Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1056
ภายใต้คุกใต้ดินที่มืดสลัว แสงไฟส่องคนที่ถูกแขวนอยู่บนกำแพง เงาที่สะท้อนไปบนกำแพงที่ดูแล้วเหมือนกิ่งไม้
ไม่มีการดิ้นรน ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดหรืออ้อนวอน ในตอนที่แส้ฟาดไปบนร่างกาย เงาดำถึงจะส่ายไปมาตามแรงเฉื่อย ขณะเดียวกันก็มีเสียงครางเบาๆ ในลำคอ
แต่เสียงครางเบาๆ นี้ก็ถูกเสียงแส้ที่ฟาดลงไปหลังจากนั้นกลบไปอย่างรวดเร็ว
“ผัวะๆ!”
“ผัวะ!”
ร่างกายที่โยกไปมากับแสงไฟที่วูบไหวซ้อนทับกันพอดี เสียงแส้ทึบๆ เหมือนจะเป็นเสียงเพียงเสียงเดียวในคุกใต้ดินแห่งนี้
หลังจากฟาดไปได้สิบกว่าที เอิร์ลโรแลนโซ่ถึงได้พูดขึ้นมา “พอ หยุดก่อน!”
“ขอรับ” ผู้ลงโทษรีบถอยไปด้านหลัง
แผ่นหลังของหญิงสาวที่ถูกแขวนอยู่กลายเป็นสีแดงเถือก รอยแส้ที่ไขว้กันไปมามีทั้งรอยใหม่และรอยเก่า เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกลงโทษ เมื่อดูจากปลายจมูกและท่อนแขนที่มีเหงื่อไหลออกมาแล้ว ความเจ็บปวดจากการฟาดด้วยแส้นี้ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ เพียงแต่อีกฝ่ายนั้นพยายามใช้แรงใจในการข่มเสียงร้องเอาไว้
“ว่าไง ยังไม่ยอมบอกเหรอว่าคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?” เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาว ก่อนจะยื่นมือไปจับคางอีกฝ่ายเชยขึ้นมา นั่นเป็นใบหน้าอันงดงามที่ยากจะหาได้ในกองทัพพิพากษา ถึงแม้จะถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินและถูกทรมาน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความงามนั้นลดลงเลย พูดอีกอย่างก็คือท่ามกลางแสงไฟที่ดูสลัว ผิวหนังที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและดวงตาที่ยังมีเปลวไฟลุกโชนอยู่นั้นกลับทำให้เธอยิ่งดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น “ศาสนจักรล่มสลายไปแล้ว ฟาร์รีน่า เจ้าคิดจะเป็นศัตรูกับข้าไปถึงเมื่อไร? ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง เจ้าก็น่าจะคิดถึงพวกเพื่อนที่ถูกจับพวกนั้นบ้างนะ”
ไอพวกสุนัขเร่ร่อน โรแลนโซ่คิดอย่างแค้นใจ วูล์ฟฮาร์ทก็กว้างใหญ่ขนาดนี้ ทำไมถึงต้องมาที่เกาะอาชดยุคด้วย หรือว่าการที่ัตัวเองสังหารทูตพวกนั้นมันยังไม่ชัดเจนพออีก? ในมือมีกองทัพอาญาสิทธิ์อยู่ ขอเพียงไม่ไปหาเรื่องกับเกรย์คาสเซิล พวกเขาจะไปใช้ชีวิตใหม่อยู่ที่ไหนก็ได้ ทำไมถึงต้องคิดจะมาฆ่าตัวเองด้วย? ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อก่อนนี้ตนได้ขอกองกำลังจากพระสังฆราชเมนเอาไว้ เกรงว่าหัวของเขาคงไปแขวนอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หูข้างซ้ายที่ขาดไปของเขาพลันรู้สึกปวดขึ้นมาทันที
ในตอนที่กองทัพอาญาสิทธิ์ของทั้งสองฝ่ายกำลังสู้กัน หัวของเขาเกือบต้องขาดอยู่ใต้ดาบของฟาร์รีนา โชคดีที่ตอนนั้นเธอเหลือเรี่ยวแรงไม่เยอะเท่าไร ลูกน้องของเขาจึงมาขัดขวางการฟันของเธอเอาไว้ได้ สุดท้ายดาบจึงตัดหูของเขาออกไปเสี้ยวหนึ่ง
เรื่องที่ได้รับบาดเจ็บภายนอกมันก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้โรแลนโซ่ยิ่งรู้สึกโมโหก็คือทหารอาญาสิทธิ์ 20 กว่าคนที่ตัวเองรักษาเอาไว้อย่างยากลำบาก ในตอนนี้กลับเหลืออยู่แค่ 2 – 3 คนเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้ ส่วนคนที่เหลือถ้าไม่ตายในการสู้รบ ก็แขนขาดขาขาด การจะให้ทหารพิการเหล่านั้นลุกขึ้นมาสู้ใหม่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้
นี่คือหลักประกันที่ทำให้เขาอยู่บนเกาะอาชดยุคได้!
การที่พวกขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทยังไม่มีคิดบัญชีกับเขา ไม่ได้เป็นเพราะเขาเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายจากมุขนายกมาเป็นขุนนางแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพราะว่าเขามีนักรบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือ ทำให้ขุนนางพวกนั้นไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า ถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป เกรงว่าตำแหน่งเอิร์ลของเขาคงจะรักษาไว้ไม่อยู่แน่
โรแลนโซ่อยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความโกรธภายในใจ
แต่เขากลับไม่สามารถทำแบบนั้นได้
อย่างน้อยก็ก่อนที่จะรู้เงื่อนงำของคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าศาสนจักรจบสิ้นลงหรือยัง แต่ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะต้องจบสิ้นแน่นอน….เอิร์ลโรแลนโซ่ ไม่สิ ข้าควรจะเรียกเจ้าว่าคนทรยศถึงจะถูก” ผ่านไปครู่หนึ่ง ฟาร์รีน่าจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมา “คิดๆ ดูแล้วนักรบอาญาสิทธิ์ที่เจ้ามีอยู่ในมือนั้นเป็นความผิดของข้า แต่ว่าตอนนี้เจ้าเองก็เหลือนักรบอาญาสิทธิ์ให้ใช้อยู่ไม่เท่าไรแล้วใช่ไหมล่ะ? ไม่อย่างนั้นเจ้าคงไม่รีบร้อนที่จะมาถามหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แน่ เจ้าอยากจะรู้ความลับในการสืบทอดตำแหน่งของพระสังฆราช แล้วก็วิธีในการสร้างกองทัพอาญาสิทธิ์ขึ้นมาเพื่อปกป้องตำแหน่งอันน่าสมเพชของเจ้า…”
“ผัวะ!”
เสียงตบหน้าดังขึ้นมาขัดจังหวะการพูดเยอะเย้ยของเธอ
“ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าข้าต้องการอะไร อย่างนั้นก็บอกข้ามาซะดีๆ จะดีกว่า!” โรแลนโซ่กัดฟัน “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้งหนึ่ง คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหน?”
เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปากของฟาร์รีน่า “ข้าไม่รู้…”
“อย่างนั้นก็นับว่าน่าเสียใจจริงๆ” เอิร์ลมองไปทางผู้ลงโทษ “ตัดขามาให้ข้าข้างหนึ่ง ของใครก็ได้ ข้าจะให้เพื่อนของนังนี่….”
“เลิกแสดงได้แล้ว” ถึงแม้ฟาร์รีน่าจะดูอ่อนแรงอย่างมาก แต่น้ำเสียงของเธอกลับเต็มไปด้วยความดูถูก “ยังจำนิ้วมือที่เจ้าเอามาให้ข้าดูครั้งที่แล้วได้ไหม? เลือดมันแข็งจนเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว เจ้ายังคิดจะใช้มันมาขู่ข้าอีกเหรอ? ดูเหมือนการเป็นมุขนายกจะทำให้เจ้าใช้ชีวิตสบายเกินไปจนลืมความแตกต่างระหว่างคนเป็นกับคนตายไปหมดแล้วสินะ นั่นมันเป็นนิ้วที่ตัดออกมาจากศพใช่ไหมล่ะ? เจ้าฆ่าพวกเขาไปหมดตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าคนทรยศ!”
โรแลนโซ่สีหน้าเคร่งเครียดทันที
“ยิ่งไปกว่านั้นข้าไม่ได้เป็นแม้กระทั่งผู้รักษาการณ์พระสังฆราช ข้าจะไปมีโอกาสได้เห็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง บางทีท่านทัคเกอร์อาจจะรู้ แต่เขาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ข้าฟังมาก่อน ดังนั้นบนโลกนี้ไม่มีใครที่จะรู้วิธีสร้างนักรบอาญาสิทธิ์ขึ้นมาอีกแล้ว”
“เจ้าโกหก!” เขาทำหน้าดุร้าย “ทัคเกอร์ให้เจ้ามาที่วูล์ฟฮาร์ท หรือว่าไม่ใช่เพื่อสร้างศาสนจักรขึ้นมาไป จากนั้นก็กลับไปแก้แค้นให้เฮอร์มีส? ถ้าไม่มีคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ศาสนจักรจะเอาอะไรไปสู้กับเกรย์คาสเซิล?”
“หึๆ…” ฟาร์รีน่าหัวเราะออกมา “ถึงจะมีกองทัพอาญาสิทธิ์ก็ใช่ว่าจะสู้กับเกรย์คาสเซิลได้ ท่านผู้รักษาการณ์พระสังฆราชแค่อยากจะรักษาชีวิตของทุกคนเอาไว้ เพื่อให้คนที่เหลือได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข”
“น่าขันสิ้นดี! เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเหรอ?” เอิร์ลคำรามอยู่ในลำคอ “ในเมื่อจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบ แล้วทำไมต้องมาโจมตีเกาะอาชดยุคด้วย? แถมยังไม่ใช่เพื่อเงิน เสบียง ชุดเกราะกับอาวุธ! ทัคเกอร์เอานักรบอาญาสิทธิ์ให้เจ้า แต่เจ้าบอกว่าเขาแค่ต้องการให้พวกเจ้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบเหรอ? นี่มันตลกจริงๆ!”
“เจ้าไม่เชื่อมันก็แล้วแต่เจ้า เพราะความจริงมันเป็นเช่นนั้น” ฟาร์รีน่าพูดอย่างไม่สนใจ “ข้าอยากจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง ถ้าตอนแรกเจ้าไม่ฆ่าทูตพวกนั้น แล้วก็เลือกที่จะปฏิเสธแบบดีๆ พวกทีพวกข้าก็อาจจะไม่มาที่เกาะอาชดยุคแห่งนี้ก็ได้ แต่สุดท้ายเจ้ากลับทำเรื่องที่ชั่วช้าที่สุดออกมา สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดก็คือพวกทรยศที่ตีสองหน้า!”
“เจ้า…”
“เจ้าทำลายความเชื่อใจของสมเด็จอะพอลเลอัน แล้วก็ไม่คู่ควรที่จะได้ใช้ชีวิตที่เหลือจากการเสียสละตัวเองของท่านทัคเกอร์ด้วย” เธอพูดอย่างหนักแน่น “จริงอยู่ที่ข้ารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง แต่ช้าเร็วพวกขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทก็ต้องรู้เรื่องที่เจ้าสูญเสียทหารอาญาสิทธิ์ไป ถึงแม้จะถอดชุดของศาสนจักรออก เจ้าก็ไม่มีทางกลายเป็นพวกเดียวกับพวกเขาได้! เจ้ามันก็เป็นแค่คนทรยศเท่านั้น ความตายอยู่ไม่ไกลจากเจ้าเท่าไรหรอก!”
โรแลนโซ่สูดหายใจ เขาพยายามระงับอารมโกรธภายในใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าพยายามยั่วโมโหข้าเพื่อให้ข้าฆ่าเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลของคัมภีร์ศักดิ์ิสิทธิ์ใช่ไหม วางใจได้ ข้าไม่หลงกลง่ายขนาดนั้นหรอก ข้าจะบอกอะไรให้ ที่นี่ไม่ได้เก็บแต่พวกอาวุธที่เอาไว้ถล่มอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทเอาไว้เท่านั้น แต่ที่นี่ยังมีเครื่องทรมานที่เอาไว้ใช้สอบปากคำพวกแม่มดด้วย ไม่รู้ว่าถ้าเทียบกับแม่มดพวกนั้นแล้ว เจ้าจะทนไปได้นานซักเท่าไร?”
เขามองดูเท้าที่เปลือยเปล่าของอีกฝ่าย “ข้าว่าเริ่มจากเล็บเท้าของเจ้าก็แล้วกัน…ตอนที่มันถูกถอดออกมาทีละเล็บๆ ข้าอยากจะดูว่าเจ้ายังจะตอบเหมือนก่อนหน้านี้ไหม”
…..
หลังกลับมาถึงปราสาท เอิร์ลก็ระงับความโกรธเอาไว้ไม่อยู่ กาน้ำชาที่อยู่บนโต๊ะถูกเขากวาดตกลงมาบนพื้นจนหมด!
บัดซบ บัดซบ บัดซบ นังฟาร์รี นังบัดซบ!
ถึงแม้เขาจะแสดงออกถึงความมั่นใจอย่างมาก แต่เขาก็รู้ว่าเธอซึ่งเติบโตมาจากในกองทัพพิพากษานั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งแค่ไหน การจะล้วงความลับออกมาจากปากเธอเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย
อยู่ดีๆ จะให้เขาไปปิดเส้นทางการเดินเรือของอาชดยุคแล้วหยุดการค้าขายก็ไม่ได้ ทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้น่าสงสัยขึ้นไปใหญ่ แต่ถ้ายังทำการค้าขายต่อไปเหมือนเดิม พวกพ่อค้าเหล่านั้นก็จะเป็นหูตาอย่างดีให้กับพวกขุนนาง เขาต้องรีบเสริมกำลังเข้าไปแทนที่ทหารอาญาสิทธิ์ที่เสียหายไปก่อนที่อะไรๆ มันจะแย่จนไม่อาจแก้ไขได้!
แต่ข้อมูลสำคัญของแผนการนี้กลับอยู่ในมือของคนที่ต้องการจะฆ่าเขา
นี่มันน่าแค้นใจจริงๆ!
ทันใดนั้นเอง พ่อบ้านคนหนึ่งของเขาเดินเข้ามา “นายท่าน ช่วงนี้ข้าได้ยินข่าวที่น่าสนใจข่าวหนึ่ง…”
“ไม่ฟัง ไม่มีอารมณ์!” โรแลนโซ่พูดตัดบท
พ่อบ้านมองดูเศษภาชนะที่แตกอยู่บนพื้น ก่อนจะสะกดอารมณ์แล้วพูดต่อว่า “บางทีมันอาจจะช่วยแก้ปัญหาที่ท่านกำลังเจออยู่ในตอนนี้ได้นะขอรับ”
“อะไรนะ?” เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที “เจ้าว่ามาซิ?”
นับตั้งแต่ที่เขาสถาปนาตัวเองกลายเป็นเอิร์ลและปกครองเกาะอาชดยุคแห่งนี้ เหล่าสาวกที่ติดตามเขาก็กลายเป็นสมาชิกในตระกูลของเขา พ่อบ้านที่ชื่อแฮกริดคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในคนที่เขาไว้วางใจ เขาซึ่งเป็นหนึ่งในอดีตบาทหลวงย่อมต้องมีแผนการอะไรอยู่ในหัวแน่นอน “ช่วงนี้ตรงชายแดนของอาณาจักรดอว์นเหมือนจะวุ่นวายนิดหน่อย คล้ายกับว่ามีคนพยายามจะเข้าไปในภูเขาเคจเมาเธ่น”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?” โรแลนโซ่ขมวดคิ้ว “ไม่ว่าฝั่งไหนได้ครอบครองเขาเคจเมาเธ่น เกาะฮาชดยุคก็ไม่ได้ประโยชน์แม้แต่น้อย”
“สิ่งที่น่าสนใจมันไม่ใช่เรื่องนี้ หากแต่อยู่ที่คนที่เป็นแกนนำของเรื่องนี้ขอรับ…” แฮกริดชะงักไปเล็กน้อย “นายท่าน ข้าได้ยินมาว่าคนที่พยายามจะเข้าไปในภูเขาเคจเมาเธ่นคือคนของราชาแห่งเกรย์คาสเซิลขอรับ”