Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1049
“ลุกขึ้นเถอะ” ทิลลีพูดเสียงราบเรียบ “ข้ารู้ว่าในใจพวกเจ้าตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความสงสัยว่าทำไมกองทัพถึงทำลายกฏด้วยการรับสมัครคนที่ไม่ใช่พลเมืองเข้ามาในกองทัพ ทำไมการคัดเลือกถึงแปลกๆ เช่นนี้ แล้วก็…ทำไมข้าถึงมาเป็นคนอธิบายเรื่องเหล่านี้ ความจริงปัญหาเหล่านี้พูดไปแล้วค่อยข้างซับซ้อน เอาไว้หลังจากนี้พวกเจ้าก็จะค่อยๆ เข้าใจมันเอง ดังนั้นตอนนี้ข้าจะไม่อธิบายอะไรละเอียดนัก ข้าจะอธิบายให้ฟังอย่างคร่าวๆ ซักสองสามเรื่อง”
“อันดับแรก กองทัพที่พวกเจ้าเข้าร่วมนั้นไม่ใช่กองทัพที่หนึ่ง แล้วก็ไม่ใช่กองทัพที่สอง หากแต่เป็นกองทัพใหม่ที่พี่ชายข้าตังขึ้นมา มันไม่เหมือนกับกองทัพใดๆ ก่อนหน้านี้ ด้วยเหตุนี้การคัดเลือกจึงมีความพิเศษมากกว่า”
คำพูดนี้สร้างเสียงฮือฮาขึ้นมาเล็กน้อย เพราะโอกาสในการก้าวหน้าของกองทัพใหม่นั้นมีมากกว่า แล้วก็ไม่มีทางถูกกำจัดออกไปได้ง่ายๆ สำหรับพวกเขาซึ่งไม่มีต้นทุนอะไรแล้ว การที่ได้ไปก้าวหน้าอยู่ในกองทัพใหม่นั้นนับว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ต่อให้โง่แค่ไหนก็ต้องเข้าใจเหตุผลนี้
“แต่ว่าสถานะของพวกเจ้าในตอนนี้ยังเป็นแค่กำลังสำรองเท่านั้น” องค์หญิงพูดต่อ “แล้วก็เป็นเพราะความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของมัน ทำให้ข้าไม่มีอะไรที่จะมาใช้อ้างอิงได้ นั่นก็หมายความว่าทุกอย่างต้องเริ่มต้นจากศูนย์ อุปสรรคที่ต้องเจอนั้นต้องมากกว่าที่จินตนาการเอาไว้แน่นอน ถ้าจะเปรียบเทียบกันให้ได้ล่ะก็ การทดสอบที่พวกเจ้าเจอมาก่อนหน้านี้นั้นเรียกได้ว่าไม่มีค่าให้พูดถึงเลย ตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้มี 16 คน แต่คนที่จะได้กลายเป็นอัศวินอากาศจริงๆ นั้นเกรงว่าคงจะมีแค่ 1 – 2 คนเท่านั้น หรือไม่ก็…ไม่มีเลยซักคน”
กู๊ดตกใจ
ที่เขาตกใจนั้นไม่ใช่เพราะความยากของมัน หากแต่เป็นเพราะคำพูดในครึ่งแรกของอีกฝ่าย
เขาจะได้เป็นอัศวินจริงๆ ด้วย!
ถึงแม้เขาจะยังไม่รู้ว่า ‘อัศวินอากาศ’ กับอัศวินในอดีตมันต่างกันอย่างไร แต่การที่คนธรรมดาที่เกิดมาในครอบครัวยากจนได้รับโอกาสแบบนี้นั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากแล้ว!
ส่วนเรื่องที่บอกว่ายากมากนั้น?
นั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ!
เขารู้สึกภายในใจมีไฟลุกโชนขึ้นมาทันที
แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึงนั้นยังมีอีก
“นอกจากนี้เนื่องจากคนที่รู้ว่ากองทัพใหม่นั้นคืออะไร เกรงว่าทั่วทั้งเมืองนี้…ไม่สิ ควรจะบอกว่าบนโลกนี้มีแต่ข้ากับพี่ชายของข้าเท่านั้นที่รู้ว่ามันคืออะไร อีกอย่างโรแลน์นั้นไม่มีเวลาที่จะมาดูแลเรื่องนี้ ดังนั้นหลังจากนี้ข้าจะเป็นคนสอนพวกเจ้าเอง”
คำพูดนี้เหมือนเป็นสายฟ้าที่ฟาดลงมา ทำเอากู๊ดยืนตกตะลึงไปทันที
องค์หญิงจะมาเป็นคนสอนพวกเขาเอง?
พูดอีกอย่างก็คือพวกเขามีโอกาสที่จะได้กลายเป็นอัศวินที่เจ้าหญิงแห่งเกรย์คาสเซิลอวยยศให้?
ต่อให้ไม่มีที่ดิน แล้วก็ไม่ได้เป็นขุนนาง นี่ก็ยังถือเป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับพวกเขาที่เป็นผู้อพยพเข้ามาใหม่
คนอื่นๆ เองก็ตกตะลึงไม่แพ้เขาเหมือนกัน
ถ้าไม่เป็นเพราะว่ากลัวจะเสียมารยาทจนทำให้เจ้าหญิงไม่พอพระทัย ทุกคนคงจะตะโกนกันออกมาแล้ว
เสียงหายใจที่ฟังดูกระชั้นของคนข้างๆ นั้นคือสิ่งยืนยันที่ดีที่สุดว่าทุกคนตื่นเต้นแค่ไหน
“ผู้ที่ผ่านการทดสอบทั้งหมดจะไปทำการฝึกซ้อมกันตรงชายหาดน้ำตื้น พวกเจ้าจะมีที่อยู่ใหม่กับบัตรประชาชน นับจากนี้พวกเจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงใหม่” ทิลลียกมือขึ้นมาบอกให้ทุกคนเงียบลงก่อน “แต่จำเอาไว้ว่าถึงแม้ตอนนี้พวกเจ้าจะเป็นกำลังพลสำรอง แต่พวกเจ้าก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพเหมือนกัน ดังนั้นพวกเจ้าต้องระวังความประพฤติของพวกเจ้าให้ดี การถอนตัวกลางคันจะถูกมองว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ การกระทำใดๆ ที่เป็นการทำผิดต่อคำสั่งกองทัพจะต้องถูกจับตัวมาลงโทษ เข้าใจไหม!”
“พ่ะย่ะค่ะ…เจ้าหญิง!” ถึงแม้จะถูกคำเตือนที่ฟังดูรุนแรงทำให้ตกใจจนเสียงตอบเบาลง แต่ก็ไม่มีใครที่จะทำหน้าเสียใจออกมาแม้แต่คนเดียว
“ดีมาก สุดท้ายก็เป็นการกล่าวคำปฏิญาณตนต่อราชาแห่งเกรย์คาสเซิล” ทิลลีมองไปทางผู้ชายตัวใหญ่ที่อยู่ข้างโต๊ะ “เวเดอร์”
อีกฝ่ายเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอกพร้อมพยักหน้า ก่อนจะล้วงเอาม้วนกระดาษสีขาวออกมาจากหน้าอกมากางออก “ตอนนี้ทุกคนพูดตามข้า”
คำปฏิญาณนั้นเข้าใจง่ายมาก
เรียกได้ว่าเป็นการพูดออกมาตรงๆ
อย่างเช่นประโยคที่ว่า “ข้าไม่มีเจตนาร้ายต่อฝ่าบาทโรแลนด์ และไม่มีความคิดอคติต่อแม่มด”
ใครจะไปกล้าล่ะ!
เมื่อคิดถึงข่าวลือที่ว่าตัวเจ้าหญิงก็เป็นแม่มดคนหนึ่งเหมือนกัน กู๊ดก็พูดเสียงดังขึ้นมามากกว่าเดิมเมื่อปฏิญาณตนถึงตรงนี้ ราวกับว่าถ้าพูดเสียงเบาๆ แล้วมันจะไม่สามารถแสดงความจงรักภักดีในใจตนออกมาได้
หลังจากปฏิญาณตนเสร็จ ทหารก็เดินเข้ามาแจกถุงสัมภาระให้พวกเขาคนละใบ
“นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าคือสมาชิกคนหนึ่งของกองทัพ” ทิลลียิ้มเล็กน้อย “การรับสมัครในรอบแรกน่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นการฝึกซ้อมจึงจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ส่วนของที่อยู่ในห่อสัมภาระนั้นคือรางวัลของข้า แล้วก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องเรียนรู้เป็นอันดับแรกด้วย”
…..
ในตอนที่กู๊ดกลับมายังลานเมือง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว คนที่มาสมัครเข้ารับการทดสอบพากันแยกย้ายกันไปหมด ลุงบักกี้กับแซงโก้เองก็ไม่อยู่แล้วเหมือนกัน
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ไม่ว่าใครก็คงจะคิดไม่ถึงว่าการทดสอบจะใช้เวลานานขนาดนี้ พวกเขายังมีคนที่บ้านที่ต้องดูแล ไม่มีทางที่จะมายืนรอเขาอยู่ที่ลานเมืองได้ตลอดหรอก
ในเวลานี้เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมากอีก หากแต่กอดห่อสัมภาะระเอาไว้แน่น แล้วรีบตรงกลับบ้านของตัวเอง
ความดีใจโบยบินไปมาอยู่ในใจเขา ทั่วทั้งร่างกายเหมือนมีเรี่ยวแรงที่ไม่มีวันใช้หมดหลั่งไหลออกมา ต่อให้ลมหนาวจะพัดเข้ามา เขาก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวแม้แต่น้อย หิมะใต้เท้าส่งเสียงดังฉึบฉับๆ พื้นถนนที่ถูกคนนับร้อยนับพันเหยียบย่ำกลายเป็นสีน้ำตาลดำ บางทีพรุ่งนี้หิมะสีขาวก็คงจะตกลงมากลบถนนใหม่อีกครั้ง แต่ตอนนี้มันกำลังเป็นตัวนำทางให้เขากลับไปที่บ้าน
เมื่อมุดเข้าไปในบ้านดินเตี้ยๆ ที่อบอุ่น เขาก็เห็นเรเชลกับต้มข้าวต้มอยู่พอดี
“ขอโทษทีที่กลับมาช้า วันนี้ข้า….”
“ข้ารู้แล้ว” เด็กหญิงพูดตัดบทขึ้นมาห้วนๆ “ลุงที่อยู่บ้านข้างๆ บอกข้าแล้วว่าท่านได้งานดีๆ มางานหนึ่ง”
ยังไม่ทันทีเขาจะได้ตอบอะไร อีกฝ่ายก็ยื่นมือขวามาหาเขา
“ของกินล่ะ?”
“เอ่อ…อะไรนะ?”
“เฮ้ ท่านบอกแล้วว่าจะเอาแพนเค้กไข่มาให้ข้านี่นา!” เรเชลมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
กรรม ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลย กู๊ดรีบพูดขึ้นมาว่า “ครั้งหน้า ครั้งหน้าเจ้าจะได้กินมันอาทิตย์ละอันเลย! ไม่สิ สองอันเลย!”
“สองอัน?” เรเชลถามอย่างสงสัย “จริงเหรอ?”
“แน่นอน งานนี้มันไม่ใช่งานธรรมดาๆ นะ แถมข้ายังได้เจอเจ้าหญิงด้วยนะ!” กู๊ดถอดรองเท้าที่เปียกชื้นออก ก่อนจะม้วนขากางเกงขึ้นแล้วเอาเท้าไปอังอยู่ตรงเตาไฟ จากนั้นก็หยิบเอาห่อสัมภาระเล็กๆ ออกมาจากในหน้าอก “ดูนี่ นี่คือของที่พระองค์พระราชทานให้ข้า”
“ข้างในมันมีอะไรเหรอ?” ความอยากรู้อยากเห็นของสาวน้อยเข้ามาแทนที่ความไม่พอใจที่มีอยู่แต่เดิม
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แกะออกมาดูดีกว่า” กู๊ดแกะเชือกรัดออก ก่อนจะตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นของข้างใน “นี่มัน….”
“หนังสือเหรอ?” เรเชลพูดต่อ
เขาเอาของที่อยู่ข้างในออกมาจนหมด ก่อนจะพบว่ามันเป็นหนังสือกองหนึ่ง บนหน้าปกมีภาพที่ไม่เหมือนกัน ดูแล้วมีความประณีตสวยงามอย่างมาก แต่เสียดายที่เขาอ่านหนังสือไม่ออกเลยแม้แต่ตัวเดียว
“เจ้า…ช่วยข้าดูหน่อยได้ไหมว่ามันคืออะไร?” ในเวลาแบบนี้ เขาได้แต่ต้องขอความช่วยเหลือจากเรเชลเท่านั้น
เด็กหญิงยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ “ข้าก็ไม่รับประกันหรอกนะว่าจะอ่านออกหมด เอ่อ หนังสือเล่มนี้คือเทคนิค…อ่านเขียน เล่มนั้นคือการจำศัพท์…อย่างรวดเร็ว เล่มที่สามคือ…”
พวกนี้คือหนังสือที่แซงโก้ใช้เรียนเหรอ? ส่วนรูปภาพที่อยู่บนหน้าปกที่แท้ก็เป็นเหมือนคำนิยามเนื้อหาในเนื้อหาอย่างหนึ่ง อย่างเช่นบนหน้าปกหนังสือ ‘เทคนิคอ่านเขียน’ ก็เป็นรูปปากกาขนนก ส่วนบนหนังสือ ‘การจำศัพท์อย่างรวดเร็ว’ ก็เป็นรูปตัวหนังสือเล็กๆ ใหญ่ๆ ….
ไม่รู้ว่าทำไมกู๊ดถึงได้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เดิมเขาคิดว่าด้านในอาจจะมีสิ่งของที่เจ้าหญิงทรงพระราชทานให้ผู้ผ่านการทดสอบไว้เป็นรางวัล ไม่จำเป็นต้องล้ำค่าอะไรมาก ต่อให้เป็นจดหมายฉบับหนึ่งมันก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศได้
ถ้าคนอื่นรู้เข้า เกรงว่าเขาคงต้องถูกหัวเราะเยาะแน่ เจ้าหญิงจะเอาหนังสือเรียนระดับต้นที่เห็นได้ทั่วไปมามอบให้เขาเป็นรางวัลได้ยังไง?
แต่กู๊ดก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ก็จริง ในเมื่ออยากจะเป็นอัศวิน อย่างนั้นเขาก็ต้องอ่านหนังสือออก
เขายังมีอะไรอีกหลายอย่างให้เรียนรู้จริงๆ
ทันใดนั้นเอง หน้าปกหนังสือเล่มหนึ่งก็ดึงดูดสายตาของเขาเอาไว้
สิ่งที่อยู่ในภาพนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันดูคล้ายว่าวขนาดใหญ่ แล้วก็คล้ายนกยักษ์ที่กางปีกบิน มันมีปีกสองคู่ ขนาดของปีกดูแล้วใหญ่กว่าคนหลายเท่า ส่วนผู้หญิงที่นั่งอยู่ด้านบนก็ดูแล้วเหมือนองค์หญิงอย่างมาก! พื้นทะเลที่อยู่ใต้เท้าเธอส่องประกายระยิบระยับ พื้นทวีปที่ควรจะกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาปลายเป็นพื้นดินเล็กๆ ที่อยู่ตรงขอบ
มุมมองนี้เหมือนกับภาพที่เขาเห็นในการทดสอบรอบแรกเลย
เขารู้สึกเหมือนการหายใจของตัวเองช้าลงไปทันที
“เรเชล….บนหนังสือเล่มนี้เขียนว่าไง?”
“หืม ขอข้าดูหน่อย” เรเชลยื่นหน้าเข้ามา “ปฏิบัติ….กับ….การบิน….อืม ใช่แล้ว!” เธอปรบมือ ก่อนจะอ่านมันตั้งแต่ต้นใหม่อีกครั้ง “หนังสือเล่มนี้ชื่อ ‘คู่มือปฏิบัติและทฤษฎีการบิน’”