Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1047
ในกลุ่มคนมีเสียงพูดคุยดังขึ้นมา
ปกติกองทัพนั้นจะเกณฑ์แต่เฉพาะคนที่เป็นพลเมืองอย่างเป็นทางการเท่านั้น แถมเงื่อนไขในการคัดเลือกก็เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ การประกาศรับสมัครทุกคนครั้งสุดท้ายนั้นคือตอนที่ีมีการทำสงครามแย่งชิงราชบัลลังก์กัน ทำไมจู่ๆ วันนี้ก็มาเปิดรับสมัครอย่างนี้ได้?
ถึงแม้จะเป็นกู๊ดที่เพิ่งจะอพยพเข้ามาใหม่ก็เคยได้ยินลุงบักกี้เล่าให้ฟังว่ากองทัพนั้นดูแลทหารดีขนาดไหน
ขอเพียงได้เข้าไปอยู่ในกองทัพที่หนึ่ง ก็เท่ากับว่าชีวิตนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ทั้งอาหารทั้งเสื้อผ้าล้วนไม่มีทางขาดแคลน แม้จะตายไปแล้วก็ยังมีบำเหน็จมอบให้กับครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่พวกเขากินก็ไม่ใช่แค่แผ่นแป้งข้าวสาลี แต่ยังมีพวกปลาแห้ง เนื้อแห้งกับเนยอีก แถมยังไม่จำกัดจำนวนด้วย! นอกจากเรื่องที่อาจจะต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงแล้ว งานนี้ก็แทบจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่สมบูรณ์แบบ
ไม่สิ นี่แหละคืองานที่สมบูรณ์แบบ
ถ้าสิ่งที่ได้รับกลับมามีมากขนาดนี้ ชีวิตจะมีค่าเท่าไรล่ะ?
กู๊ดระหกระเหินอพยพมาจากวูล์ฟฮาร์ทมายังเกรย์คาสเซิล เขาได้เห็นความทุกข์ยากมามากมาย คนกลุ่มแล้วกลุ่มแล้วต้องล้มตายลงไประหว่างทาง นกกาพากันลงมาเริงระบำฉลองอยู่บนซากศพของพวกเขา…บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้มีค่ามากกว่าต้นหญ้าข้างทางเท่าไรเลย
ยิ่งไปกว่านั้นศาสนจักรที่ถล่มอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทไปกว่าครึ่งก็ยังพ่ายแพ้ให้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิล หากได้เข้าไปอยู่ในกองทัพที่แข็งแกร่งนี้ เผลอๆ อาจจะปลอดภัยกว่าการเป็นผู้ติดตามอัศวินเสียอีก
การได้เข้าไปอยู่ในกองทัพที่สองก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงแม้สวัสดิการที่ได้รับจะด้อยลงมาหน่อย แล้วก็อาจจะถูกส่งไปยังเมืองอื่นๆ แต่เรื่องความปลอดภัยนั้นเรียกได้ว่ามีมากกว่ากองทัพที่หนึ่ง เขาแทบจะไม่ได้ยินข่าวความเสียหายของกองทัพที่สองเลย
พูดอีกอย่างคือถ้าถูกเลือกเข้าไปอยู่ในกองทัพ ไม่ว่าจะถูกจัดให้ไปอยู่กลุ่มไหนก็ล้วนแต่เรียกได้ว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาที่มาจากอาณาจักรอื่นแล้ว
กู๊ดกับแซงโก้พากันตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขามองไปทางบักกี้พร้อมกัน “ลุง!”
อีกฝ่ายดูลังเลอย่างเห็นได้ชัด หลังครุ่นคิดอยู่ครู่ สุดท้ายบักกี้ก็ยิ้มแห้งๆ ขึ้นมา “ข้าไม่ไปดีกว่า…หัวหน้าพยายามอย่างมากเพื่อที่จะจ้างข้า ข้าไม่อาจทำลายน้ำใจของเขาได้”
“ตอนนี้แค่ลงชื่อเท่านั้น จะผ่านหรือเปล่าก็ยังไม่รู้” แซงโก้พูดโน้มน้าว “ท่านรอผลออกมาก่อนค่อยตัดสินใจก็ได้นี่นา”
“ถึงตอนนั้นข้ากลัวว่าตัวเองจะหักใจไม่ได้น่ะสิ” บักกี้ส่ายหัว “พวกเจ้าไปเถอะ ข้าจะรอฟังข่าวดีของพวกเจ้าอยู่ตรงลานเมือง”
แซงโก้เหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่กู๊ดกลับมาดึงแขนของเขาไว้ “ไปต่อแถวกันเถอะ”
เขามองกลับไปกลับมา สุดท้ายจึงพยักหน้าออกมา “อย่างนั้นพวกข้าไปสมัครก่อนนะ”
เนื่องจากในบรรดาผู้สมัครมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้หนังสือ พื้นที่ตรงนั้นจึงค่อนข้างวุ่นวายนิดหน่อย หลังลงชื่อเสร็จ เขาก็ถูกเจ้าหน้าที่ชุดดำพาไปยังอีกฝั่งหนึ่ง ขณะเดียวกันชาวเมืองที่ทราบข่าวก็แห่กันสมัครกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนเจ้าหน้าที่ที่มาอธิบายต้องทำการปิดทางเข้ารับสมัคร อีกทั้งประกาศว่าพรุ่งนี้จะมาทำการรับสมัครต่อ แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ยังไม่ไปไหน หลายๆ คนยังคงปักหลักอยู่แถวๆ เต็นท์ เหมือนพวกเขาอยากจะดูว่าจะทำการทดสอบอย่างไร
นี่ทำให้กู๊ดรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างมากที่วันนี้มาเร็ว
ส่วนคนที่ลงชื่อเสร็จเรียบร้อยก็ถูกเจ้าหน้าที่พาเข้าไปในเต็นท์
เขาสังเกตเห็นว่าเต็นท์นั้นกว้างเกือบ 100 ก้าว ซึ่งกว้างพอที่จะรองรับผู้ที่ลงชื่อทั้งหมดได้ แต่คนที่เข้าไปครั้งหนึ่งกลับมีจำนวนไม่เกิน 10 คน นี่หมายความว่าการทดสอบคนจะซับซ้อนและยากลำบากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิด หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงร้อนโหยหวนดังออกมาจากในเต็นท์ นี่ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่นอกเต็นท์สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“นี่มัน…” แซงโก้หดคอลง “นี่คงไม่ใช้มาทดสอบว่าพวกเราทนโดนตีได้นานแค่ไหนหรอกนะ?”
“ถ้าทดสอบโดนตีจริงๆ เสียงร้องก็น่าจะดังออกมาเป็นช่วงๆ” กู๊ดพูดเสียงคร่ำเคร่ง “เสียงร้องดังต่อเนื่องแบบนี้ เหมือนพวกเขาตกใจกลัวมากกว่า”
“จะ จริงเหรอ? ทำไมเจ้าถึงรู้ละเอียดจัง…”
เพราะว่าข้าต่อยคนอื่นกับโดนคนอื่นต่อยประจำน่ะสิ เขาพูดออกมาเบาๆ ว่า “ข้าเองก็ได้ยินคนอื่นว่ามาเหมือนกัน”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ภายในเต็นท์ก็มีเสียงอาเจียนดังออกมา
ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีทันที
“นี่มันทดสอบอะไรกันแน่เนี่ย?”
“เอ่อ…” กู๊ดพูดไม่ออก ใครมันจะไปรู้ล่ะเนี่ย!
ในตอนที่ผู้สมัครกลุ่มแรกถูกพาออกมา หัวใจของกู๊ดพลันเต้นขึ้นมาทันที คนสิบคนเหลืออยู่ในเต็นท์แค่เพียงคนเดียว นั้นก็หมายความว่าโอกาสในการถูกคัดออกนั้นสูงถึง 90%? ยิ่งไปกว่านั้นขาของพวกเขาทำไมถึงดูอ่อนแรงขนาดนั้น? เหมือนกับยืนไม่ค่อยจะไหวอย่างไรอย่างนั้น อย่างน้อยเมื่อดูจากร่างกายแล้ว คนเหล่านี้ก็น่าจะแข็งแรงอย่างมากเลยนี่นา
แต่เขาไม่มีเวลาจะไปนั่งคิดอะไรแล้ว
ทหารเรียกชื่อเขา “กู๊ด!”
“ขอรับ!” กู๊ดกำหมัดแล้วก้าวอาดๆ เข้าไปในเต็นท์
พื้นที่ด้านในนั้นไม่กว้างเท่าไร เหมือนจะมีการใช้ผ้ามาแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ ผู้เข้าสมัครแต่ละกลุ่มจะไปนั่งอยู่ตรงหน้าผู้ชายที่ใส่เครื่องแบบทหารคนหนึ่งตามลำดับ เพียงแต่ม้านั่งนี้ดูค่อนข้างแปลกไปหน่อย มันจำเป็นต้องเขย่งปลายเท้าเอาไว้ถึงจะนั่งลงได้ แถมตัวม้านั่งยังโคลงเคลงอย่างมากด้วย เรียกว่าเหมือนจงใจเอามาแกล้งคนชัดๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจก็คือแซงโก้ก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย
“ข้าคือผู้รับผิดชอบคุมการทดสอบในส่วนนี้” ชายในชุดทหารพูดขึ้นมา “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ชื่อของข้า เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะตกการทดสอบอย่างรวดเร็ว แต่ถึงแม้จะผ่านการทดสอบหมด มันก็เป็นเพิ่งจะเป็นแค่เพียงก้าวแรกเท่านั้น ถ้าอยากจะเข้าไปอยู่ในกองทัพ พวกเจ้ายังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมาก!”
อย่างนั้นนี่คือการทดสอบเข้ากองทัพที่สองเหรอ…หรือว่าเป็นกองทัพที่ใหม่กว่ากองทัพที่สอง? กู๊ดคิดในใจ แต่ไม่ว่ามันจะคืออะไร ขอเพียงค่าจ้างสามารถทำให้เขากับเรเชลได้อยู่อย่างสุขสบาย เขาก็พร้อมจะลองดูทั้งนั้น
“ตอนนี้ข้าจะแจ้งกฎในการทดสอบ” อีกฝ่ายพูดขึ้นมา “ทุกคนต้องเอาเท้าทั้งสองข้างขึ้นไปวางไว้บนที่นั่ง และนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลา 5 นาที ไม่ว่าพวกเจ้าเห็นอะไร ก็ห้ามตกลงมาจากม้านั่งเด็ดขาด ถ้าเท้าทั้งสองข้างลงมาแตะพื้นก็ถือว่าตกการทดสอบเหมือนกัน เอาล่ะ เริ่มการทดสอบได้”
ทุกคนต่างสบตากัน “ง่ายๆ แค่นี้เหรอ?”
นายทหารหัวเราะหึหึออกมา เขาเดินไปดึงผ้าที่อยู่รอบๆ ขึ้นโดยไม่ตอบอะไร
จากนั้นลำแสงสีขาวแปลกประหลาดก็กลืนกินกู๊ดไปทันที
ในขณะที่เขารู้ตัวขึ้นมาอีกที เขาก็พบว่าตัวเองนั้นกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าที่สูงเหนือพื้นดินหลายสิบกิโลเมตร!
“อ๊ากกก……..อ๊ากกกกกกกกก……..!”
ข้างหูเขามีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นกระแทกพื้นดังตุ้บด้วย นี่ทำให้เกิดความแตกตื่นขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว แม้แต่ตัวเขาก็ยังอยากจะยกเท้าขึ้นมาตะเกียกตะกายเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องร่วงตกลงไปจนกระดูกแหลกละเอียด แต่ความรู้สึกโยกเยกเล็กน้อยที่อยู่ด้านล่างร่างกายทำให้เขานึกขึ้นมาได้ทันที
เขายังนั่งอยู่บนม้านั่ง!
แต่ความน่ากลัวมันยังไม่จบลงเพียงเท่านี้
หลังลอยอยู่บนฟ้าได้ไม่นาน ชั้นเมฆก็เริ่มลอยขึ้นไปข้างบน นี่หมายความว่าเขากำลังตกลงไปด้านล่าง ความรู้สึกที่ร่วงตกลงไปข้างล่างด้วยความเร็วสูงนี้แทบจะไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ กู๊ดรู้สึกเหมือนหัวใจกำลังจะกระเด็นหลุดออกมา! ในหัวเขากำลังส่งเสียงเตือนถึงความอันตรายขั้นสูงสุด แต่สัมปชัญญะกลับบอกเขาว่าก้นของเขายังคงนั่งอยู่บนม้านั่ง! ภายใต้ความคิดที่ขัดแย้งสองอันนี้ สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขาก็คือใบหน้าของเรเชล….
….
หลังแสงสีขาวหายไป ภาพภายในเต็นท์ก็กลับมาสู่สายตาเขาอีกครั้ง
“ดีมาก” นายทหารปรบมือ “พวกเจ้าผ่านการทดสอบแรกแล้ว แถมคะแนนก็ดีกว่ากลุ่มที่แล้วไม่น้อยทีเดียว แต่ว่าหลังจากนี้ยังมีการทดสอบอีกหลายอย่าง หวังว่าพวกเจ้าจะอดทนจนถึงที่สุดได้นะ”
นี่เพิ่งจะ…อันแรกอย่างนั้นเหรอ?
กู๊ดกลืนน้ำลาย เขาพบว่าสองมือของตัวเองสั่นขึ้นมาอย่างรุนแรง แผ่นหลังเองก็รู้สึกเย็นเหมือนพึ่งปีนขึ้นมาจากน้ำอย่างไรอย่างนั้น
บ้าเอ้ย!
การตกลงมาจากบนท้องฟ้านั้นไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการทดสอบ หลังจากนั้นภาพที่อยู่ตรงหน้าเขาก็พุ่งขึ้นพุ่งลงอยู่อีกหลายครั้ง แถมยังบินเลียดไปตามหน้าผาเหมือนพร้อมจะชนหน้าผาได้ทุกเมื่อ!
ง่ายเหรอ? เขาอดนึกถึงรอยยิ้มที่อีกฝ่ายยิ้มออกมาก่อนหน้านี้ไม่ได้…ไม่ ที่ตอนนี้เขายังนั่งอยู่บนม้านั่งได้ก็นับว่าพระเจ้าคุ้มครองเขาแล้ว!
กู๊ดหันหน้าไปมองข้างๆ เขาเห็นบนที่นั่งทั้งสิบที่ว่างลงกว่าครึ่ง ส่วนแซงโก้ก็หายไปไหนไม่รู้