Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1048
เขาตกใจจนตกลงไปบนพื้นหรือว่าถูกคนชนจนตกลงมา
ถ้าหากแยกแยะทิศทางไม่ถูก มันก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ลนลานจนชนคนอื่นตกลงมาจากม้านั่งได้ เพราะว่าที่นั่งของทุกคนไม่ได้กระจายกันออกไป การนั่งให้ถึงตอนสุดท้ายนั้นต้องอาศัยโชคช่วยนิดหน่อย
กู๊ดบอกไม่ถูกว่าตัวเองควรจะรู้สึกดีใจหรือว่าเสียใจดี จริงอยู่ที่ยิ่งมีคู่แข่งน้อย เขาก็จะยิ่งมีโอกาสมาก แต่ในการทดสอบตอนสุดท้ายเขาก็ได้แต่ต้องลุยต่อไปคนเดียว นายทหารพาคนที่ผ่านการทดสอบเข้าไปในอีกพื้นที่หนึ่งโดยไม่ปล่อยให้เขาได้มีเวลาคิด
พื้นที่ทดสอบรอบที่สองไม่ได้ใหญ่ไปกว่าตอนแรกเท่าไร ตรงกลางยังคงมีเก้าอี้วางอยู่ 10 ตัว แต่ลักษณะการวางเก้าอี้ครั้งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
พวกมันถูกตั้งเป็นวงกลม โดยตัวเก้าอี้นั้นถูกยึดเอาไว้บนเหล็กวงกลม ด้านล่างเหล็กวงกลมมีขาตั้งอยู่ เหมือนว่ามันจะสามารถหมุนได้
“นั่งลงไปตามลำดับ” ผู้คุมการทดสอบพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ “กฎในการทดสอบรอบที่สองยังคงเหมือนกับรอบแรก นั่นคือนั่งอยู่บนเก้าอี้ ห้ามตกลงมาข้างล่าง”
ครั้งนี้ไม่มีใครกล้าพูดว่าง่ายอีกแล้ว
ทุกคนปีนขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ตามเลขที่ของตัวเองอย่างระมัดระวัง
ทันทีที่ผู้คุมสั่งเริ่มการทดสอบ นายทหารสองคนที่ตอนแรกยืนเฝ้าอยู่ก็เดินเข้ามาผู้เข้าสอบ ก่อนจะจับแท่งเหล็กที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้แล้วเริ่มผลักมัน เรื่องราวเป็นไปอย่างที่กู๊ดคิดเอาไว้ เจ้าเก้าอี้เริ่มหมุนขึ้นมาอย่างช้าๆ!
ตอนแรกทุกคนก็ยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกไม่ค่อยสบายก็เริ่มทะลักขึ้นมา
แต่ทหารก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดมือ พวกเขากลับหมุนเร็วขึ้นทันทีที่ได้รับคำสั่ง ภายในเต็นท์มีเสียงของเก้าอี้ที่กำลังหมุนด้วยความเร็วสูงดังขึ้นมา ภาพตรงหน้ากู๊ดเริ่มเลือนราง
โลกหมุน!
นี่คือความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่หลงเหลืออยู่ในหัวเขาตอนนี้
ผลกระทบจากการทดสอบแรกยังไม่ทันหายไป ในเวลานี้ความรู้สึกวิงเวียนอย่างรุนแรงก็มาทำให้เขาท้องไส้ปั่นป่วน น้ำย่อยเกือบจะทะลักออกมาจากคอของเขา!
นี่มันทดสอบอะไรกัน? กองทัพต้องการจะเกณฑ์สัตว์ประหลาดเหรอไง?
เขากัดฟันพยายามจะมองไปยังทหารที่หมุนเก้าอี้อยู่ แต่เขากลับเห็นว่าทหารทั้งสองคนจงใจมองขึ้นไปบนเพดานของเต็นท์ โดยพยายามที่จะไม่มองดูตัวเก้าอี้ตรงๆ พวกเขาใช้แค่สองมือหมุนเก้าอี้ไปเรื่อยๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการหมุนนี้
นี่….นี่มันไม่ยุติธรรม!
เขาตะโกนออกมาในใจ ยิ่งไปกว่านั้นผู้คุมสอบก็แค่บอกว่าให้นั่งบนเก้าอี้ไปจนจบ แต่เขาไม่ได้บอกว่านานเท่าไร ถ้าเกิดต้องหมุนอยู่อย่างนี้ชั่วโมงนึง เขาคงเวียนหัวตายอยู่บนเก้าอี้แน่!
การเพ่งยิ่งทำให้เวียนหัวหนักขึ้นกว่าเดิม กู๊ดไม่อาจสะกดน้ำย่อยที่พุ่งขึ้นมาจากในท้องได้แล้ว น้ำย่อยพุ่งออกมาจากปากของเขา
“พรืด……!”
กลิ่นเปรี้ยวพุ่งขึ้นไปในรูจมูกของเขาทันที
และการอ้วกออกมาของเขาครั้งนี้ก็เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยาลูกโซ่ คนอื่นๆ ต่างก็อ้วกออกมาตามๆ กัน ภายในเต็นท์เต็มไปด้วยกลิ่นสะอิดสะเอียนทันที พวกเศษน้ำย่อยเศษอาหารกระเด็นมาติดบนหน้าเขา
“ข้า ข้าไม่ไหวแล้ว!”
“หยุด…หยุดก่อน! อ็อก…ข้าไม่ไหวแล้ว!”
ในที่สุดกู๊ดก็รู้แล้วว่าทำไมด้านนอกเต็นท์ถึงได้ยินเสียงคนอาเจียน
นี่มันเอาคนมาทรมานชัดๆ ที่สำคัญกว่านั้นก็คือจุดประสงค์ของการทดสอบนี้มันคืออะไร? นี่เป็นการสมัครเขากองทัพจริงๆ งั้นเหรอ หรือแค่จับพวกเขามาแกล้งเล่นๆ?
ทุกๆ การหายใจเป็นไปอย่างยากลำบาก เขารู้สึกว่าตัวเองพร้อมจะยอมแม้ได้ทุกเมื่อ แต่จนกระทั่งเก้าอี้หยุดหมุนลง เขาก็ไม่ได้ปล่อยมือตัวเองออกมาจากพนักพิงเก้าอี้
ผู้ที่ผ่านการทดสอบเหลือแค่ 3 คน
บนใบหน้าทหารมีสีหน้าชื่นชมออกมา “ทำได้ดีมาก พวกเจ้าเข้าใกล้การผ่านเกณฑ์เข้าไปอีกก้าวแล้ว! พักผ่อน 5 นาที หลังการทดสอบรอบที่สามเริ่มขึ้น ความยากจะค่อยๆ ลดลง ขอเพียงพวกเจ้าตั้งใจก็จะสามารถผ่านได้”
แต่ว่าตอนนี้ไม่มีใครที่จะเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายอีก ทุกคนต่างมีทีท่าระมัดระวัง หลังใช้แขนเสื้อเช็ดใบหน้าแล้ว พวกเขาก็เดินเข้าไปยังพื้นที่อีกส่วนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เพียงแต่ครั้งนี้ กู๊ดพบว่านายทหารไม่ได้พูดโกหก
การทดสอบในรายการที่สามนั้นคือการมุดผ่านเข้าไปในอุโมงค์วงกลม โดยพวกเขาแค่ต้องใช้มือและเท้าในการกลิ้งตัวเองจากปลายด้านหนึ่งไปยังปลายอีกด้านหนึ่งของอุโมงค์เท่านั้น
ไม่มีใครตกการทดสอบ
การทดสอบรายการที่สี่นั้นก็คือการพลิกดูภาพแปลกๆ บนภาพนั้นมีสีที่คล้ายๆ กันระบายอยู่เต็มไปหมด พวกเขาต้องบอกให้ได้ว่ามีสัตว์อะไรแอบอยู่ในภาพเหล่านั้น
ทุกคนผ่านหมดเหมือนเดิม
แต่ความสงสัยภายในใจกู๊ดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น
การทดสอบรายการที่ห้านั้นคือการถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมดเพื่อตรวจร่างกาย การทดสอบรายการที่หกคือให้ชี้ทิศทางของลูกธนูในกระจกเงา
ถึงแม้แต่ละคนจะตอบไม่เหมือนกัน แต่ทุกคนก็ยังผ่านหมด
ในขณะที่เขากำลังรอการทดสอบรายการต่อไป นายทหารกลับพาทั้งสามคนออกมาจากเต็นท์ ในเวลากู๊ดถึงได้พบว่าตรงประตูหลังของเต็นท์ใหญ่ยังมีเต็นท์เล็กอยู่อีกหลังหนึ่ง เจ้าหน้าที่ชุดดำปิดล้อมพื้นที่นี้เอาไว้อย่างแน่นหนา เหมือนว่าด้านในนั้นมีบุคคลสำคัญอยู่
“นายท่าน นี่พวกเรา…” มีคนอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
นายทหารคนนั้นยิ้มมุมปากขึ้นมา “ลืมแสดงความยินดีกับพวกเจ้าไปเลย การทดสอบจบสิ้นลงแล้ว พวกเจ้าผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว ตอนนี้รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวจะมีคนมารับพวกเจ้าไป”
“นี่เป็นแค่การทดสอบรอบแรกเหรอขอรับ? แล้วเรื่องสวัสดิการที่บอกเอาไว้บนป้ายประกาศ…” กู๊ดยังไม่ทันถามจบก็ต้องหุบปากลงทันที จบแล้ว กองทัพคงไม่ต้องการคนที่ต้องการแต่เงินแน่ เหมือนกับอัศวินที่พูดถึงแต่เรื่องเกียรติยศ การที่เขารีบพูดออกมาแบบนี้ ในสายตาของอีกฝ่ายคงมองว่าเขาเป็นไอพวกโลภมากแน่
แต่นายทหารคนนั้นก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด หากแต่มองเขาอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “เจ้าต้องการเงินมากเหรอ?”
“ข้า…”
“ไม่เป็นไร เพราะเรื่องที่กองทัพที่หนึ่งได้สวัสดิการสูงนั้นเป็นเรื่องที่รู้กันไปทั่วเนเวอร์วินเทอร์ ความจริงตอนแรกข้าก็มาเข้ากองทัพเพราะเหตุผลนี้เหมือนกัน” อีกฝ่ายยักไหล่ “คำตอบคือถูกต้อง เงินสนับสนุนการศึกษา เงินสมทบค่าครองชีพ แล้วก็มีเงินเดือนที่เขียนเอาไว้บนประกาศจะทำการจ่ายตามที่ได้เขียนเอาไว้ การคัดเลือกหลังจากนี้จะเป็นตัวกำหนดว่าพวกเจ้าจะได้เดินไปทางไหน ไม่ใช่ว่าทางกองทัพจะใช้มันมาเป็นข้ออ้างให้การหักเงินเดือนของเจ้า ก็เหมือนกับที่ข้าได้บอกเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าอยากจะกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกองทัพจริงๆ พวกเจ้ายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้
กู๊ดรู้สึกเหมือนถูกความโชคดีมาโอบล้อมเอาไว้ทันที เขา…ถูกเลือกแล้วงั้นเหรอ? เงินเดือนที่มากกว่าลุงบักกี้ เงินสมทบค่าครองชีพที่พอจะเลี้ยงดูตัวเขาและเรเชลจะกลายเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ? พริบตานั้น กู๊ดพลันรู้สึกว่าความยากลำบากที่เจอมาในเต็นท์นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย เมื่อนึกย้อนไปแล้วมันกลับทำให้เขามีความสุขนิดหน่อยด้วยซ้ำ
“ขะ ขอบคุณมากขอรับนายท่าน!” เขารับคำนับอย่างตื่นเต้น “ข้าจะพยายามเข้ากองทัพที่หนึ่งให้ได้ขอรับ!”
อีกสองคนที่เหลือก็มีสีหน้าตื่นเต้นเช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็โค้งตัวเลียนแบบกู๊ด
“แต่ว่าข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกพวกเจ้า จริงอยู่ที่หลายๆ คนนั้นเข้ามาในกองทัพเพราะหวังจะได้รับสวัสดิการเหล่านี้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ในกองทัพจริงๆ นั้นกลับไม่ใช่เงินเดือน” นายทหารยิ้มๆ ขึ้นมาอย่างไม่ถือสา “ที่นี่มีอะไรหลายอย่างที่คุ้มค่าให้วิ่งไล่ตาม เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะรู้เองว่าความคิดในตอนแรกของพวกเจ้านั้นมันไม่มีค่าให้พูดถึงเลย” เขาชะงักไปเล็กน้อย เหมือนกำลังนึกถึงเรื่องอะไรที่ควรค่าให้นึกถึงอยู่ “เอาล่ะ ด้านหลังยังมีหลายคนกำลังรอทดสอบอยู่ ไว้มีโอกาสค่อยคุยกันใหม่”
ที่แท้อีกฝ่ายนั้นไม่ใช่คนที่เย็นชาอย่างที่คิด
กู๊ดรู้สึกตื้นตันใจขึ้นมา “นายท่าน ในเมื่อพวกเราผ่านการทดสอบแล้ว ตอนนี้ท่านบอกชื่อของท่านให้พวกเรารู้ได้หรือยังขอรับ?”
“ข้าชื่อแวนนา”
นายทหารพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในเต็นท์ใหญ่
…..
หลังจากนั้นผู้ผ่านการทดสอบก็ทยอยกันเดินออกมาจากประตูด้านหลังเต็นท์ แล้วเข้ามาอยู่ในแถวของผู้ผ่านการทดสอบก่อนหน้านี้
กระทั่งตอนบ่าย การทดสอบถึงได้สิ้นสุดลง
กู๊ดลองนับจำนวนดู วันนี้มี ‘กองกำลังสำรอง’ ที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 16 คน
ทหารล้อมพวกเขาเอาไว้ตรงกลาง ก่อนจะพาเข้าไปในเต็นท์หลังสุดท้าย
การตกแต่งภายในเต็นท์นั้นเรียบง่ายอย่างมาก นอกจากโต๊ะตัวหนึ่งแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย แต่เหล่าทหารกลับดูค่อนข้างตื่นเต้น กู๊ดรู้สึกว่านายทหารคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวเองนั้นหายใจเร็วขึ้น
“โอ้? นี่คือยอดอัศวินที่พวกเขาเลือกออกมาเหรอ?” ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะมองมาที่พวกเขาอย่างตื่นเต้น สายตาเหมือนกำลังพยายามตรวจสอบพวกเขาอยู่
กู๊ดใจสั่นขึ้นมาทันที เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะ? อัศวิน?
หรือว่าที่กองทัพที่หนึ่งอยากจะรับสมัครคืออัศวิน!
จะเป็นไปได้ยังไง?
นั่นมันเป็นตำแหน่งของขุนนางที่มีชาติตระกูลถึงจะมีได้ไม่ใช่เหรอ
คนอย่างเขา แม้แต่ผู้ติดตามอัศวินก็อาจจะเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ!
“อัศวินอากาศเหรอ? แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นคำที่พี่ชายข้าคิดขึ้นมา” จากนั้นเสียงผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังเข้ามาในหูเขา “แต่สำหรับพวกเขามันยังเร็วไปที่จะมาถึงจุดนี้ พวกเราค่อยๆ ก็แล้วกัน เออใช่ พวกเจ้ามาทางนี้ให้หมด เปิดที่ว่างตรงกลางให้พวกเขาหน่อย”
“แต่ว่า…” นายทหารที่เป็นหัวหน้าลังเลขึ้นมา
“ไม่เป็นไร ด้านหลังข้ามีคนคอยคุ้มครองข้าอยู่”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิง”
องค์…หญิง?
ยังไม่ทันที่จะได้ทำความเข้าใจว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น คนที่อยู่ตรงหน้าก็ขยับเข้ามา ภาพผู้หญิงที่มีใบหน้างดงามคนหนึ่งสะท้อนเข้ามาในดวงตาของกู๊ด เธอมีดวงตาเป็นประกายเหมือนอัญมณี ใบหน้าขาวเนียนกว่าหิมะ ขอเพียงได้สบตา ก็จะไม่มีทางลืมเลือนแน่นอน ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ เขาก็อยากจะจ้องมองแบบนี้ตลอดไป
แต่เขาก็พยายามฝืนตัวเองให้เบือนสายตาหลบอย่างรวดเร็ว ก่อนจะก้มหน้าลงไปอย่างเคารพ
เพราะผมยาวสีเทาของผู้หญิงคนนั้นได้แสดงให้เห็นถึงสถานะของเธอ
ถึงแม้จะเป็นผู้อพยพมาใหม่อย่างเขาก็ยังรู้ว่าสีๆ นี้มันหมายถึงอะไร
นี่คือสัญลักษณ์ของราชวงศ์เกรย์คาสเซิล
ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ มีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่มีสายเลือดนี้
นั่นคือน้องสาวของฝ่าบาทโรแลนด์…ทิลลี วิมเบิลดัน
“ถวายบังคมองค์หญิง!”
ทุกคนต่างคุกเข่าลงไป