Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1098 ผู้ปกป้อง
กระทั่งทุกคนพากันแยกย้ายไปหมดแล้ว ชายแก่จึงเดินไปขึ้นรถไฟ ไลต์นิ่งบินตามเข้าไปทางหน้าต่างด้านหลังห้องคนขับ ก่อนจะเข้าไปด้านในอย่างเงียบๆ
ชายแก่ยืนอยู่หน้าแท่นบังคับพร้อมกับก้มหน้ามองดูของที่อยู่ในมือ ร่างกายเขายืนนิ่งราวกับรูปปั้นแกะสลัก
ไลต์นิ่งอยากจะพูดปลอบอีกฝ่าย แต่เธอกลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมา
ในขณะที่เธอลังเล เธอพลันไปชนถูกบานหน้าต่างที่แง้มเอาไว้อยู่ อีกฝ่ายถึงได้รู้ว่าเธอเข้ามาภายในห้องควบคุม
“เจ้าคือสาวน้อยในวันนั้นนั่นเอง…” ชายแก่กะพริบตาอย่างแปลกใจ
“ข้าชื่อไลต์นิ่ง” ไลต์นิ่งถอยหลังไปก้าวนึง “ขอโทษ ข้า…”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าจะมาปลอบข้าใช่ไหม?” จู่ๆ เขาพลันยิ้มขึ้นมา “เฮ้อ จริงๆ เลยเชียว ข้าจะไม่แก่ถึงขนาดต้องให้เด็กผู้หญิงมาปลอบซักหน่อย ขายหน้าจริงๆ แต่ว่าความพลังของแม่มดนี่มันสะดวกจริงๆ เลยเนอะ อยากจะไปไหนก็ไปได้อย่างอิสระ”
สีหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้ดูเศร้าเหมือนอย่างที่ไลต์นิ่งคิดเอาไว้ นี่ทำให้เธอรู้สึกเบาใจขึ้นมาหน่อย “ข้า ครั้งหน้าข้าจะเคาะประตูก่อน”
“ข้าไม่ได้โทษเจ้า หนูน้อย” ชายแก่เอาโต๊ะที่แขวนอยู่บนผนังออกมากางออก ก่อนจะใช้แขนเสื้อเช็ดทำความสะอาด “มา นั่งตรงนี้ก่อนนี้ เดี๋ยวข้าไปเอาชามาให้เจ้า ที่นี่็ก็มีแต่ชาเนี่ยแหละที่ใช้รับแขกได้”
“ขะ…ขอบคุณ” ไลต์นิ่งเดินเข้าไปนั่งอย่างช้าๆ เมื่อเข้าไปใกล้เธอถึงได้พบว่าสิ่งที่วางอยู่บนแท่นควบคุมคือบัตรประชาชนของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ใบหนึ่ง
“ข้าชื่อบรูเชอร์ หรือไม่เจ้าจะเรียกฉายาของข้าก็ได้ มิสเตอร์ฮาวเลอร์ พวกเด็กๆ บนรถไฟมันเรียกข้าแบบนี้ทั้งนั้น” ชายแก่ยกชาร้อนๆ มาแก้วหนึ่ง “เมื่อกี้เจ้าก็ไปเข้าร่วมงานศพด้วยเหรอ?”
ไลต์นิ่งพยักหน้า จากนั้นจึงส่ายหัว “ข้าบินผ่านมา ก็เลยแวะลงไปดู…”
“อย่างนั้นก็แสดงว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียเพื่อน นี่ถือเป็นข่าวดีทีเดียวนะเนี่ย”
“เธอกำถ้วยชาไว้แน่น “ลูกชายของคุณลุง…”
“อ้อ เขาชื่อโรแบร์โต เป็นลูกชายคนที่สาม เขาตายตอนที่สู้กับปีศาจเพื่อยึดเอาแนวยิงปืนใหญ่กลับมา” บรูเชอร์พูดอย่างใจเย็น “หัวหน้าหน่วยบอกว่าเขากล้าหาญมาก”
“เขากล้าหาญจริงๆ” ไลต์นิ่งพูดเสียงเบาๆ ซิลเวียเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เธอฟัง ในตอนที่ความช่วยเหลือจากกองหนุนและแม่มดอาญาสิทธิ์ยังมาไม่ถึง เขาออกไปสู้กับพวกปีศาจที่ปาหอกกระดูกมา ถ้าไม่มีความกล้ามากพอก็คงไม่มีทางที่กล้าออกไปเผชิญหน้ากับพวกมันแน่”
“ความจริงเมื่อก่อนเจ้าสามเคยเป็นคนที่ขี้ขลาดที่สุด ตอนที่ทำงานอยู่ในเหมือน ไม่ว่าหัวหน้าจะรังแกเขายังไง เขาก็ไม่กล้าที่จะตอบโต้กลับไปเลย ทุกครั้งเขาต้องกลับมาร้องไห้ให้ข้าฟัง” บรูเชอร์ทอดถอนใจออกมา “เจ้าคงรู้สึกแปลกใจใช่ไหมว่าทำไมข้าถึงดูไม่ได้เศร้าสร้อยเลย?”
สาวน้อยพูดไม่ออกไปทันที “ไม่ ข้า…”
“ไม่เป็นไร” ชายแก่พูดปลอบ “เพราะข้ารู้ว่าช้าเร็ววันนี้มันก็ต้องมาถึง…ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสามหรือลูกชายอีกสองคน พวกเขาต่างก็เคยพูดกับข้าเอาไว้เหมือนกัน”
“พวกเขา…พูดว่าอะไรเหรอ?”
“พวกเขาบอกว่าพวกเขาอยากจะปกป้องเมืองเนเวอร์วินเทอร์ อยากจะปกป้องบ้านเกิด อยากจะปกป้องทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้มาอย่างยากลำบาก” ชายแก่จิบชาเข้าไปคำหนึ่ง “บอกตามตรง ตอนนั้นข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แถมยังถามพวกเขากลับไปว่าทำไมต้องเป็นพวกเขา ทำไมถึงไม่เป็นคนอื่น
ภายในใจไลต์นิ่งเองก็กำลังถามว่าทำไมเหมือนกัน
บรูเชอร์เหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอ “พวกเขาตอบว่า เพราะคนอื่นเสียสละไปแล้ว”
“นับตั้งแต่ที่กองทหารชาวบ้านเริ่มสู้กับพวกสัตว์อสูร ก็มีคนที่ต้องตายในการต่อสู้อยู่ตลอด ตอนที่สู้กับดยุคไรอันก็เป็นเช่นนี้ ตอนที่สู้กับศาสนจักรที่บุกเข้ามาก็เป็นเช่นนี้ ถ้าทุกคนต่างคิดว่าทำไมถึงต้องเป็นตัวเอง ทำไมไม่เป็นคนอื่น เกรงว่าพวกเราต้องนี้ก็คงยังอยู่ในเหมือง แล้วก็ใช้ชีวิตเหมือนวัวเหมือนควายอย่างนั้น” ชายแก่พูด “เมื่อมีสงครามมันก็ต้องมีคนเสียสละ เมื่อถึงตาใครมันก็ต้องเป็นคนนั้น ถ้าทุกคนไม่ยอมออกไป แล้วจะไปรบได้ยังไง สุดท้ายคงได้แต่รอให้ศัตรูมันมาฆ่าพวกเราเท่านั้น นี่คือคำพูดที่พวกเขาพูดกับข้า”
“ข้าไม่รู้ว่าความคิดของลูกทั้งสามคนของข้าถูกหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่ข้ามั่นใจได้ นั่นคือพวกเขาเป็นคนตัดสินใจที่จะทำมันด้วยตัวเอง” เขาสูดหายใจลึกๆ “พวกเด็กๆ เติบโตกันหมดแล้ว สำหรับข้าแล้ว แค่พวกเขาได้เดินไปเส้นทางที่ถูกต้องที่ตัวเองเชื่อ แค่นั้นก็ถือว่าดีมากแล้ว เมื่อเทียบกับลูกชายคนโตที่ตายในลมหนาว ชื่อของเจ้าสามจะถูกกองทัพจดจำเอาไว้ตลอด ข้ายังมีอะไรให้ต้องเสียใจอีกล่ะ?”
ภายในหัวไลต์นิ่งมีคำพูดของอีกฝ่ายในคืนวันนั้นผุดขึ้นมา “เมื่อก่อนพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนกับพวกโจรใต้ดิน ทั้งผอมทั้งอ่อนแอ แต่ว่าหลังจากที่เข้าไปในอยู่ในกองทัพ พวกเขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าเชื่อมันในกองทัพที่หนึ่งอย่างมาก กองทัพที่ประกอบขึ้นมาจากคนเหล่านี้จะไปแพ้ให้กับศัตรูง่ายๆ ได้ยังไง’
อย่างนี้นี่เอง….
“เออใช่ ข้ายังต้องขอบคุณเจ้าด้วยนะ”
“ขอบคุณ..ข้า?” ไลต์นิ่งงุนงง
“ใช่” ชายแก่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “ถ้าเจ้าไม่มาแจ้งเตือนได้ทันเวลา ในค่ายคงจะเสียหายมากกว่านี้ ในอีกแง่หนึ่งมันก็หมายความว่าเจ้าเองก็ปกป้องกองทัพที่หนึ่งกับลูกชายอีกคนของข้าเอาไว้ ข้ากำลังคิดอยู่เลยว่าจะได้เจอเจ้าอีกเมื่อไร บางทีอาจจะไม่ได้เจออีกแล้วก็ได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมายืนอยู่ข้างหลังข้าแบบนี้ ได้พูดขอบคุณต่อหน้านี่มันดีจริงๆ เลยนะ”
หลังดื่มชาเสร็จ ไลต์นิ่งก็โบกมือลาชายแก่
เธอบินออกไปทางเก่า ในขณะที่บินผ่านด้านหน้าตู้โดยสาร เธอมองเห็นชายแก่กลับไปยืนอยู่ตรงหน้าแท่นควบคุมใหม่ พร้อมกับกำบัตรประชาชนใบนั้นเอาไว้แน่น แล้วใช้มือปิดใบหน้าตัวเองเอาไว้
……
เมื่อกลับมาถึงเขตที่พัก เมซี่กำลังบินวนไปวนมาอยู่บนอากาศ เมื่อเห็นไลต์นิ่งเธอจึงรีบบินเข้ามา “เจ้าไปไหนมาจิ๊บ! ทำไมถึงเพิ่งกลับมา! หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันอะไรจิ๊บ?”
“เอ่อ วันอะไรเหรอ?”
“วันที่โลก้าจะออกจากหน่วยพยาบาลไงจิ๊บ!” เมซี่หุบปีก ก่อนจะลงมาเกาะอยู่บนหัวไลต์นิ่ง “รีบไปหน่วยพยาบาลเลยจิ๊บ!”
“เอ่อ…เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว เจ้าอยู่นิ่งๆ ล่ะ” ไลต์นิ่งจับนกพิราบให้ยืนนิ่งๆ ก่อนจะบินไปยังใจกลางค่าย หลังถูกลอบโจมตีในคืนนี้ ภายในสถานีที่หนึ่งก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างมากทีเดียว เมื่อมองดูลงมาจากบนฟ้า นอกจากตัวสถานี ลานวางของและหอสังเกตการณ์แล้ว พื้นที่ที่เหลือล้วนแต่กลายเป็นพื้นเรียบๆ สิ่งก่อสร้างอื่นๆ อย่างที่พักทหาร หน่วยพยาบาลล้วนแต่ถูกเอาลงไปอยู่ใต้ดิน ป้อมปืนที่ติดตั้งเอาไว้สามารถป้องกันพื้นที่รอบนอกแนวป้องกัน แล้วก็สามารถป้องกันภายในค่ายได้ ต่อให้พวกปีศาจบุกโจมตีเหมือนครั้งที่แล้วก็ยากที่จะสร้างความเสียหายอย่างนั้นได้
จากนั้นไม่นาน พวกเธอก็ได้เจอกับหมาป่าสาว
“เฮ้” โลก้ากระดิกหู “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
“เพิ่งจะอาทิตย์เดียวเอง” เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูสบายดี ไลต์นิ่งก็รู้สึกโล่งใจ เพราะเมซี่เล่าให้เธอฟังว่าตอนที่โลก้าถูกหามกลับมายังหน่วยพยาบาล สภาพของเธอร่อแร่อย่างมาก เหมือนกับลมหายใจจะหยุดลงได้ทุกเมื่อ
“คงเป็นเพราะได้แต่นอนทั้งวัน ก็เลยทำให้ข้ารู้สึกเวลามันยาวนานล่ะมั้ง” โลก้าบิดขี้เกียจ “นาน่านี่ก็จริงๆ เลยๆ ต้องรอให้ผ่านไปอาทิตย์นึงก่อนถึงจะรักษาบาดแผลให้ข้า นี่ถ้ารอให้ผ่านไปอีกอาทิตย์หนึ่ง แผลข้าคงหายไปเองหมดแล้ว”
เนื่องจากแม่มดมีภูมิต้านทานต่อผลข้างเคียงของเฟิร์นหลับใหลได้มากกว่าคนธรรมดาทั่วไป ด้วยเหตุนี้ไม่มีตกอยู่ในเหตการณ์ที่ร้ายแรงจนถึงชีวิตจริงๆ การรักษาด้วยการทำให้หลับลึกจึงเป็นวิธีที่ใช้กันบ่อย เพราะว่ามันช่วยประหยัดพลังเวทมนตร์ของผู้ที่ทำการรักษาได้ ซึ่งนี่เป็นประสบการณ์ที่ทางสมาพันธ์สะสมมาจากการทำสงคราม
“สมแล้วที่มีพลังในการฟื้นฟูร่างกายเหมือนกับสัตว์ประหลาด ไม่ต่างจากท่านแอชเชสเลยนะเนี่ยจิ๊บ!” เมซี่พูดพร้อมกระพือปีก
“เอ่อ….หลังจากที่ได้คุยกับแอนเดรีย ข้ารู้สึกว่านี่จะไม่ใช่คำชมนะ” โลก้าพูดงึมงำ
“จิ๊บ?”
“เปล่า ไม่มีอะไร” เธอเดินเข้าไปหาไลต์นิ่ง พร้อมกอดสาวน้อยเอาไว้แล้วยกตัวขึ้นมา
“เฮ้ย เฮ้ย…เจ้าจะทำอะไรเนี่ย ปล่อยข้านะ” ไลต์นิ่งพูดอย่างอายๆ ทันที “มีคนมองอยู่นะ!”
“ซิลเวียเล่าเรื่องที่เจ้าทำให้ข้าฟังหมดแล้ว”
“ข้า..”
“ดังนั้น พยายามต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ทำได้ใช่ไหมล่ะ” โลก้ากอดไลต์นิ่งเอาไว้ในอ้อมอก “นี่สิถึงจะเป็นหัวหน้าทีมที่ข้ารู้จัก”
ไลต์นิ่งหยุดดิ้น เธอรู้สึกเหมือนมีความอบอุ่นแผ่ขึ้นมาในใจ เธอนิ่งไปครู่ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “แต่ข้ายังเป็นไอขี้ขลาดอยู่นะ”
“เจ้ากล้าพูดคำนี้ต่อหน้าข้า ก็แสดงว่าเจ้าก้าวข้ามมันออกมาแล้ว” โลก้าปล่อยไลต์นิ่งลง “ตอนนี้เจ้าไม่คิดที่จะหนีไปคนเดียวแล้วใช่ไหมล่ะ?”
ไลต์นิ่งมองหมาป่าสาว จากนั้นจึงมองไปทางเมซี่ ก่อนจะพยักหน้าออกมาเบาๆ “อื้อ”
วินาทีที่เธอตอบรับออกไป เธอพลันรู้สึกเหมือนมีอะไรกดลงมาบนบ่าของเธอ
แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด
ในทางกลับกัน เธอกลับรู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด
“จิ๊บ?” เมซี่เอียงหัวพูด “พวกเจ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอจิ๊บ?”
“พวกเรากำลังคุยกันเรื่องเลี้ยงฉลองน่ะ” โลก้ายืดตัวขึ้นมา “ในเมื่อข้าปลอดภัยดี อย่างนั้นเราก็ต้องดื่มฉลองกันหน่อยไม่ใช่เหรอไง?”
“ฉลองจิ๊บ! ฉลองจิ๊บ!” เมซี่พูดสำทับขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“เฮ้ เดี๋ยวๆ..” ไลต์นิ่งพูดปัด “คืนนี้ข้าต้องไปลาดตระเวนนะ”
“ไม่เป็นไร เจ้าแค่เอาเครื่องดื่มของเจ้าออกมาก็พอ เดี๋ยวพวกเราจะดื่มแทนส่วนของเจ้าเอง” โลก้ายกหางขึ้นมา “นี่เป็นสิ่งหัวหน้าทีมควรทำให้ลูกทีมไม่ใช่เหรอไง?”
……………………………………………………………………