Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1059
สองสัปดาห์หลังจากที่ได้รับแจ้งข่าวด่วนจากฌอน แสงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้นที่ดินแดนตะวันตกของเกรย์คาสเซิลอีกครั้ง
เดือนแห่งปีศาจเหมือนจะสิ้นสุดลงแล้ว
นี่น่าจะเป็นเดือนแห่งปีศาจที่สงบที่สุดในรอบหลายร้อยปีเลยก็ว่าได้ ไม่มีทั้งการโจมตีของสัตว์อสูรกับเสียงปืน ที่ราบหิมะนอกกำแพงเมืองดูกว้างใหญ่และราบเรียบ หิมะหนาๆ สะท้อนแสงอาทิตย์เปล่งประกายระยิบระยับ ดูแล้วเหมือนแผ่นกระจกใสๆ
ด้วยเหตุนี้วันฉลองชัยของปีนี้จึงดูคึกคักเป็นพิเศษ
ชาวเมืองจำนวนมากพากันวิ่งเข้าไปในพื้นหิมะที่สูงท่วมเข่า ก่อนจะตักเอาหิมะกลับมาต้มกินเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและรำลึกถึงมัน
แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งเท่านั้นถึงจะรู้ว่าภายใต้ความเงียบสงบนี้ มันยังมีคลื่นที่กำลังไหลเวียนอยู่ใต้น้ำ
ภายในห้องสมุดลับของเมืองชายแดนที่สาม
โรแลนด์ได้รับคำตอบอย่างที่คาดการณ์เอาไว้
‘ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่มีบันทึกถึงเรื่องนี้เลยเพคะ แม้แต่เอกสารโบราณที่อารยธรรมใต้ดินทิ้งเอาไว้ก็เหมือนกันเพคะ’ เซลีนนั่งพิงลงไปบนกำแพงอย่างเหนื่อยล้า ข้างกายเธอเต็มไปด้วยกองบันทึกโบราณ ‘ส่วนบันทึกที่บันทึกเกี่ยวกับดินแดนทางใต้สุดเอาไว้ครั้งแรกก็ประมาณ 860 ปีก่อน โดยมันเป็นเหมือนบันทึกการเดินทางของแม่มดคนหนึ่ง สิ่งที่เขียนบรรยายเอาไว้ก็มีเพียงไม่กี่ประโยค แต่เราสามารถมั่นใจได้ว่าตอนนั้นแหลมเอนด์เลสนั้นเป็นทะเลทรายไปเรียบร้อยแล้ว’
เขาเพิ่งจะเคยเห็น ‘ก้อนเนื้อ’ ดูเหนื่อยล้าขนาดนี้เป็นครั้งแรก น้อยครั้งแม่มดระดับสูงทั้งสามคนจะนั่งลงไปกับพื้น ปกติพวกเธอจะใช้หนวดห้อยตัวเองอยู่บนเพดาน หนวดเล็กบนร่างกายมักจะขยับไปมา แต่ตอนนี้หนวดทั้งร่างกายของอีกฝ่ายกลับห้อยลงตกลงเหมือนกับขนที่ปกคลุมอยู่บนร่างกาย ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับหัวไชเท้าที่พึ่งถูกดึงขึ้นมาจากดินอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าน่าจะพักหน่อยนะ”
‘หม่อมฉันก็อยากเหมือนกันเพคะ แต่ว่าร่างกายมันหยุดไม่ได้’ เซลีนยิ้มแห้งๆ ‘ข้อมูลที่พระองค์ได้มามันน่าตกใจอย่างมากเพคะ เรียกได้ว่ามันทำลายประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสมาพันธ์…ไม่สิ ทำลายประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทั้งหมดของมนุษย์เลยต่างหากเพคะ’
นี่เองก็เป็นสาเหตุของคำตอบที่โรแลนด์คิดเอาไว้ตั้งแต่แรกเหมือนกัน ถ้าหากในยุคสมัยของสมาพันธ์มีการค้นพบเรื่องนี้ เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่พวกนางจะไม่บันทึกอะไรเอาไว้เลย เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสงครามแห่งโชคชะตา ถึงแม้จะปิดเป็นความลับ แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีแม่มดระดับสูงที่รู้เรื่องนี้บ้าง
บางทีเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในภาพวาดบนผนังอาจจะเก่าแก่กว่าที่เขาคิดเอาไว้ ระยะเวลา 860 ปีนั้นเป็นเพียงหลักฐานที่มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนเท่านั้น แต่มันไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านั้นดินแดนทางใต้สุดจะเป็นดินแดนที่เขียวขจี เมื่อดูอย่างนี้แล้ว ตำนานของชาวโมเกนเรื่อง ‘สามเทพ’ กับ ‘สงครามพันปี’ ก็ดูมีความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ในตอนนั้นสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งยังไม่เริ่ม
‘ฝ่าบาท หม่อมฉันต้องขอยอมรับเลยเพคะ’ เธอถอนหายใจออกมา ‘นี่เห็นๆ อยู่ว่าพวกเรามีความคืบหน้าอย่างมาก แต่ทำไมหม่อมฉันกลับรู้สึกสับสนถึงเพียงนี้ไม่รู้เพคะ? มันเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างที่หายไปอย่างไรอย่างนั้นเพคะ’
“นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก’ โรแลนด์พูดปลอบ ‘ยิ่งเราเข้าใจเยอะ เราก็จะยิ่งพบว่าจริงๆ แล้วตัวเองไม่ได้เข้าใจอะไรเลย พอท้ายที่สุด ข้อสงสัยทุกอย่างก็จะถูกแบ่งออกเป็นปัญหาสามข้อ”
‘โอ้? สามข้อไหนเหรอเพคะ?’ พาซาร์ถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ข้าอยู่ไหน ข้ากำลังสู้กับใคร ใครกำลังสู้กับข้า”
‘…….’ ภายในจิตสำนึกเขาเงียบไปทันที
“อะแฮ่มๆ เอาล่ะ ข้าก็แค่อยากให้พวกเจ้าผ่อนคลายนิดหน่อยเท่านั้น” โรแลนด์กระแอม “คำตอบที่แท้จริงน่าจะเป็นข้าคือใคร ข้ามาจากไหน แล้วก็ข้าจะไปที่ไหน”
‘ข้ามาจากไหน….ข้าจะไปที่ไหนอย่างนั้นเหรอ….’ พาซาร์พูดพึมพำขึ้นมา ‘สามคำถามนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นคำถามง่ายๆ แต่ถ้าคิดให้ละเอียด มันกลับตอบได้ไม่ง่ายเลย ขอเพียงเปลี่ยนแปลงมุมมองเพียงเล็กน้อย ก็จะได้รับคำตอบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง’
‘เหอะ นี่เจ้าอ่านหนังสือจนเพี้ยนไปแล้วเหรอ?’ อาลิเธียพูดแทรกขึ้นมา ‘มันตอบยากตรงไหน ข้าคืออาลิเธีย มาจากทาคิลา หลังจากนี้ก็จะกลับทาคิลา…ก็แค่นี้เอง ข้าว่าเจ้าถูกฝ่าบาทขู่ให้กลัวมากกว่า’
‘นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้บ้างครั้งข้ารู้สึกอิจฉาเจ้า’ เซลีนใช้หนวดหลักวางไว้บนหัวอย่างอ่อนแรง ‘บางครั้งในหัวไม่มีอะไรเลยก็ถือเป็นโชคดีเหมือนกัน’
พาซาร์ส่ายหัวยิ้มๆ ‘ขอบพระทัยพระองค์เพคะ นี่ทำให้พวกหม่อมฉันรู้สึกดีขึ้นทีเดียวเพคะ แต่ท่าทีของพระองค์ก็ทำให้พวกหม่อมฉันรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เพคะ ไม่เพียงแต่จะสงบเยือกเย็น แต่ยังคิดถึงความคิดของพวกหม่อมฉันด้วย ราวกับว่าพระองค์ไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้เลยเพคะ’
เพราะสำหรับข้าแล้ว โลกนี้มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนน่ะสิ…โรแลนด์ยิ้มขึ้นมา ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นว่า ‘ในเมื่อเราแน่ใจแล้วว่ามีสงครามแห่งโชคชะตาที่พวกเราไม่รู้เรื่องมาก่อนกับเผ่าพันธุ์ประหลาดอยู่จริง อย่างนั้นเราเปิดประชุมกันดีกว่า ข่าวที่สำคัญขนาดนี้ ทุกคนยิ่งรู้เร็วยิ่งดี”
‘ตามพระบัญชาเพคะ ฝ่าบาท’ พาซาร์โค้งหนวดหลัก
…..
ไม่นานการประชุมภายในก็จัดขึ้นภายในปราสาท ความลับของการประชุมครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นความลับขั้นสุดยอด คนที่ได้รับเชิญมาล้วนแต่เป็นตัวแทนของหน่วยงานใหญ่ของอาณาจักร แม้แต่หัวหน้าของสำนักบริหารก็ยังถูกเชิญมาเข้าร่วมการประชุมด้วย
ในตอนที่โรแลนด์ได้ประกาศการค้นพบที่เหนือความคาดหมายอันนี้ ทุกคนต่างก็ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออก ซึ่งเขาก็ได้ให้เวลาทุกคนสิบนาทีในการคุยกันเรื่องนี้ตามสบาย
สงครามแห่งโชคชะตานั้นไม่ได้เกี่ยวพันแต่กับเฉพาะโชคชะตาของมนุษย์เท่านั้น หากแต่มันอาจจะเป็นเหมือนเรื่องปกติ ‘ที่มีความพิเศษ’ อย่างหนึ่งมากกว่า นี่มันเหนือไปจากที่ทุกคนจะจินตนาการได้ หากเขาไม่พูดเรื่องนี้ออกมาด้วยตัวเอง เกรงว่าคงไม่มีใครที่จะเชื่อเรื่องนี้แน่
เมื่อภายในห้องประชุมเริ่มเงียบลง ทิลลีก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก “ถ้านี่มันเป็นสงครามแห่งโชคชะตาจริงๆ อย่างนั้นผู้ชนะล่ะ? นั่นไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่สัตว์ประหลาดใต้ทะเล ไม่ใช่อารยธรรมใต้ดิน แล้วก็ยิ่งไม่ใช่มนุษย์….ตอนนี้พวกมันไปอยู่ที่ไหนกัน?”
นี่น่าจะเป็นคำถามที่อยู่ในหัวของหลายๆ คน
โรแลนด์มองไปทางพาซาร์ที่อยู่ในลำแสงภาพ อีกฝ่ายพนักหน้าทันที ‘ไม่รู้ว่าพวกท่านยังจำสิ่งที่เขียนอยู่ในบันทึกของอารยธรรมใต้ดินได้หรือไม่ มีบันทึกส่วนหนึ่งที่เขียนเอาไว้ว่าพลังเวทมนตร์จะทำให้เรามีความพิเศษ อีกทั้งการควบคุมพลังเวทมนตร์ก็คือการไล่ตามบันไดที่จะขึ้นไปหาพระเจ้า พวกเราจะสมมติได้ว่าทุกฝ่ายที่เข้าร่วมสงครามแห่งโชคชะตานั้นสามารถใช้พลังเวทมนตร์ได้ อย่างนั้นผู้ชนะก็อาจจะพัฒนาพลังเวทมนตร์ของตัวเองจนไปถึงอีกระดับหนึ่ง แล้วก็ขึ้นไปอยุู่ในที่ๆ พวกเรามองไม่เห็น? อย่างเช่น…โลกบนท้องฟ้า’
นี่คือสมมติฐานที่แม่มดระดับสูงทั้งสามคนพยายามเค้นสมองคิดออกมา ถึงแม้โรแลนด์จะรู้สึกว่ามันยังมีช่องโหว่อยู่อีกมาก แต่มันก็ดีกว่าการที่จะบอกว่า ‘ไม่รู้’
เพราะการไม่รู้นั้นหมายถึงความว่างเปล่า ตามหลักแล้ว ยิ่งอารยธรรมหนึ่งมีความแข็งแกร่ง เวลาที่จะให้พวกเขาได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ก็จะยิ่งนาน บ้านที่สร้างจากเศษดินเศษหญ้าของคนโบราณ ช่วงเวลาพันปีนั้นเพียงพอที่จะทำให้พวกมันสลายกลายเป็นฝุ่นได้ แต่สิ่งก่อสร้างที่เป็นคอนกรีตของเนเวอร์วินเทอร์ ต่อให้ผ่านไปอีกพันปี พวกมันก็ยังจะอยู่แบบนี้ อารยธรรมหนึ่งที่สามารถเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาได้ กลับหายไปหลังจากที่สงครามจบลง คงเหลือไว้เพียงแค่ร่องรอยเล็กๆ น้อยๆ ภายในโบราณสถานที่อยู่อย่างกระจัดกระจาย นี่ทำให้หลายๆ คนพากันจินตนาการเรื่องนี้ไปในทางที่เลวร้าย
ถ้าผู้ชนะไม่สามารถหนีพ้นโชคชะตาที่ต้องสูญพันธุ์ไปได้ เกรงว่าเรื่องนี้คงทำลายขวัญและกำลังใจของทุกคนอย่างมาก
แต่อย่างน้อยสมมติฐานของทาคิลาอันนี้ก็ได้ตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้นมา
“สิ่งที่บันทึกเอาไว้บนภาพฝาผนัง อย่างน้อยๆ มันก็เป็นเรื่องเมื่อ 1,400 ปีก่อนหน้านี้ใช่ไหมเพคะ?” เอดิธส์นิ่งไปเล็กน้อย “อย่างนั้นสงครามที่มนุษย์ได้เจอมาก็ไม่อาจเรียกว่าสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งได้แล้ว”
“ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่การจะไปเปลี่ยนวิธีเรียกอาจจะทำให้คนเกิดความสับสนได้” โรแลนด์ตอบ “ดังนั้นข้าจะเรียกมันว่า ‘สงครามแห่งการหลงทาง’ ไปก่อนแล้วกัน ส่วนเรื่องที่ว่ามันจะเป็นสงครามที่มนุษย์เจอครั้งที่เท่าไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ”
“ฝ่าบาท” บารอฟลังเล “แล้วแผนการรบที่คาดการณ์ว่าจะลงมือหลังเริ่มฤดูใบไม้ผลิล่ะพ่ะย่ะค่ะ…”
“ทำตามแผนที่วางเอาไว้” เขาพูดอย่างไม่ลังเล “ต่อให้สงครามแห่งโชคชะตาจะมีปริศนาที่เรายังไม่เข้าใจอีกเท่าไร พวกเราก็จะเป็นต้องบุก! บางทีตัวสงครามอาจจะเป็นเส้นทางที่ทำให้เราได้เข้าใกล้คำตอบของปริศนาก็ได้ เพราะถ้าเราแพ้ให้กับปีศาจ เราก็จะไม่เหลือความหวังอะไรอีก”
โรแลนด์ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองทุกคนในห้องประชุม แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ ว่า “ครั้งนี้ พวกเราจะกำจัดปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์อย่างสิ้นซาก นี่ก็เพื่อขยายพื้นที่สำหรับการพัฒนาให้กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แล้วก็สร้างฐานรากสำหรับชัยชนะหลังจากนี้ด้วย!”