Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1088 เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
“ท่านเอดิธส์….” เฟร์รานพูดเตือนขึ้นมา “ทหารเสียชีวิตไปตั้ง 200 กว่าคนเลยนะขอรับ ชัยชนะอะไรกัน…”
“แค่ 200 กว่าคน….เท่านั้น” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือพูดตัดบทอีกฝ่าย “แล้วปีศาจล่ะ? พวกที่บุกเข้ามาในค่ายมีประมาณ 50 ตัว รวมไปถึงปีศาจระดับสูงตัวนึงด้วย การตายของกองทัพที่หนึ่งล้วนแต่เป็นฝีมือพวกมัน ดูเผินๆ แล้วเหมือนพวกเราจะเสียเปรียบอย่างมาก แต่กองกำลังหลักของพวกศัตรูที่ตายอยู่ตรงแนวป้องกันอย่างต่ำๆ ก็มีมากกว่า 2,000 ตัว แถมนี่ยังเป็นแค่การประเมิณคร่าวๆ มันยังมีพวกปีศาจที่ถูกระเบิดจนเป็นชิ้นๆ ระหว่างหนีอีก ต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าจะรวบรวมตัวเลขที่แท้จริงออกมาได้ ข้าพูดถูกใช่ไหม คุณหนูซิลเวีย?”
“เอ่อ…” ซิลเวียลังเลเล็กน้อย “ศพของพวกศัตรูที่ดวงตาแห่งเวทมนตร์มองเห็นน่าจะประมาณนี้เหมือนกัน”
“เลดี้อกาธา ข้าเดาว่าเมื่อ 400 ปีก่อน ท่านไม่เคยสั่งการในสงคราม แล้วก็ไม่เคยเข้าร่วมสงครามด้วยตัวเองใช่ไหม?” เอดิธส์มองไปทางแม่มดน้ำแข็ง
อีกฝ่ายขมวดคิ้วขึ้นมา “ช่วงเวลาที่มีสงครามแห่งโ๙คชะตา การต่อสู้กับปีศาจเป็นวิชาบังคับที่แม่มดทุกคนในสมาพันธ์ต้องเรียน ถึงแม้เมื่อก่อนข้าจะเป็นนักวิจัยอยู่ในสถาบันค้นคว้าศาสตร์ลึกลับ แต่ข้าก็เคยสู้กับศัตรูระหว่างทางที่ไปค้นหาซากโบราณสถาน…”
“ข้าหมายถึงสงคราม” เอดิธส์โน้มวตัวลงมาเล็กน้อย สีหน้าดูดุร้าย
“เอดิธส์…” ขวานเหล็กพูดเตือน
“ทำไม?” จู่ๆ อันนาพลันถามขึ้นมา การเข้ามาของเธอทำให้ความสนใจของทุกคนถูกดึงกลับมาอีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนี้ จากที่ข้ารู้มา ตอนที่เจ้าเป็นหัวหน้าอัศวินอยู่ที่ดินแดนทางเหนือ เจ้าก็ไม่เคยทำศึกใหญ่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ถ้าเป็นคนอื่นถามคำถามนี้ขึ้นมาคงไม่ต่างกับการราดน้ำมันลงไปบนกองเพลิงแน่ แต่พอคำพูดนี้ออกมาจากปากอันนา ทุกคนกลับรู้สึกใจเย็นอย่างน่าประหลาด ดูเหมือนทุกคนไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะโต้เถียงอะไรกันเลย
น่าจะเป็นเพราะดวงตาที่ใสบริสุทธิ์และจริงจังของอันนาที่ทำให้ทุกคนคิดอะไรอย่างอื่นไม่ออก
เอดิธส์ทำสีหน้ากลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเอามือขึ้นมาทาบที่หน้าอกแล้วพูดว่า “พระองค์ตรัสถูกต้องเพคะ หม่อมฉันไม่เคยเข้าร่วมรบศึกใหญ่ แต่ที่นี่มีคนที่เคยอยู่…” เธอชะงักไปเล็กน้อย “เมื่อดูจากสีหน้าของนางแล้ว ทุกคนก็จะรู้เองว่าผลการรบครั้งนี้มันเป็นอย่างไร”
นาง?
ทุกคนมองตามสายตาไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือไป ตรงหัวมุมของโต๊ะยาว ฟิลลิสซึ่งเป็นตัวแทนของทางทาคิลากำลังยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยสีหน้าเหม่อลอย เธอยิ้มมุมปาก ในดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ประเดี๋ยวก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง เหมือนกำลังลิ้มรสชาติอันหอมหวานของเครื่องดื่มอยู่ สำหรับแม่มดทาคิลาแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่พบเห็นได้บ่อยนัก พวกเธอที่สูญเสียประสาทการรับรสไป กินอาหารเพียงแค่เพื่อความอยู่รอดเท่านั้น ปกติแทบจะไม่เคยเห็นพวกเธอทำสีหน้าดื่มด่ำแบบนี้เลย
ในเวลานี้ทุกคนถึงได้สังเกตเห็นว่าเมื่อครู่นี้ทุกคนกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด แต่ความสนใจของฟิลลิสกลับไม่ได้อยู่ที่การประชุมเลย ขนาดตอนนี้กลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน เธอก็ยังใจลอยอยู่
กระทั่งเวนดี้ที่อยู่ข้างๆ ดันเธอเบาๆ ฟิลลิสถึงได้สติกลับมา
“โอ้? พวกท่านคุยกันถึงไหนแล้ว?” แม่มดอาญาสิทธิ์กระแอมเล็กน้อย “เมื่อกี้ข้ากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างอยู่ ก็เลยไม่ได้ฟังที่ทุกคนคุยกัน ทำไมเหรอ ฝ่าบาทมีทรงมีอะไรอยากจะถามหม่อมฉันหรือเปล่าเพคะ?”
“….” ทุกคนเงียบไปทันที
เห็นๆ อยู่ว่ากำลังเหม่อ แต่กลับบอกทุกคนได้หน้าตาเฉยว่ากำลังคิดเรื่องสำคัญอยู่ ที่แท้แม่มดโบราณเมื่อ 400 กว่าปีก่อนก็มีเรื่องบางเรื่องที่คล้ายกับคนในยุคสมัยนี้เหมือนกัน
“พรึด”
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหัวเราะออกมาก่อน หลังจากนั้นทุกคนก็พากันหัวเราะตามออกมา บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องประชุมพลันหายไปไม่น้อย
“ดูเหมือนข้าคงไม่ต้องถามแล้ว” อันนาส่ายหน้ายิ้มๆ
เอดิธส์ลุกขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ “ฝ่ายที่เสียหายมากกว่าคือปีศาจ ฝ่ายที่วิ่งหนีไปก็คือปีศาจ ส่วนพวกเรายังยืนอยู่ตรงนี้ สถานีหมายเลขหนึ่งก็ยังปลอดภัยดี แล้วจะบอกว่าเราแพ้ได้ยังไงล่ะ? ฝ่าบาทโรแลนด์เคยตรัสกับข้าเอาไว้ว่าสิ่งที่เป็นตัวชี้วัดแพ้ชนะก็คือการทำเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เป็นจริงได้หรือไม่ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่สามารถทำสิ่งที่พวกมันต้องการให้เป็นจริงได้ นอกจากนี้ข้ายังกล้าพูดเลยว่าผู้บัญชาการของพวกปีศาจได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์”
“ผิด…พลาด?” ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต่างรู้สึกแปลกใจ การลอบโจมตีในครั้งนี้เรียกได้ว่ามีรายละเอียดเยอะแยะมากมายให้ครุ่นคิด ถือได้ว่าเป็นการซุ่มโจมตีที่ประสบผลสำเร็จอย่างมาก ไม่ว่าดูยังไงก็ไม่เหมือนเป็นความผิดพลาดเลย ทุกคนต่างรู้ดีว่าปีศาจนั้นสามารถวิเคราะห์และวางแผนเพื่อรับมือกับพลังเวทมนตร์ได้อย่างแม่นยำ เพราะพวกมันทำสงครามกับพลังเวทมนตร์มาเป็นเวลาเกือบพันปีแล้ว แต่นี่พวกมันกลับสามารถวางแผนรับมือกับอาวุธปืนได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้พวกปีศาจไม่เคยเห็นอาวุธปืนมาก่อนเลย การต่อสู้แบบจริงจังก็มีแค่ศึกที่นอร์ธบาวด์ก่อนหน้านี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ถึงแม้จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ แต่ในใจทุกคนก็เกิดความรู้สึกหวาดกลัวต่อปีศาจขึ้นมา พวกมันไม่เหมือนกับศัตรูอื่นๆ ที่พวกเขาเคยเจอมา ถึงแม้เผ่าพันธุ์มนุษย์จะค่อยพ่ายแพ้อย่างราบคาบบนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ อาณาจักรแม่มดถูกทำลายย่อยยับ แต่นั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ประวัติศาสตร์นั้นคือสิ่งที่บิดเบือนและจางหายไปตามกาลเวลา มันไม่สามารถทำให้ผู้คนเข้าใจและรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานั้นแบบตรงๆ ได้
จนกระทั่งสงครามครั้งนี้เกิดขึ้น ทุกคนถึงได้สัมผัสกับมุมๆ หนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุมของประวัติศาสตร์
พวกมันไม่ใช่สิ่งที่พวกสัตว์อสูรที่วิ่งเพ่นพ่านไปมาบนแผ่นดินรกร้างจะเทียบได้เลย
ถ้าโยนพลังเวทมนตร์กับร่างกายที่แข็งแกร่งทิ้งไป พวกมันก็คือเป็น ‘อารยธรรม’ ที่มีสติปัญญาสูงมาก
มันรู้เรื่องราวทุกอย่าง….ไม่เว้นแม้กระทั่งมนุษย์
ในตอนที่ข้ออ้างที่ว่า ‘เป็นเพราะปีศาจได้รับกำลังและพลังเวทมนตร์มาจากพระเจ้า ถ้าปีศาจไม่มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็ไม่มีทางหวาดกลัวเผ่าพันธุ์ป่าเถื่อนพวกนี้’ ถูกฉีกทำลายลง ในตอนที่มนุษย์พบว่าหัวสมองที่มนุษย์ภาคภูมิใจไม่อาจสู้อีกฝ่ายได้ ความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไม่ใช่สิ่งที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มสงสัยในตัวเอง แล้วก็มีบางคนที่ครุ่นคิดถึงถึงปัญหาของทางฝั่งปีศาจขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ในตอนที่ได้ยินเอดิธส์พูดแบบนี้ขึ้นมา ทุกคนจึงอดรู้สึกสงสัยขึ้นมาไม่ได้
“ผิดพลาดตรงไหนเหรอ?” อันนาถามขึ้นมาทันที
“ผิดตรงที่หยิ่งผยองเกินไปเพคะ ฝ่าบาท” เอดิธส์ตอบเสียงหนักแน่น “พวกมันคิดจะสร้างความวุ่นวาย พยายามยึดแนวยิงปืนใหญ่ แล้วก็ใช้กองทัพเข้ามาบดขยี้….ถ้าพวกเราเป็นกองทัพอัศวินหรือเป็นกองทัพสมัยโบราณ พวกเราคงจะพังพินาศไปแล้ว แต่กองทัพที่หนึ่งนั้นไม่ได้เป็นแบบนั้น พวกมันมองเห็นแค่การเปลี่ยนแปลงของอาวุธ แต่กลับมองข้ามการเปลี่ยนแปลงของคนไป นี่คือความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดของศัตรู!”
ทุกคนตกตะลึงทันที
“ตั้งแต่เริ่มโจมตีจนกระทั่งหนีไป ปีศาจที่พวกมันส่งเข้ามามีแค่ 50 กว่าตัว นี่หมายความว่าสำหรับพวกมันแล้ว แผนโจมตีอันใหม่นี้ถือว่าทำได้ค่อนข้างยากลำบากเหมือนกัน พวกมันควรจะพยายามส่งปีศาจทั้งหมดเข้ามาพร้อมกันเพื่อที่จะสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุดมากกว่า แต่พวกมันกลับทำยังไงล่ะ? พวกมันส่งปีศาจ 50 ตัวกระจายไปยัง 4 พื้นที่ ได้แก่ที่พักทหาร หลุมเพลาะสองเส้น แล้วก็แนวยิงปืนใหญ่” เอดิธส์พูดช้าๆ ชัดๆ “ผู้บัญชาการของพวกปีศาจนั้นไม่ได้โง่แน่นอน อย่างนั้นสาเหตุที่มันสั่งการแบบนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจน พวกมันคิดว่าขอเพียงส่งปีศาจเข้ามา 10 กว่านั้นก็จะสามารถเล่นงานมนุษย์ได้ การดูถูกศัตรูอย่างเปิดเผยเช่นนี้ไม่เรียกว่าหยิ่งผยองหรอกเหรอเพคะ?”
อันนาเข้าใจความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายทันที เธอกำมือแน่นขึ้นมา “ถ้าพวกมันไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้…ถ้าพวกมันมองมนุษย์เป็นศัตรูที่เท่าเทียมกับพวกมัน…”
“อย่างนั้นพวกมันคงจะไม่ส่งปีศาจเข้ามาแค่ 50 ตัว หากแต่จะทุ่มกำลังอย่างเต็มที่เพื่อบดขยี้พวกเราเพคะ” เอดิธส์พยักหน้าพร้อมพูดอย่างมั่นใจ “สมมติว่าศัตรูส่งปีศาจทั้ง 50 ตัวเข้าไปในที่พักทหาร อีกทั้งในนั้นยังมีปีศาจระดับสูงอยู่อีกตัวหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ให้กองทัพหลักรอคอยอยู่ข้างนอกไม่เคลื่อนไหว ส่วนปีศาจแมงมุมโจมตีเสร็จแล้วก็ถอยไป สถานการณ์มันจะกลายเป็นอย่างไร?”
อันนารู้สึกแผ่นหลังเย็นยะเยือกขึ้นมา
ที่เสียทหารไปแค่ 200 กว่าคนเป็นเพราะศัตรูแยกกันลงมือ บวกกับการต่อสู้แบบผลัดกันรุกผลัดกันรับเพื่อชิงพื้นที่ช่วยซื้อเวลาให้กับกองทัพที่หนึ่ง ถ้าศัตรูทุ่มกำลังทั้งหมดที่มีตั้งแต่แรกและยอมสังเวยปีศาจระดับสูงซักตัวหนึ่งเพื่อแลกกับการฆ่าล้างมนุษย์ อย่างนั้นจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตายคงจะมากขึ้นกว่านี้อีกหลายเท่าแน่นอน….
“ทหารเราอาจจะตาย 500, 1,000….หรือว่า 2,000? แน่นอน สุดท้ายพวกมันก็ต้องถูกพวกเราบดขยี้ สถานีที่หนึ่งก็ยังอยู่รอดปลอดภัย แต่มันก็ยากที่จะบอกได้เหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วฝั่งไหนจะชนะ” เอดิธส์ผายมือ “แค่ที่น่าเสียดายก็คือความหยิ่งผยองทำให้พวกมันพลาดโอกาสนี้ไป แล้วก็ทำให้กองทัพที่หนึ่งได้เรียนรู้อะไรอีกหลายๆ อย่างด้วย อย่างเช่นบ้านพักทหารต้องทหารเอาไว้ใต้ดิน หลังคานอกจากจะต้องป้องกันเข็มหินได้แล้ว มันยังต้องทนต่อแรงสั่นสะเทือนจากการโจมตีของปืนใหญ่และปืนกลด้วย ถ้าศัตรูไม่ทำผิดพลาดแบบนี้ พวกเราก็คงไม่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ได้โดยจ่ายค่าตอบแทนไปเพียงเล็กน้อยขนาดนี้ไม่ใช่เหรอ?” เธอชะงักไปเล็กน้อย “สรุปแล้วก็คือสงครามนี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น สหายทุกท่าน”
……………………………………………………………………….