Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1046
“ปังๆๆๆ”
ฟ้าเพิ่งจะสว่างไม่นาน ด้านนอกบ้านพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
“กู๊ด ตื่นยัง? พวกเราต้องไปแล้วนะ!”
“จะเสร็จแล้ว!”
กู๊ดกินข้าวต้มคำสุดท้ายพร้อมกับเช็ดปาก จากนั้นจึงมองไปทางเด็กผู้หญิงที่กำลังเก็บเตียงอยู่ “อย่างนั้นข้าไปล่ะ”
เด็กผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมา “จะไม่ให้ข้าไปด้วยจริงๆ เหรอ?”
“ข้าเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าเจ้ายังเด็กเกินไป มันไม่มีงานที่เหมาะสำหรับเจ้า” กู๊ดพูดอย่างหงุดหงิด “เงียบเลย ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องที่วูล์ฟฮาร์ทอีก แต่เจ้าคิดว่า…ทำเรื่องแบบนั้นไปตลอดเหรอไง? รอข้าอยู่นี่แหะล เดี๋ยวเที่ยวข้าเอาอะไรอร่อยๆ กลับมาให้กิน”
เด็กหญิงตาเป็นประกาย “ป๊อบคอร์น…”
“แพงเกินไป แพนเค้กไข่ข้าว่าไม่เลวนะ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ชอบกินไข่กรอบๆ ที่ไข่แดงเยิ้มๆ?”
“อึก” สาวน้อยกลืนน้ำลาย
“อย่างนั้นอย่าซี้ซั้ววิ่งไปไหน เข้าใจไหม?” กู๊ดสั่งกำชับรอบสุดท้าย “เออใช่ เจ้าชื่ออะไร?”
“เรเชล”
“แล้วเจ้าควรจะเรียกข้าว่าอะไร?”
เธอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตอบออกมาว่า “พี่…ชาย”
“ดีมาก อย่าเรียกผิดล่ะ” กู๊ดกระชับผ้าพันคอ ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป อากาศอันอบอุ่นถูกลมหนาวพัดกระจายไปทันที ฤดูหนาวกลับมาอยู่ในสภาพที่เขาคุ้นเคยอีกครั้ง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ภาพที่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขาก็ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
บ้านดินแถวแล้วแถวเล่าผุดขึ้นมา ดูแล้วคล้ายกับคลื่นที่ซัดสาดอยู่บนพื้นหิมะ เมื่อมองออกไป ทุกที่ล้วนแต่เต็มไปด้วยผู้คนและปล่องควัน ตัวเมืองที่อยู่ไกลออกไปดูเลือนลางท่ามกลางสายหมอก ราวกับว่ามันยังคงหลับใหลอยู่ในความฝัน แต่ที่ตรงนี้ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำกลับตื่นขึ้นมาแล้ว
คนที่เคาะประตูคือลุงบักกี้และแซงโก้ที่อยู่บ้านข้างๆ พวกเขาซึ่งยืนห่างออกไปอีกสิบกว่าก้าวกำลังยืนเร่งอยู่ “มัวงงอะไรอยู่ รีบตามมาเร็ว!”
“มาแล้ว!” เขาปิดประตู ก่อนจะย่ำตามทั้งสองคนไปบนพื้นหิมะ
เขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวนั้นอยู่ห่างใจกลางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ออกไปประมาณ 2 กิโลเมตร ทั้งสามคนจำเป็นต้องรีบไปให้ถึงลานเมืองก่อนที่ประกาศรับสมัครงานครั้งใหม่จะประกาศออกมา โชคดีริมฝั่งแม่น้ำแดงมีการสร้างถนนหินที่มีความแข็งแรงขึ้นมาใหม่ ต่อให้ถูกหิมะกลบ พวกเขาก็ยังเดินได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องค่อยๆ เดินทีละก้าวเหมือนทางบนเขา ใช้เวลาแค่ประมาณ 15 นาทีพวกเขาก็ไปถึงลานเมืองได้แล้ว
ไม่นาน รอบๆ เขาก็มีเพื่อนร่วมทางเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ขนาดของเขตที่อยู่อาศัยชั่วคราวนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะจินตนาการได้ กู๊ดถึงขนาดมองไม่เห็นว่าปลายแถวอยู่ตรงไหน จากคำบอกเล่าของลุงเพื่อนบ้าน เมื่อก่อนบ้านดินนั้นสร้างอยู่ในเมือง แต่เมื่อคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ บ้านดินพวกนี้จึงถูกย้ายออกไปนอกเมือง เนื่องจากขนาดของมันขยายขึ้นทุกปี ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่ามันมีผู้อพยพอาศัยอยู่จำนวนเท่าไรกันแน่
แต่ว่ามีจุดหนึ่งเขามั่นใจได้ คนที่เดินอยู่บนถนนหินเหล่านี้ส่วนใหญ่ต่างก็กำลังไปหางานใหม่แน่นอน
“พวกเจ้าคิดยังว่าต่อไปจะทำอะไร?” บักกี้ถาม
“น่าจะเป็นงานสบายๆ หน่อย อย่างเช่นกวาดหิมะหรือไม่ก็เอาแซะน้ำแข็งออก…” แซงโก้พูดพร้อมเกาหัว “ใช้เวลาน้อย ได้เงินเร็ว ทำวันเดียวก็พอกินไปสองวัน อย่างน้อยฤดูหนาวนี้ก็ไม่ต้องกลัวอดแล้ว แต่แน่นอนว่าถ้ามีการจ้างงานแบบจำกัดจำนวนที่ดีกว่าข้าก็จะทำอันนั้น”
การจ้างงานแบบจำกัดจำนวนนั้นหมายถึงงานที่มีการจำกัดจำนวนคน เป็นงานพิเศษที่มีเงื่อนไขการรับสมัคร อีกทั้งยังได้ค่าจ้างที่สูงกว่างานทั่วๆ ไปมาก เมืองแห่งนี้มีกฎแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด อย่างนั้นประกาศการจ้างงานทั้งหมดนั้นเกี่ยวข้องกับสำนักบริหารทั้งหมด ไม่มีงานไหนที่เป็นการจ้างส่วนตัว ทุกๆ สัปดาห์เจ้าหน้าที่จะมาทำติดประกาศใหม่ครั้งหนึ่ง รับสมัครทีก็หลายร้อยคน จำนวนการจ้างงานที่เยอะขนาดนี้ กู๊ดก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เพียงแต่ที่นี่นั้นมีเรื่องให้เขาต้องรู้สึกประหลาดใจอยู่เต็มไปหมด เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ แล้ว เรื่องนี้กลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ประกาศรับสมัครงานทั้งหมดนั้นหลักๆ แล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท นอกจากการจ้างงานแบบจำกัดจำนวนแล้ว อีกสองประเภทก็คือการจ้างงานระยะสั้นและการจ้างงานอย่างเป็นทางการ ซึ่งเงินค่าจ้างและชนิดงานของการจ้างงานอย่างเป็นทางการนั้นมีมากกว่าการจ้างงานระยะสั้น แต่เสียดายที่การจ้างงานแบบนี้จำเป็นต้องมีบัตรประชาชนหรือไม่ก็ใบประกาศจบการศึกษาขั้นพื้นฐานถึงจะสามารถสมัครได้ ผู้อพยพอย่างเขาจึงทำได้เพียงงานระยะสั้นเท่านั้น
การตัดสินใจของแซงโก้นั้นถือว่าสมเหตุสมผล งานเบาๆ ถึงแม้จะได้ค่าตอบแทนไม่สูง แต่เขาก็จะมีเวลาและแรงเหลือที่จะไปเรียนในชั้นเรียนขั้นพื้นฐานได้ ถ้าสามารถสอบผ่าน เขาก็จะได้รับฐานะพลเมืองของเมืองนี้อย่างเป็นทางการ
“เจ้าล่ะ?” แซงโก้มองมาทางเขา
“ค่าจ้างสูง” กู๊ดยักไหล่ “เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร”
เพราะว่าเขายังมีอีกหนึ่งคนที่ต้องเลี้ยงดู
ในฐานะที่เป็นผู้อพยพที่เพิ่งมาถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ในฤดูหนาวปีนี้ การที่เขามีบ้านดินให้ได้หลบลมหนาวก็ถือเป็นเรื่องที่โชคดีมากแล้ว ส่วนเรื่องที่จะย้ายเข้าไปในเขตอาศัยที่สวยๆ พวกนั้น ทุกอาทิตย์ได้กินเนื้อแห้งซักมื้อ ตอนนี้เขายังไม่ได้คิดถึงเรื่องพวกนั้นเลย
สิ่งเดียวที่ทำให้กู๊ดรู้สึกเสียดายก็คืองานที่สำนักบริหารประกาศออกมานั้นล้วนแต่กำหนดอายุต่ำสุดเอาไว้ นั่นคือ 16 ปี เรเชลยังต้องรออีก 2 ปีถึงจะทำงานได้ ตอนนี้เธอหลุดพ้นออกมาจากความยากลำบากแล้ว เขาจะไม่ยอมให้เธอกลับไปเป็นแบบนั้นอีกเด็ดขาด
“เจ้าอย่าทำจนเหนื่อยเกินไปล่ะ” บักกี้พูดเตือน “อากาศหนาวๆ แบบนี้ ไปหน่วยพยาบาลทีมันไม่ใช่ถูกๆ นะ”
“วางใจได้ ร่างกายข้าแข็งแรงมาก!” กู๊ดตบหน้าอกตัวเอง เรื่องนี้เขาไม่ได้คุยโว เมื่อก่อนเขาเคยเกือบจะถูกเลือกให้เป็นผู้ติดตามของอัศวินแล้ว หากเป็นเพราะสถานะของเขาต่ำเกินไปล่ะก็…. “ลุง แล้วลุงจะทำอะไร?”
“ข้าไม่เลือกอะไรทั้งนั้น ข้าแค่ไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า”
“หา?” แซงโก้งุนงง
กลับกลายเป็นกู๊ดที่คิดขึ้นมาได้ “หรือว่าท่าน….”
“ฮ่าๆๆ ใช่” บักกี้หัวเราะแห้งๆ ขึ้นมา “หัวหน้าของทีมก่อสร้างที่ 6 อยากจะให้ข้าไปอยู่ในทีมของเขา สัญญาจ้างงานน่าจะส่งมาในวันสองวันนี้แหละ”
“นั่นมัน…ยอดไปเลย!” แซงโก้เพิ่งจะได้สติกลับมา “ถ้าเป็นการจ้างงานแบบประจำล่ะก็ ค่าจ้างก็จะเพิ่มขึ้นไปเกือบเท่านึงเลยใช่ไหม? อย่างนั้นอีกไม่นานท่านก็จะเก็บเงินก้อนแรกสำหรับซื้อบ้านได้ จากนั้นก็ได้บัตรประชาชน แล้วก็กลายเป็นพลเมืองของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จริงๆ แล้วน่ะสิ!”
“จะให้ข้าไปเรียนหนังสืออีก ข้าคงเรียนไม่ไหวแล้วล่ะ” บักกี้โบกมือ “ยิ่งไปกว่านั้นข้ามาที่นี่เกือบสองปีแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะมามองเห็นโอกาส นี่ก็เพราะว่าข้ามันโง่เกินไป พวกเจ้าอายุยังน้อย โอกาสย่อมต้องมีเยอะกว่าข้าแน่”
คนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ได้ยินพวกเขาคุยกันต่างก็พากันเข้ามาแสดงความยินดี บนถนนดูคึกคักขึ้นมาทันที
นี่ทำให้กู๊ดรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
สำหรับเขาแล้ว การที่่ได้บัตรประชาชนมาก็แค่ทำให้หางานที่ดีขึ้นได้เท่านั้น แต่ความคิดของคนพวกนี้เหมือนจะตรงข้ามกับเข้า สำหรับตัวเขา การที่ได้เป็นประชาชนของราชาอาณาจักรไหนๆ มันก็เหมือนกัน แต่เมื่อฟังจากสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นคุยกัน การที่ได้เป็นประชาชนของราชาอาณาจักรนี้เหมือนจะเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจอย่างมาก เผลอๆ อาจจะสำคัญกว่างานด้วยซ้ำ
ทั้งสามคนเดินคุยกันเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงลานเมืองของเมืองเนเวอร์วินเทอร์
ที่นี่มีคนกลุ่มหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว แต่พวกเขาส่วนใหญ่ต่างก็เป็นประชาชนที่อยู่ในเมืองชั้นใน ซึ่งปกติพวกเขาก็ไม่ต้องมาแข่งกับพวกผู้อพยพที่อยู่ในเขตอาศัยชั่วคราว
ประกาศการจ้างงานใหม่แปะอยู่ตรงทิศใต้ของลานเมือง แล้วก็มักจะมีคนเดินเข้ามาถามพวกกู๊ดว่า “อยากให้อ่านให้ฟังไหม? แค่ 10 เหรียญทองแดงเท่านั้น”
“ไม่เป็นไร พวกเราอ่านออก” บักกี้เองก็ยิ้มๆ แล้วตอบกลับไป แต่ความจริงแล้วในพวกเขาสามคน มีแค่แซงโก้คนเดียวทั้งหมดที่รู้หนังสือ แถมยังรู้ไม่หมดด้วย
“เจ้าเด็กพวกนี้นี่….มีความสามารถแบบนี้ทำไมถึงไม่ไปหางานจริงๆ ทำ” กู๊ดบ่นเบาๆ “ค่าจ้างก็ได้เยอะกว่าเงินไม่กี่เหรียญทองแดงนี่ตั้งเยอะ”
“พวกเขาเป็นนักเรียนในโรงเรียนล่ะมั้ง อายุน่าจะไม่ถึงเกณฑ์ที่จะทำงานได้” แซงโก้มองดูรอบๆ
“อะไรนะ?”
“อืม…ข้าได้ยินมาตอนที่เข้างานกะกลางคืนน่ะ” เขาพูดเสียงเบาๆ “เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำคัญของความรู้ พวกคุณครูมักจะบอกให้พวกเขาเอาสิ่งที่เรียนมาไปหาเงิน เหมือนวิธีนี้จะทำให้นักเรียนไปโรงเรียนกันเยอะขึ้นด้วย ถ้าไม่เป็นเพราะกลางวันต้องทำงาน ข้าเองก็อยากไปลองบ้างเหมือนกัน”
เอ่อ…แบบนี้ก็ได้เหรอ? กู๊ดมองดูคนที่รับจ้างอ่านแทนที่วิ่งไปวิ่งมาพวกนั้นอีกครั้ง คนพวกนั้นส่วนใหญ่ยังเป็นเด็กจริงๆ ถ้าเขาจำไม่ผิดล่ะก็ เรเชลเองก็อ่านหนังสือออกบ้างเหมือนกัน บางทีอาจจะให้นางมาทำงานแบบนี้ดูก็ได้?
“เฮ้ย พวกเจ้าดูนั่น!” จู่ๆ บักกี้ก็ชี้ไปยังมุมหนึ่งทางทิศใต้ของลานเมือง “คนแห่กันเข้าไปแล้ว!”
กู๊ดกับแซงโก้สบตากัน “หรือว่า….ประกาศจ้างงานแบบจำกัดจำนวน?”
“เร็ว พวกเราไปดูเร็ว!”
ทั้งสามคนรีบวิ่งเข้าไปตรงกลุ่มคนทันที สิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงก็คือตรงนี้นอกจากจะมีเต็นท์หลังหนึ่งมาตั้งอยู่แล้ว ทางสำนักบริหารยังจัดเจ้าหน้าที่มาคอยพูดอธิบายด้วย
เมื่อฟังคำอธิบายจบ กู๊ดก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
ที่นี่มีการเปิดรับสมัครงานแบบจำกัดจำนวนจริงๆ ด้วย แถมเงื่อนไขในการสมัครยังค่อนข้างน้อยด้วย ไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีบัตรชระชาชน สิ่งเดียวที่ต้องการก็คือร่างกายที่แข็งแรงและผ่านการทดสอบที่เกี่ยวข้อง ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าการทดสอบแปลกๆ พวกนั้นมันหมายความว่าอย่างไร แต่ขอเพียงเป็นการวัดกันในเรื่องของร่างกายแล้วล่ะก็ เขาก็ค่อนข้างมั่นใจในตัวเองอย่างมาก
สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมากที่สุดก็คือนี่เป็นประกาศรับสมัครงานที่มาจากกองทัพ!