Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1055
นอกจากจะเรียกอาซีม่ากับโรสเซอร์กลับออกมาแล้ว เขายังเขียนแผนการจัดการหลังจากนั้นเอาไว้ด้วย
การจะขุดเอาแร่ยูเรเนียมออกมาอย่างปลอดภัยนั้นเป็นเรื่องที่เปลืองทั้งแรงและเวลา เขาไม่เพียงแต่จะต้องกำหนดขั้นตอนการทำงานอย่างละเอียดและจัดตั้งจุดตรวจสอบขึ้นมา แต่เขายังต้องอบรมคนงานให้เข้าใจรายละเอียดในการทำงานของตัวเอง และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสงครามที่ใกล้เข้ามาทุกที เขาย่อมไม่คิดที่จะทำตามวิธีปกติ
เหมืองทิศเหนือนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างมาก
เขาคิดจะขอซื้อตัวนักโทษประหารชีวิตมาจากเอิร์ลควินน์ จากนั้นก็จับพวกนั้นยัดเข้าไปในโบราณสถาน ไม่มีเงินเดือนและวันหยุด แล้วก็ไม่ต้องมีมาตรการป้องกันใดๆ ด้วย เพียงแค่ให้สัญญาว่าถ้าทำครบสิบปีก็จะถูกปล่อยตัว เขาเชื่อว่าคนเหล่านั้นจะต้องตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแน่นอนว่าจะเลือกอะไรระหว่างถูกแขวนคอกับโอกาสในการรอดชีวิต
ส่วนเจ้าเมืองในแต่ละที่ก็ย่อมยินดีที่จะแลกชีวิตของนักโทษไร้ค่าเหล่านี้กับเงินรายได้ก้อนหนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ทหารร้อยกว่าคนของทีมสำรวจก็จะรับผิดชอบแค่การตรวจตราและเฝ้าระวัง เรื่องมาตรการในการป้องกันต่างๆ ก็จะลดลงมากกว่าเดิม
ซึ่งฌอนนั้นคือคนที่เหมาะที่จะเป็นคนดูแลงานนี้ที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ในช่วงสุดท้ายของจดหมาย โรแลนด์ยังเขียนสั่งให้ฌอนไปสืบหาดูว่า ‘สมบัติ’ ที่คนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนขนออกมาจากโบราณสถานนั้นอยู่ที่ไหนด้วย
เพราะว่าข้อสงสัยสองสามข้อในจดหมายที่ฌอนส่งมานั้นทำให้เขารู้สึกสนใจจริงๆ
เผ่าพันธุ์ที่ไม่เคยถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์นี้มีความศรัทธาแปลกๆ ต่อธาตุที่ปล่อยรังสีได้ พวกมันไม่เพียงแต่จะเอาแร่มาเผาแล้วเอาไปสร้างเป็นวัดสำหรับบูชายัญ แล้วก็ใช้มันในการทรมารศัตรู แต่เหมือนว่าพวกมันจะกินแร่เข้าไปด้วย ซากศพที่มีแสงสีเขียวที่อาซีม่าพบนั้นคือหลักฐานยืนยัน ถึงแม้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุในการดับสูญของพวกมันมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับความศรัทธานี้หรือเปล่า แต่การเรียกพวกมันว่าเผ่ากัมมันตรังสีก็ดูจะเหมาะสมทีเดียว
โลกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล การจะมีอารยธรรมอะไรปรากฏออกมาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สิ่งที่น่าแปลกจริงๆ ก็คือไม่ว่าจะเป็นการเข้าไปในเขตเหมืองแร่ หรือว่าการเอาแร่มาทำเป็นอิฐก็ล้วนแต่ไม่อาจส่งผลให้เกิด ‘เนื้อเน่า’ ได้ เพราะต่อให้อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นหรือว่าได้รับรังสีที่เกิดจากการสลายตัวของแร่ทั้งภายในและภายนอกเป็นเวลานาน ผลที่เกิดขึ้นก็แค่ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นเท่านั้น เดิมอยู่ได้ถึงอายุ 80 ปี ก็อาจจะเหลือแค่ 60 ปี
เพราะประสิทธิภาพของนิวไคลด์ที่ปล่อยออกมาจากการสลายตัวธรรมชาตินั้นต่ำมาก
คนโชคร้ายที่ตายอย่างน่าอนาถที่เขียนเอาไว้นจดหมายนั้นดูไม่เหมือนว่าตายจากการเป็นมะเร็งหรือว่าภาวะแทรกซ้อนจากการกลายพันธุ์ แต่เหมือนพวกเขาได้รับผลกระทบจากการปล่อยรังสีอย่างรุนแรงมากกว่า
แต่การที่จะทำแบบนั้นนั้นจำเป็นต้องทำให้วัสดุนิวเคลียร์ที่มีความบริสุทธิ์สูงอยู่ในระดับค่าวิกฤติ ถึงจะทำให้เกิดกระแสนิวตรอนและรังสีแกมม่าในปริมาณมหาศาลได้ในพริบตา เพียงแต่มันดูไม่เหมือนว่าระดับเทคโนโลยีของเผ่ากัมมันตรังสีจะทำแบบนั้นได้
โรแลนด์ไม่ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าข่าวลือนั้นอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่การตายของชาวบ้านในตอนนั้นน่าจะมีหลายคนที่รู้เรื่อง ถ้านั่นเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่ตัว ‘สมบัติ’ เหล่านั้น
แล้วก็มีแต่แบบนี้เท่านั้น ถึงจะทำให้โบราณสถานที่ว่าใช้เป็นแท่นบูชายัญสำหรับตัดสินโทษได้ ไม่อย่างนั้นถ้าคนที่ถูกขังอยู่ในนั้นสามารถอยู่ได้เป็นสิบปีกว่าจะตาย แท่นบูชายัญนี้คงต้องสร้างให้สูงเป็นตึกคอนโดเลยถึงจะสามารถบรรจุคนได้เยอะขนาดนั้น
แต่เสียดายที่เวลาร้อยกว่าปีนั้นนานเกินกว่าที่แอ็คเซียจะฉายภาพย้อนกลับได้ ตอนนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรู้ว่าตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นเขาจึงมีแต่ต้องให้ฌอนลองพยายามดูเท่านั้น
เขาแอบรู้สึกว่าความจริงที่อยู่เบื้องหลังข่าวลือนี้คงจะมีอะไรที่มากกว่านั้น
…..
หลังฮันนี่เอาจดหมายไปแล้ว โรแลนด์ก็เดินกลับมาที่โต๊ะทำงานแล้วมองดูกองกระดาษที่พวกฌอนใช้ลอกภาพจากบนกำแพงมา
ถึงแม้ในภาพหมึกที่บิดเบี้ยวจะเต็มไปด้วยสิ่งที่ดูแปลกประหลาดและน่าเหลือเชื่อ แต่เขาก็ยังแยกแยะส่วนที่เป็นองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบรองของรูปภาพอย่างคร่าวๆ ได้ องค์ประกอบหลักส่วนใหญ่จะอยู่กึ่งกลางของรูปภาพ มีเค้าโครงที่ใหญ่และประณีต แสดงถึงผู้ดูแลโบราณสถานแห่งนี้ ส่วนองค์ประกอบรอบๆ นั้นมีขนาดเล็กกว่ามากและกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกมุมของรูปภาพ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อดูจากใบหน้าอันดุร้ายของพวกมัน เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดและความหวาดกลัว
นี่น่าจะเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา ที่มักจะเอาตัวเองไปอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ล่ะมั้ง
แล้วก็เป็นเหมือนอย่างที่ฌอนว่าไว้ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบหลักหรือว่าองค์ประกอบรองของภาพก็ล้วนแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปีศาจ สัตว์อสูรหรือพวกอารยธรรมใต้ทะเลเลย รูปร่างของพวกมันดูแปลกประหลาดอย่างมาก บางตัวก็ดูเหมือนคบไม้ขีดไฟที่แยกแยะส่วนที่เป็นแขนขาหัวหางไม่ออก ส่วนบางตัวก็เหมือนโปรโตซัวที่ยืดหดตัว อวัยวะทั้งร่างกายแอบซ่อนอยู่ในหัวทั้งหมด
เนื้อหาในภาพวาดเองก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลงโทษไปเสียทั้งหมด บางรูปนั้นเป็นการบรรยายถึงการรบกันระหว่างองค์ประกอบหลักและองค์ประกอบรองของภาพ พวกที่เป็นองค์ประกอบหลักเหมือนจะสามารถใช้ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นในการบินได้ แล้วก็ใช้ความได้เปรียบจากความคล่องตัวในการอยู่บนอากาศโจมทีไปที่แนวหลังของศัตรู ทำให้กลายเป็นการโจมตีกระหนาบหน้าหลัง แนวป้องกันที่สูงใหญ่นั้นไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เมืองกลายสภาพเป็นทะเลเพลิง พวกองค์ประกอบรองถูกไล่สังหารจนราบคาบ
ขอเพียงแยกแยะออกว่าใครเป็นใครก็ยังพอจะคาดเดาถึงเรื่องราวที่บรรยายอยู่ในบันทึกนี้ได้
“หืม?” จู่ๆ สายตาโรแลนด์ก็หยุดอยู่ที่ภาพๆ หนึ่ง
“ทำไมหรือเพคะ?” ไนติงเกลสังเกตเห็นความผิดปกติของเขา
“เจ้าไม่รู้สึกบ้างเหรอว่าเหตุการณ์ที่อยู่ในภาพนี้เหมือนจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน?” เขาเดินไปที่หน้าม้วนภาพแล้วคุกเข่าลงไป นั่นเป็นภาพที่บรรยายถึงช่วงสุดท้ายของสงครามเอาไว้ พวกไม้ขีดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวเหมือนต้องการจะสู้ตาย แต่สุดท้ายพวกมันก็ยังถูกศัตรูเล่นงานจนย่อยยับ เลือดไหลรวมกันเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ บางส่วนที่มีชีวิตรอดก็หนีไปยังริมทะเล แต่สุดท้ายก็ถูกเผ่าพันธุ์องค์ประกอบหลักของภาพสังหารจนหมด ซากศพกองอยู่ในทะเลกลายเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ
“เอ่อ…” ไนติงเกลครุ่นคิดอยู่นาน “นอกจากเรื่องที่ว่าใช้น้ำหมึกค่อนข้างเยอะแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากภาพอื่นนี่เพคะ?”
โอเค ความสามารถในการต่อสู้กับความสามารถในการชื่นชมศิลปะนี่ช่างแตกต่างกันจริงๆ เลย โรแลนด์กุมขมับ “เจ้าช่วยหยิบเอาแผนที่ของดินแดนทางใต้สุดมาให้หน่อย”
“เพคะ” อีกฝ่ายรีบทำตาม เธอหยิบเอาแผ่นที่ปึกหนาๆ ส่งให้เขา ขณะเดียวกันก็ยื่นปลาแห้งมาให้เส้นหนึ่งด้วย
โรแลนด์งับปลาแห้งเข้าไป ส่วนมือก็เคลื่อนไหวไม่หยุด ไม่นานเขาก็เจอแผนที่มุมสูงของส่วนที่เป็นแหลมเอนด์เลส
ตอนนั้นเพื่อที่จะได้กำหนดตำแหน่งของท่าเรือเรฟเวลรี่ เขาจึงได้ให้ไลต์นิ่งกับเมซี่วาดแผนที่อย่างละเอียดออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงจำมันได้ ในตอนที่เอาทั้งสองมาวางคู่กัน เขาพลันรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที ร่างกายเขาเหมือนมีสายฟ้าแล่นผ่าน ปลายนิ้วรู้สึกชาขึ้นมา
เส้นโครงร่างของภาพทั้งสองซ้อนทับกับพอดี!
ถึงแม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปบ้าง แต่ชายขอบส่วนใหญ่ของส่วนที่เป็นพื้นดินกับทิศทางของทะเลน้ำวนนั้นแทบจะเหมือนกัน ความเหมือนเรียกได้ว่ามีมากกว่า 80%!
นี่มันเป็น…เรื่องบังเอิญอย่างนั้นเหรอ?
“เอ่อ สถานที่ที่อยู่ในภาพคือดินแดนทางใต้สุดเหรอเพคะ?” ไนติงเกลเองก็สังเกตเห็นจุดที่มันแปลกๆ “ที่นั่นมันเป็นที่อยู่ของชาวทะเลทรายไม่ใช่เหรอเพคะ?”
โรแลนด์ไม่ได้ตอบ หากแต่รีบกวาดตามองดูม้วนภาพที่เหลือ
และในตอนที่เขาดูภาพที่สองรองจากสุดท้าย เลือดในตัวเขาก็เหมือนจะจับตัวแข็งขึ้นมาทันที
เขาเห็นภาพเผ่าพันธุ์ที่เป็นองค์ประกอบหลักสิบกว่าตัวยืนล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่อยู่บนแท่นสูง ส่วนตรงกลางวงกลมก็มีวัตถุที่เป็นปริซึมหลายหน้าชิ้นหนึ่งลอยอยู่ บนผิวของวัตถุมีหนวดรูปร่างแปลกๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังขยับไปมา เหมือนกับงูที่อยู่บนหัวเมดูซ่า
ฌอนที่ไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเองย่อมต้องไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในภาพคืออะไร
แต่โรแลนด์รู้ดี
มันคือ ‘มรดกของพระเจ้า’