอมเล็กน้อย “นอกจากนี้เจ้าต้องเก็บพลังเวทมนตร์หลังจากนี้เอาไว้จนกว่าจะทำการทดสอบเสร็จเรียบร้อย เข้าใจไหม?”
“ข้าเข้าใจแล้วน่าพี่เวนดี้” ไลต์นิ่งแลบลิ้นออกมา
แต่ภายในใจโรแลนด์กลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป จริงอยู่ที่การบินด้วยความเร็วเสียงนั้นสามารถนำเอาความคล่องแคล่วที่สูงมากมาให้กับอีกฝ่ายได้ แต่ทันทีที่ใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมด เธออาจจะตกอยู่ในอันตรายได้ง่าย ยิ่งไปกว่านั้นขนาดตัวของไลต์นิ่งยังเล็กกว่าเครื่องบินมาก ในตอนที่ทะลุกำแพงเสียงไปจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับปีศาจได้มากเท่าไรก็ยังไม่อาจรู้ได้ การจะให้เธอเป็นแม่มดสายต่อสู้ดูจะไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไร
ยิ่งไปกว่านั้นผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่สามารถปั่นป่วนการใช้เวทมนตร์ได้เป็นวงกว้างก็เรียกได้ว่าเป็นดาวพิฆาตสำหรับเธอ
เขาให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่เธอใช้ในการบินด้วยความเร็วที่ต่ำกว่าเสียง สำหรับยุคสมัยนี้ ความเร็ว 800 – 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเรียกได้ว่าเร็วอย่างมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการทำแผนที่หรือว่าสอดแนมก็สามารถช่วยในเรื่องของการสำรวจพื้นที่อับสายตาบนสนามรบที่อยู่นอกเหนือพื้นที่การตรวจสอบของซิลเวียได้ ซึ่งนี่จะเป็นประโยชน์กว่าการไปเป็นแม่มดสายต่อสู้เพียงอย่างเดียว
ในตอนที่ไลต์นิ่งกำลังจะเดินออกไป จู่ๆ โรแลนด์พลันเรียกเธอเอาไว้
“เออใช่ ข้ามีคำถามข้อหนึ่งอยากจะถามเจ้า” เขาคิดคำพูดเล็กน้อย “สมมติว่า…หลังจากนี้อีกสิบปี ในตอนที่บนโลกนี้มันไม่มีอะไรให้สำรวจแล้ว เจ้าจะทำยังไง?”
“ไม่มีอะไร…ให้สำรวจ?” ไลต์นิ่งงุนงง
“อย่างเช่นทุกๆ ทวีปมีคนเข้าไปเหยียบหมดแล้ว ทุกน่านน้ำถูกวาดออกมาเป็นแผนที่อย่างละเอียด เรียกได้ว่าไม่มีที่ไหนที่จะเป็นดินแดนที่ไม่รู้จักอีก ถึงแม้ฟังดูแล้วมันจะไม่น่าเป็นไปได้ แต่สมมติว่าถ้ามันมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เจ้ายังจะอยากเป็นนักสำรวจอยู่หรือเปล่า?”
“อย่างนี้นี่เอง” สาวน้อยเข้าใจทันที “พระองค์ทรงหมายความว่าถ้าเกิดในช่วงที่ทำสงครามแห่งโชคชะตา นักสำรวจจากฟยอร์ดเหล่านั้นสำรวจแผ่นดินและทะเลจนหมดแล้ว หม่อมฉันจะทำยังไงใช่ไหมเพคะ?”
“เอ่อ…จะเข้าใจแบบนั้นก็ได้” โรแลนด์แอบบ่นในใจ เขานึกว่าตัวเองพยายามพูดอ้อมแล้วนะ แต่ก็ยังถูกอีกฝ่ายพูดออกมาตรงๆ ซะได้
“หม่อมฉันคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากพวกเขาจะเก่งเหมือนอย่างพ่อของหม่อมฉันเพคะ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ หม่อมฉันก็ยังจะสำรวจต่อไปเพคะ” ไลต์นิ่งตอบออกมาอย่างไม่ลังเล “เพราะว่ามันยังมีบางทีที่มีแต่หม่อมฉันเท่านั้นที่จะไปได้ ต่อให้เป็นพ่อของหม่อมฉันก็ไม่มีทางทำได้เพคะ”
“เจ้าหมายถึง…”
ไลต์นิ่งชี้ไปบนหัว ก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ “บนท้องฟ้ายังมีที่ว่างอันกว้างใหญ่อยู่เพคะ!”
หลังจากเธอออกไปแล้ว โรแลนด์จึงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
เขาควรจะบอกว่าสมแล้วที่เป็นพ่อลูกกันใช่ไหม? คำตอบอันนี้ไม่เพียงแต่จะมีน้ำเสียงที่เหมือนกับธันเดอร์ แต่ท่าทางของเธอยังดูมั่นใจกว่าธันเดอร์ด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของนักสำรวจนั้นจะเป็นเหมือนอย่างที่ธันเดอร์พูดจริงๆ หรือเปล่า แต่มีจุดหนึ่งที่ธันเดอร์พูดถูก ไลต์นิ่งนั้นมีพรสวรรค์ที่คนทั่วไปยากจะเทียบได้จริงๆ
“พระองค์ทรงยิ้มอะไรเพคะ?” ไนติงเกลถามออกมาอย่างแปลกใจ
เขายืนขึ้นมาแล้วเดินไปที่หน้าต่างพร้อมกับมองดูท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆลอยอยู่เต็มไปหมด สายตาของเขาเหมือนมองทะลุผ่านชั้นเมฆออกไปยังที่ๆ ไกลแสนไกล ถึงแม้มันยังคงเป็นปริศนาอยู่ แต่ก็มีคนที่คอยจ้องมันอยู่แล้ว
“เป็นคนหนุ่มสาวนี่มันช่างดีจริงๆ เลย” เขาทอดถอนใจออกมา
….
หลังจัดการเรื่องไลต์นิ่งเสร็จ โรแลนด์ก็เรียกเวนดี้เข้ามา
“ข้าอยากจะตั้งหน่วยงานในสำนักงานเมืองขึ้นมาใหม่อีกหน่วยงานหนึ่ง” เขาพูดเข้าประเด็น “โดยหน่วยงานนี้นอกจากจะรับผิดชอบเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนอย่างวันนี้แล้ว มันยังจะทำให้ประชาชนมีช่องทางในการสื่อสารที่น่าเชื่อถือด้วย”
“พระองค์ทรงหมายความว่าง…มันใช้สำหรับประกาศข้อมูลข่าวสารหรือเพคะ?” เวนดี้ถาม
“ถูกต้อง หน่วยงานนี้ชื่อว่ากองประชาสัมพันธ์” โรแลนด์พยักหน้า “แต่ว่าวิธีการประกาศข่าวสารของมันจะไม่เหมือนเมื่อก่อน อันดับแรก ถ้าไม่ใช่สถานการณ์เร่งด้วย มันจะไม่ได้ใช้ป้ายประกาศตรงลานเมืองในการประกาศข่าวสารอีกต่อไป อันดับต่อมา เนื้อหาในการประกาศที่หน่วยงานนี้รับผิดชอบจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์เท่านั้น หากแต่รวมไปถึงเรื่องใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองอื่นๆ ด้วย
“ไม่ประกาศตรงลานเมือง แล้วจะทำให้คนอื่นรู้ได้ยังไงล่ะเพคะ?” ไนติงเกลมุ่ยปากขึ้นมา
โรแลนด์หยิบร่างกระดาษที่ไม่ใช่แล้วจากบนโต๊ะทำงานมาแผ่นหนึ่ง ก่อนจะกางออกตรงหน้าทั้งสองคน “ดังนั้นมันจึงต้องใช้วิธีการประชาสัมพันธ์แบบใหม่ นั่นก็คือหนังสือพิมพ์”
ความจริงแล้วการที่เขาตั้งป้ายประกาศตรงลานเมืองพร้อมกับส่งคนไปยืนอธิบายซ้ำแล้วซ้ำแล้วก็เพราะว่าไม่มีทางเลือกอื่น เมื่อก่อนอัตราการรู้หนังสือของผู้คนนั้นต่ำมาก การจะทำให้ประชาชนอ่านออกเขียนนั้นเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน การถ่ายทอดข่าวสารผ่านทางการพูดจึงเป็นวิธีเดียวที่จะประกาศนโยบายต่างๆ ให้ประชาชนรับรู้ได้
แต่เมื่อจำนวนประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งดินแดนก็ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว วิธีการประกาศแบบนี้จึงไม่อาจตามความต้องการที่แท้จริงของประชาชนได้ทัน ในอดีตรวบรวมคน 3,000 คนมาฟังการประกาศก็พอที่จะทำให้ข่าวสารกระจายไปทั่วทั้งเมืองได้แล้ว แต่ตอนนี้ถ้าอยากจะทำแบบนั้น อย่างน้อยๆ ก็ต้องเรียกคนมา 80,000 – 90,000 คน
นี่ไม่เพียงแต่จะเกินไปจากขีดจำกัดของสำนักงานเมืองที่จะรองรับได้ แต่การดึงคนจำนวนมากขนาดนี้เพื่อมาฟังข่าวสารจะทำให้อุตสาหกรรมของเมืองเนเวอร์วินเทอร์เกิดการหยุดชะงักได้
ซึ่งรายงานของบารอฟก็ทำให้เขาคิดถึงคำพูดที่ว่า ‘ถ้าไม่ไปยึดสถานที่ในการกระจายข่าวสาร ศัตรูก็จะมายึดมันไป’ ขึ้นมา ถ้าไม่มีช่องทางการสื่อสารที่น่าเชื่อถือได้ ข่าวลือต่างๆ ก็จะแพร่กระจายไปมาจากร้านเหล้า เมื่อถึงตอนนั้นถ้าอยากจะแก้ข่าวลือก็คงจะทำได้ยากแล้ว
ตอนนี้การศึกษาขั้นพื้นฐานได้ดำเนินการมาเป็นเวลาสองปีครึ่งแล้ว อีกทั้งผลผลิตต่างๆ ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตได้ก็มีจำนวนมากกว่าแต่ก่อน การทำหนังสือพิมพ์จึงกลายเป็นเรื่องที่ตามมาโดยปริยาย
โดยการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นคือฐานในการทำหนังสือพิมพ์ ส่วนเรื่องที่วัตถุดิบต่างๆ ที่มีอยู่อย่างสมบูรณ์นั้นเป็นหลักประกันในการทำหนังสือพิมพ์
สำนักหนังสือพิมพ์ของทางการนั้นต้องการอะไรบ้าง? พยายามแจกจ่ายให้ได้มากที่สุดและการรายงานข่าวที่ทันเวลาที่ทำให้สามารถชี้นำกระแสสังคมได้ ดังนั้นเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะเป็นต้องมีกระดาษจำนวนมากและเทคโนโลยีการพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพสูง
ปัญหาเรื่องกระดาษนั้นจัดการได้ไม่ยาก ในภาคกลางที่การค้าพัฒนาแล้วกับเมืองทางตะวันออก กระดาษได้ถูกใช้อย่างแพร่หลายไปจนถึงชนชั้นกลางเรียบร้อยแล้ว เขาจำได้ว่าพ่อแม่ของลูเซียที่ตายไปแล้วนั้นก็เคยทำโรงงานผลิตกระดาษอยู่ที่เมืองวาเลนเซีย จากสถิติที่สำนักงานเมืองรวบรวมเอาไว้ ในบรรดาชาวบ้านที่อพยพมาจากดินแดนตะวันออกนั้นมีอยู่หลายคนที่เชี่ยวชาญในการทำกระดาษ ขอเพียงรวบรวมช่างเหล่านั้นมา แล้วก็ขยายกำลังการผลิต เขาก็จะมีกระดาษจำนวนมากให้ใช้งาน
สำหรับเมืองเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ปัญหาที่ใช้เงินแก้ไขได้ไม่เรียกว่าเป็นปัญหา
เทคโนโลยีการพิมพ์นั้นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ทั้งแม่พิมพ์โลหะที่เคลื่อนที่ได้กับแกนหมุนก็เป็นเทคโนโลยีที่เขามีอยู่แล้ว น้ำหมึกก็เอามาจากดาร์คคลาวด์ได้ ตามหลักแล้วการพิมพ์สามารถจัดการได้ง่ายกว่าการผลิตกระดาษเสียอีก
เพียงแต่เขาไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องพวกนี้ให้เวนดี้ฟังอย่างละเอียด ถ้าโยนเรื่องเทคโนโลยีทิ้งไป หนังสือพิมพ์นั้นจำเป็นต้องมีคนเขียน ด้วยเหตุนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือคนที่รวบรวมข้อมูลข่าวสารพวกนั้น
ที่เขาเรียกเวนดี้อยู่ก่อนก็เพราะอยากให้เธอช่วยเลือกคนที่เหมาะสมมาซักสองสามคน ไม่ว่าจะเป็นสโมสรแม่มดหรือว่ามนตร์แห่งสลีปปิ้ง เธอก็น่าจะเป็นคนที่เข้าใจเรื่องความสามารถของพี่น้องแม่มดที่สุดแล้ว
“หม่อมฉันเหมือนจะเข้าใจแล้วเพคะ…” หลังฟังโรแลนด์อธิบายเสร็จ เวนดี้ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่ “พระองค์ทรงต้องการให้แม่มดมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ โดยที่นางจะต้องสามารถพบเห็นเรื่องราวได้ในทันที อีกทั้งยังวิ่งได้เร็วกว่าใคร แล้วก็แจ้งข่าวกลับมายังกองประชาสัมพันธ์โดยเร็วที่สุดใช่ไหมเพคะ?”
“แค่กๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งได้เร็วที่สุดก็ได้” เขาเกือบจะสำลักน้ำลาย “ขอเพียงรู้ว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นที่ไหน นางก็จะได้ส่งคนอื่นไปได้”
“อย่างนั้นก็หมายความว่านางจะเป็นศูนย์กลางของกองประชาสัมพันธ์ใช่ไหมเพคะ? อืม…หม่อมฉันเหมือนจะนึกออกแล้วเพคะ” เวนดี้พูดยิ้มๆ “ฝ่าบาทว่า…ฮันนี่เป็นยังไงบ้างเพคะ?”