Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1057
ราชา…แห่งเกรย์คาสเซิล!
โรแลนโซ่ตัวสั่นขึ้นมา
ชายหนุ่มที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถเปลี่ยนจากผู้ปกครองเมืองชายแดนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นผู้ปกครองเกรย์คาสเซิลได้ ภายในศาสนจักรไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของเขา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอะไรก็ล้วนแต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเขาถึงได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจเร็วขนาดนี้ แม้แต่ศาสนจักรที่เคยเอาชนะไปทั่วทั้งทวีปก็ยังพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเขา
ที่โรแลนโซ่ตัดสินใจหักหลังศาสนจักรเร็วขนาดนี้ เหตุผลหลักๆ ก็เป็นเพราะโรแลนด์ วิมเบิลดัน ในสายตาของเขา ศาสนจักรกับเกรย์คาสเซิลกลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว ถ้าเขายังอยู่ในฐานะมุขนายกต่อไป เขาอาจจะต้องจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ ถ้าไม่ถอนตัวออกมาตอนนี้แล้วจะให้รอถึงเมื่อไร?
เพียงแต่อีกฝ่ายเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้ไม่นาน ตามหลักแล้วควรจะสนใจแต่เรื่องภายในอาณาจักรของตัวเอง แต่ตอนนี้อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จะยื่นมือเข้ามายุ่งในอาณาจักรดอว์นกับวูล์ฟฮาร์ท แต่ยังทำอย่างเอิกเกริกจนทุกคนรู้กันหมดด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกอยากรู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไร
“เจ้ามั่นใจเหรอ?” เอิร์ลมองดูแฮกริด “เล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดซิ!”
“ความน่าเชื่อถือของข่าวนี้ไม่มีปัญหาแน่นอนขอรับ ข้าทำการยืนยันมาจากหลายๆ แหล่งข่าวแล้ว” อีกฝ่ายพูดอย่างมั่นใจ “อย่างแรกคือคนที่มาปักหลักอยู่ในภูเขาเคจเมาเธ่นนั้นมาจากเกรย์คาสเซิล การแต่งกายของพวกเขาล้วนแต่เหมือนกัน นี่ต้องเป็นคนที่กองทัพแปลกๆ นั่นส่งมาอย่างไม่ต้องสงสัย อันดับต่อมาคือแต่ละเมืองภายในอาณาจักรดอว์นได้รับคำสั่งให้เกณฑ์นักโทษประหารไปรวมกันที่เคจเมาเธ่น ยิ่งไปกว่านั้นมีคนบอกว่าพวกเขาจะไปทำงานให้กับราชาแห่งเกรย์คาสเซิลขอรับ!”
“เคจเมาเธ่น…นักโทษประหาร…” โรแลนโซ่เดินไปเดินมา จู่ๆ ดวงตาเขาพลันเป็นประกาย “หรือว่าเขามาเพื่อหาเจ้าสิ่งนั้น…”
“เป็นไปได้สูงขอรับ นายท่าน” แฮกริดพยักหน้า “ไม่สิ…ควรจะบอกว่า ใช่แน่นอนขอรับ”
“แต่ทำไมเขาถึงรู้เรื่องนี้ได้?”
“เขารู้ก็ไม่แปลก คนที่ค้นพบโบราณสถานในตอนแรกก็แค่อาศัยโชคของตัวเองเท่านั้น ข้าคิดมาตลอดว่าบางทีโบราณสถานพวกนั้นมันอาจจะไม่ได้ตั้งอยู่โดดๆ หากแต่ก่อนหน้านั้นพวกมันอาจจะมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่างระหว่างกันอยู่ ซึ่งโรแลนด์ก็บังเอิญไปรู้ถึงความลับนั้นก่อนคนอื่นพอดี
ถึงแม้จนถึงท้ายที่สุดทางศาสนจักรจะไม่สามารถหาสาเหตุที่จู่ๆ เจ้าชายลำดับที่สี่ก็แข็งแกร่งขึ้นมาได้ แต่ภายในศาสนจักรต่างก็มีข่าวลือไปต่างๆ นาๆ ถ้าโยนพวกคำพูดไร้สาระอย่างเช่นเขาเป็นพระเจ้าแปลงกายมา หรือเป็นทูตของพวกปีศาจทิ้งไปแล้ว ก็มีคำอธิบายหนึ่งที่หลายๆ คนเชื่อถือกัน นั่นคือเขาได้รับการสืบทอดจากในโบราณสถานซักแห่ง แล้วก็ได้รับพลังที่น่าเหลือเชื่อมา
ถึงแม้สามอัครภิมุขจะไม่เห็นด้วยกับความคิดอันนี้ แต่ก็มีสาวกจำนวนไม่น้อยที่คิดว่ามันเป็นเรื่องจริงๆ ซึ่งโรแลนโซ่เองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะเอาชนะเมืองศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง?
ซึ่งเมื่อพูดถึงภูเขาเคจเมาเธ่น ก็ไม่มีซากโบราณสถานไหนที่จะน่าเหลือเชื่อไปกว่าวิหารต้องสาปแล้ว
ในปีที่กองทัพอาญาสิทธิ์ได้กรีฑาทัพไปบดขยี้อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ท ขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทถ้าไม่สู้ตายก็ยอมแพ้ ถึงราชินีเคลียร์วอเทอร์จะจับมือกับราชาแห่งวูล์ฟฮาร์ทก็ยังไม่อาจหยุดการโจมตีของศาสนจักรได้ ในฐานะที่เป็นอดีตมุขนายกของเกาะอาชดยุค เขาก็ได้มีส่วนร่วมกับงานสนับสนุนและงานเก็บกวาดส่วนใหญ่ด้วย เขาเอาของที่ยึดมาได้ส่งไปแนวหน้าหรือไม่ก็เก็บรวบรวมเอาไว้ และในปฏิบัติการค้นหาของมีค่าในคลิฟริดจ์ครั้งหนึ่ง เขาก็ได้ไปรู้เรื่องเกี่ยวกับตำนานเมื่อร้อยกว่าปีก่อนโดยบังเอิญเข้า
ว่ากันว่ามีชาวนากลุ่มหนึ่งได้แอบขโมยเอาสมบัติออกมาจากในวิหารต้องสาปในเขาเคจเมาเธ่น จากนั้นพวกเขาก็ทยอยตายไปทีละคน สมบัติเองก็ตกมาอยู่ในมือของขุนนางในพื้นที่ บรรพบุรุษของเอิร์ลแห่งคลิฟริดจ์มีความสนใจในเรื่องนี้มาก เขาคิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ทั้งหมดไม่ใช่คำสาป หากแต่มีความเกี่ยวข้องกับของที่เอาออกมาจากในวิหาร ด้วยเหตุนี้หลังจากพยายามอยู่นาน สุดท้ายเขาจึงซื้อสมบัติกลับมาจากอาณาจักรดอว์นได้ส่วนหนึ่ง
หลังใช้ชีวิตคนสิบกว่าคนมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการศึกษามันแล้ว เอิร์ลแก่คนนั้นก็ได้พบกับอะไรบางอย่างที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เจ้าของสิ่งนั้นดูแล้วเหมือนไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่มันกลับปล่อยลำแสงที่ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งผลของมันก็มีความคล้ายกับคำสาปอย่างมาก เขาถึงขนาดเรียกมันว่าอาวุธที่สามารถฆ่าคนได้โดยที่ไม่ทันรู้ตัว!
เพียงแต่ว่าหลังจากใช้ไปได้ไม่กี่ครั้ง มันก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรออกมาอีก เหมือนกับว่าพลังงานในตัวมันถูกใช้ไปจนหมดอย่างไรอย่างนั้น กลายเป็นวัตถุธรรมดาๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ ถึงแม้เอิร์ลแก่จะส่งคนไปเสาะหาที่ชายแดนหลายครั้ง อีกทั้งเขายังเสี่ยงเข้าไปในวิหารด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่เจอวิธีที่จะทำให้มันกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิม ดังนั้นเขาจึงเอาเรื่องราวเหล่านี้จดลงไปในบันทึกของตระกูล โดยหวังว่าคนรุ่นหลังจะหาคำตอบของมันได้ ส่วนของประหลาดชิ้นนั้นก็ถูกสืบทอดต่อๆ กันมาในฐานะของล้ำค่าของตระกูล จนกระทั่งหลังจากนั้นอีกร้อยกว่าปี คลิฟริดจ์ได้ถูกศาสนจักรเอาชนะได้ มันถึงได้เปลี่ยนเจ้าของอีกครั้ง
ตอนนั้นถึงแม้เจ้าของสิ่งนี้จะทำให้โรแลนโซ่รู้สึกสนใจ แต่เรื่องบันทึกของตระกูลบอกเอาไว้ว่ามันใช้การไม่ได้ก็เป็นเรื่องจริงๆ หลังจากลองใช้งานแต่ก็ไม่เป็นผลอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเขาจึงเอาสมบัติเหล่านั้นโยนเข้าไปเก็บไว้ในโกดังเพื่อรอให้เมืองศักดิ์สิทธิ์มาเอามันไปจัดการ
เพราะสิ่งที่เขียนเอาไว้ในบันทึกของตระกูลนั้นไม่แน่ว่าจะเป็นจริงทั้งหมด ขุนนางที่ชอบคุยโวเรื่องสายเลือดของตัวเองที่สืบทอดต่อกันมาอย่างยาวนาน หรือคุยโวว่าตัวเองนั้นร่ำรวยมหาศาลนั้นมีอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด ถ้าทุกคนพูดเรื่องนี้ ศาสนจักรจะสามารถเอาชนะวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ได้ง่ายๆ ขนาดนี้ได้ยังไง
แต่หลังความพ่ายแพ้ในศึกสันเขาโคลด์วินด์ สถานการณ์ของศาสนจักรก็ย่ำแย่ลงอย่างมาก ของที่ยึดมาได้ล้วนแต่ไม่มีใครสนใจ เขาเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท ตอนนี้เมื่อพ่อบ้านพูดขึ้นมา โรแลนโซ่ถึงได้นึกขึ้นมาได้
ถ้าราชาแห่งเกรย์คาสเซิลมาเพื่อค้นหาสมบัติในวิหารต้องสาปจริงๆ อย่างนั้นความน่าเชื่อถือของวัตถุประหลาดนั่นก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เอิร์ลรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา “เจ้าว่าต่อไปซิ!”
“ขอรับ นายท่าน” แฮกริดพูดต่อว่า “สมมติโรแลนด์ วิมเบิลดันได้ข่าวเรื่องสมบัติมาจากโบราณสถานที่อื่นๆ อย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้วิธีใช้งานสมบัตินั้น เผลอๆ เขาอาจจะมีวิธีทำให้มันกลับมาใช้งานได้เหมือนเดิมก็ได้ ถ้าพวกเราสามารถสืบเอาข้อมูลตรงนี้มาได้ อย่างนั้นเราก็จะมีหลักประกันที่มาแทนที่นักรบอาญาสิทธิ์”
ถูกต้อง อาวุธที่สามารถปล่อยคำสาปได้! พลังของมันจะต้องทำให้ขุนนางของวูล์ฟฮาร์ทพากันกลัวจนถอยไปแน่ ส่วนเกาะอาชดยุคก็จะมีเวลาไปหาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เพิ่ม
โรแลนโซ่กระทืบเท้า “ตามข้าไปที่โรงเก็บของ เดี๋ยวนี้เลย!”
“นายท่าน?”
“ข้าต้องไปดูให้แน่ใจว่าของสิ่งนั้นมันยังอยู่บนเกาะอาชดยุค ในเมื่อมันมีความสำคัญขนาดนี้จริงๆ อย่างนั้นเราก็ไม่อาจปล่อยให้ทหารธรรมดาๆ มาเฝ้ามันได้”
….
เพื่อไม่ให้ข่าวแพร่กระจายออกไป โรแลนโซ่จึงพาพ่อบ้านเข้าไปหาสมบัติในโรงเก็บของด้วยตัวเองอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังคลุกฝุ่นอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เจอสมบัติที่ถูกห่อเอาไว้อย่างดีอยู่ตรงมุมๆ หนึ่งของโรงเก็บของ
เอิร์ลเองก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองไม่ได้เรียกบุคคลมที่สามให้มาช่วย
หลังเปิดห่อผ้าออก เขาก็มองเป็นความแตกต่างของ ‘สมบัติ’ ที่ว่า
เมื่อเทียบกับสมบัติอื่นๆ ที่เอาออกมาจากโบราณสถานอย่างเช่นไข่มุกแบล็คเพิร์ล หรือรูปปั้นแกะสลักที่มีความงดงามแล้ว มันดูแล้วเหมือนกับก้อนหินก่อนหนึ่งมากกว่า รูปร่างสี่เหลี่ยม กว้างยาวไม่เกินฝ่ามือ ผิวนอกดูหยาบๆ แม้แต่หินแกรนิตที่ผ่านการขัดมาสองครั้งก็ยังดูเรียบเนียนกว่ามันเลย ถ้าไม่เป็นเพราะหินสีน้ำเงินที่ฝังเป็นลวดลายอยู่บนตัวมันแล้วล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครอยากจะเอามันกลับมาแน่
เอิร์ลแก่ของคลิฟริดจ์คนนั้นก็เคยบอกเอาไว้ในบันทึกของตระกูลว่าในบรรดาสมบัติทั้งหมดที่ซื้อกลับมา มันมีราคาถูกที่สุด
แต่ตอนนี้ลวดลายสี่เหลี่ยมๆ บนก้อนหินกำลังมีไฟสว่างวาบไปมา แสงสีน้ำเงินที่ดูอ่อนโยนไหลจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่งราวกับว่ามันกำลังชี้นำทางอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งสองคนสบตากัน ก่อนจะพากันแสดงสีหน้ายินดีออกมา!
จู่ๆ ก้อนหินที่ไม่มีการตอบสนองใดๆ มาเกือบร้อยปีพลันมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา อีกทั้งคนของโรแลนด์ก็ยังปรากฏตัวขึ้นที่วิหารต้องสาปด้วย ถ้าบอกว่าทั้งสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกันก็ดูจะน่าเหลือเชื่อไปหน่อย
ถ้าบอกว่าคำพูดเมื่อครู่นี้เป็นแค่เพียงการคาดเดา อย่างนั้นหลังจากที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ก็เพิ่มขึ้นกลายเป็น 80 – 90%!
โรแลนด์รู้วิธีในการทำให้มันกลับมาใช้งานได้ใหม่จริงๆ ด้วย!
“เจ้าต้องไปที่เคจเมาเธ่น” โรแลนโซ่เก็บก้อนหินเข้าไปในอกอย่างระมัดระวัง “นอกจากเจ้าแล้ว ข้าไม่ไว้ใจใครอีก เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงหาวิธีใช้เจ้าสมบัตินี่มาได้ก็พอ”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ ขอนายท่านโปรดวางใจได้” แฮกริดเอามือขึ้นมาทาบที่อก
“แล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องระวังให้ดี” เอิร์ลสั่งกำชับ “ห้ามให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ในเมื่อเขาสามารถขยี้ศาสนจักรได้ เช่นนั้นเขาก็สามารถบดขยี้พวกเราได้ง่ายๆ เหมือนมดปลวกเช่นเดียวันกัน เจ้าต้องเก็บความลับนี้ไว้ จนกว่าจะทำให้สมบัตินี้มีพลังที่จะต่อกรกับเขาได้…ชะตาของเกาะอาชดยุคอยู่ในมือของเจ้าแล้วนะ”