Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1067
“พระเจ้า นั่นเจ้าจริงๆ ด้วย!”
ในตอนที่ซันฟลาวเวอร์ถือถุงเงินเดินลงมาจากอัฒจันทร์ หูของเธอพลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เธอหันหน้าไป ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “เฮ้ ไทเกอร์คลอว์!”
“ฮ่าๆๆ ไม่เจอกันนานเลยนะ ซันฟลาวเวอร์!” ชายหนุ่มตัวใหญ่กอดเธอเอาไว้ ก่อนจะตบไปที่หลังของเธออย่างแรง “ตอนที่ฝ่าบาททรงประกาศชื่อเจ้าออกมา ข้ายังนึกว่าเป็นคนที่ชื่อซ้ำกันซะอีก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเอาชนะหัวหน้าอัศวินกับท่านแสงอรุณได้ ทำเอาข้ารู้สึกตกใจจริงๆ เดี๋ยวๆ….นี่เจ้าอ้วนขึ้นเหรอ?”
ซันฟลาวเวอร์ผลักเขาออก ก่อนจะต่อยเข้าไปที่หน้าอกของเขาทีหนึ่ง “เงียบไปเลย ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนที่มีแต่หนังกับกระดูกแล้ว แบบนี้ต่างหากถึงจะเรียกว่าปกติ!”
“ไม่ ข้าหมายถึงอ้วนนิดหน่อยก็ดีแล้ว” ไทเกอร์คลอว์ผิวปาก “อย่างน้อยก็ค่อยดูเหมือนผู้หญิงหน่อย” เขากวาดตามองดูซันฟลาวเวอร์อีกรอบหนึ่ง “แต่เอาจริงๆ นะ ตัวเจ้าใหญ่ขึ้นจริงๆ…ตอนที่อยู่บนอัฒจันทร์ข้าไม่แน่ใจเลยว่าใช่เจ้าหรือเปล่า”
“งั้นเหรอ?” เธอยักไหล่ “ก็แค่ผมยาวขึ้นนิดหน่อย กินเยอะขึ้นหน่อยเท่านั้น เจ้าเองก็ตัวใหญ่ขึ้นเหมือนกันนี่”
“ข้าทำงานอยู่ในลานก่อสร้างทุกวันน่ะสิ!” อีกฝ่ายเบ่งกล้ามขึ้นมา
“แฮ่ก…แฮ่ก…ซันฟลาวเวอร์ รอข้าด้วย” ดอนมุดออกมาจากฝูงคนพร้อมกับพูดหายใจหอบ “เอ๋ นี่มันไทเกอร์คลอว์ไม่ใช่เหรอ!”
“เจ้าดูสิ เจ้านี่แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลย ยังผอมเหมือนเดิม” ไทเกอร์คลอว์กอดเขาเอาไว้แน่นเหมือนกัน “อย่าบอกข้านะว่าเจ้าวิ่งมา”
“แค่ก แค่กๆ…เบาหน่อย” ดอนยิ้มแห้งๆ “ข้านั่งรถม้าของขบวนสินค้าของเถ้าแก่มาต่างหาก ถ้าไม่เป็นเพราะซันฟลาวเวอร์บังคับข้ามา ข้าก็ไม่อยากจะมาที่นี่หรอก”
“เจ้าเป็นพ่อค้าแล้วเหรอ?”
“ก็แค่เด็กรับใช้เท่านั้น” เขาเกาหัวอย่างเขินๆ
“เจ้านี่มันอ่านออกเขียนได้” ซันฟลาวเวอร์เบะปาก “ตอนอยู่ในชั้นเรียนก็เรียนได้เร็วกว่าคนอื่น หลังสอบผ่านก็ถูกสมาคมหอการค้าแห่งหนึ่งจ้างไป วันๆ เอาแต่นั่งทำบัญชีอยู่ในห้อง สบายจะตาย”
“อย่างนี้นี่เอง แต่เจ้ามาก็ดีแล้ว ข้าคิดถึงพวกเจ้าจริงๆ” ไทเกอร์คลอว์หัวเราะขึ้นมา “ไป พวกเราไปดื่มฉลองให้ซันฟลาวเวอร์กันที่เนเวอร์วินเทอร์ดีกว่า!”
“ได้มันก็ได้อยู่หรอก แต่ว่า…” ดอนมองซ้ายมองขวา “เขี้ยวงูล่ะ? หรือว่าเขาไม่ได้ลงแข่งด้วย?”
ซันฟลาวเวอร์รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที
ความจริงเธออยากจะถามคำถามนี้แต่แรกแล้ว แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะแสดงออกมากเกินไป ในเวลานี้เธอจึงแกล้งทำเป็นหยอกเหมือนไม่ได้คิดอะไร “คงไม่ใช่ว่าเขาถูกเจ้าทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วกลับบ้านไปก่อนหรอกนะ?”
“เขาน่ะเหรอ…ไปสร้างทางรถไฟอยู่ในป่าเร้นลับโน่น” ไทเกอร์คลอว์ตอบ “ถึงแม้ค่าจ้างจะดี แต่ถ้าไม่ระวังก็อาจต้องเอาชีวิตไปทิ้งก็ได้ แบบนั้นหาเงินได้เยอะแล้วมีประโยชน์อะไร? เมื่อก่อนแม้แต่ท่อน้ำก็ยังเคยอยู่มาแล้วเลย ตอนนี้มีบ้านให้อยู่กลับไม่พอใจ บอกว่าจะเอาบ้านสองห้องอะไรนั่น ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”
เพราะว่านั้นมันเป็นที่อยู่อันแสนอบอุ่นสำหรับครอบครัว ไม่ใช่แค่ที่ๆ เอาไว้หลบลมหลบฝนน่ะสิ ซันฟลาวเวอร์คิดในใจอย่างเจ็บปวด “ก็เพื่อเปเปอร์น่ะสิ”
“เปเปอร์?” ไทเกอร์คลอว์พูดงงๆ
“เฮ้ อย่าบอกนะว่าแม้แต่เปเปอร์เจ้าก็ลืมไปแล้ว” ดอนกระทุ้งเขาไปทีหนึ่ง “นางเป็นเพื่อนของเรานะ”
“ข้ารู้ แต่เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับนาง?” ไทเกอร์คลอว์พูดอย่างงุนงง “ตอนนี้เปเปอร์เข้าไปอยู่ในสโมสรแม่มด นางพักอยู่ในเขตปราสาท ไม่มีความจำเป็นต้องให้เราซื้อบ้านให้นี่นา ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเขี้ยวงูนี่ก็แปลก มีโอกาสได้เจอเปเปอร์ตั้งหลายครั้ง แต่กลับไม่กล้าเข้าไปทักนาง แถมยังลากข้าไปหลบด้วย จนถึงตอนนี้นางยังไม่รู้เลยว่าพวกเรามาที่นี่แล้ว”
“อะไรนะ?” ซันฟลาวเวอร์ตกตะลึง “หรือว่าที่ผ่านมาสองปีกว่า พวกเจ้าไม่เคยไปเจอเปเปอร์เลย?”
ไทเกอร์คลอว์ส่ายหัวอย่างจนปัญญา
“พรืด….ฮ๋าๆๆๆๆ” ซันฟลาวเวอร์หัวเราะลั่น “เขานี่มันซื่อบื้อจริงๆ!” ไม่รู้ทำไม เธอพลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา แม้แต่เท้าก็รู้สึกเบาขึ้นกว่าเดิม
“ซันฟลาวเวอร์ เบาๆ หน่อย” ดอนรีบพูดขึ้นมา “คนอื่นกำลังมองเราอยู่นะ”
แต่ซันฟลาวเวอร์ก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เธอกลับโบกไม้โบกมือให้กับคนอื่นที่เดินอยู่ คนชาวบ้านเหล่านั้นก็พากันส่งยิ้มให้เธอ
ผู้คนต่างมองว่าเธอเป็นสาวน้อยแชมเปี้ยน
“มีชื่อเสียงนี่มันดีจริงๆ…” ไทเกอร์คลอว์อุทานออกมา “เมื่อสองปีก่อน ข้านึกไม่ออกเลยว่าเราจะมีวันนี้ได้”
“เทียบกับชื่อเสียงแล้ว เงิน 100 เหรียญทองนี่ต่างหากที่สำคัญกว่า” ดอนมีมุมมองที่ต่างออกไป “ถ้าเอามันมาทำการค้าล่ะก็ รายได้ต้องดีกว่าไปทำงานแน่ ต่อให้เราทำอะไรไม่เป็น เราก็ยังหาหอการค้าร่วมลงทุนก็ได้ ถ้าเกิดทุกอย่างไปได้ดี เราก็นอนรอรับเงินได้เลย”
“ไม่ ข้าจะซื้อบ้าน” ซันฟลาวเวอร์พูดตัดบท “ที่เมืงชายแดน”
“เอ๋?” ดอนงุนงง “แต่โอกาสแบบนี้มันไม่ได้หาง่ายๆ นะ! ถ้าเกิดเราเริ่มทำจากศูนย์ เจ้ารู้ไหมว่าต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะเก็บเงินได้ 100 เหรียญทอง!”
“ข้ารู้ แต่ข้าตัดสินใจแล้ว” ซันฟลาวเวอร์ตอบอย่างไม่ลังเล
“แล้วงานของเจ้าจะทำยังไง?”
“ดังนั้นข้าจะซื้อจักรยานอีกคันหนึ่ง” เธอพูดสิ่งที่เธอคิดออกมาว่า “เจ้าก็เห็นแล้วนี่นา เจ้าจักรยานนั้นขี่แล้วสบายแค่ไหน ถ้ามีจักรยาน ภายในวันเดียว…ไม่สิ ภายในช่วงเช้าข้าก็ไปถึงเขตลองซองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นจดหมายที่ส่งระหว่างสองที่ก็มีจำนวนเยอะมากด้วย ไม่แน่ข้าอาจจะได้เงินเยอะขึ้นก็ได้”
“เจ้า…” ดอนมองเธออยู่นาน สุดท้ายถึงถอนใจออกมาเหมือนยอมแพ้ “แล้วแต่เจ้าล่ะกัน ยังไงซะข้าก็ไม่เคยพูดกล่อมเจ้าได้อยู่แล้ว”
ซันฟลาวเวอร์ยิ้มขึ้นมา แต่ภายในใจกลับนึกย้อนไปถึงเมื่อสองปีก่อน
นั่นคือวันจากลา
ทั้งสี่คนยืนอยู่ที่ท่าเรือ เธอเคยถามเขี้ยวงูว่า ‘พวกเจ้าจะกลับมาไหม’ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่าชาตินี้เธอคงจะไม่ได้เจออีกฝ่ายแล้ว
เมืองชายแดนกับป้อมปราการลองซองอยู่ไกลกันขนาดนี้ ต่อให้รวมกันเป็นเมืองเดียว เธอก็ยังมองว่ามันไกลกันอย่างมากอยู่ดี
เพราะที่ๆ ไกลที่สุดที่พวกเขาเคยได้ก็คือกองขนะที่อยู่นอกเมืองลองซอง
เมืองชายแดน ในความคิดเธอนั้นคือสถานที่ที่ไกลจนไม่อาจไปถึงได้
แต่ด้วยความเย้ายวนของเงินรางวัลจากการแข่งขัน ซันฟลาวเวอร์ถึงได้ก้าวเข้ามาเหยียบบนถนนหลวงของอาณาจักรเป็นครั้งแรก และเพื่อที่จะสร้างความกล้าให้ตัวเอง เธอยังได้บังคับให้ดอนมาด้วย
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าระยะห่างระหว่างสองที่นั้นได้เปลี่ยนแปลงความเชื่อที่มีอยู่เดิมของเธอไป เมื่อเทียบกับการคว้าอันดับหนึ่งมาแล้ว สิ่งที่ทำให้ซันฟลาวเวอร์รู้สึกแปลกใจมากกว่าก็คือที่แท้เธอไม่ได้อยู่ไกลจากเขี้ยวงูเหมือนอย่างที่เธอคิดเอาไว้เลย ไม่มีทั้งทางภูเขาที่ต้องเดินอ้อม แล้วก็ไม่มีถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ถนนหินสีดำให้เชื่อมต่อระหว่างสองที่เป็นเส้นตรง นี่เป็นครั้งแรกของเธอที่คิดว่านี่ต่างหากถึงจะเป็นเมืองอย่างแท้จริง
ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วทำไมเธอยังต้องรอให้อีกฝ่ายกลับมาล่ะ?
แค่ตัวเองไปหาอีกฝ่ายก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?
ก็เหมือนกับที่ฝ่าบาทตรัสเอาไว้
คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ บางทีอาจจะเป็นโซ่ตรวนที่เอาไว้ให้เราทำลาย ถ้าไม่ลองดู แล้วจะรู้ได้ยังไงว่ามันใช่ปาฏิหาริย์หรือเปล่า?
“ไปหาร้านเหล้ากัน ข้าเลี้ยงพวกเจ้าเอง” ซันฟลาวเวอร์ตบถุงเงิน
“โว้ว!” ไทเกอร์คลอวกำหมัดแน่น “เสียดายที่เจ้าเขี้ยวงูมันไม่มาสนุกกับเราด้วย”
“อย่าลืมกลับไปเก็บเงินที่โรงแรมก่อน” ดอนพูดเตือน เอาไปแค่ 4 – 5 เหรียญทองก็พอแล้ว!”
“รู้แล้วน่า” ซันฟลาวเวอร์พูดยิ้มๆ
เธอไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วผลมันจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เธอก็อยากจะลองดู
เพราะเธอชื่นชอบความรู้สึกที่ได้ไล่ตามปาฏิหาริย์แบบนี้แล้ว