Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1100 ชายามบ่ายในผืนป่า
“ตอนนั้น…นางพูดแบบนี้จริงๆ เหรอ?” หลังฟังลีฟเล่าจนจบ เวนดี้จึงหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าเด็กที่ชื่อเขี้ยวงูนั่นล่ะ? ไม่ได้พูดอะไรต่อเหรอ?”
“เขาก็แค่ยิ้มแห้งๆ ให้นางเท่านั้น” ลีฟส่ายหัว “น่าจะเป็นเพราะใช้ความกล้าทั้งหมดในการพูดประโยคนั้นไปจนหมดแล้วล่ะมั้ง”
“ข้าก็ว่างั้นแหละ” เวนดี้ยิ้มกว้าง “คนหนุ่มสาวนี่…ดีจริงๆ เลยเนอะ”
“จะว่าไปแล้ว พวกเราทำแบบนี้จะดีจริงๆ เหรอ? มาแอบฟังพี่น้องคุยกันแบบนี้” ภาพมายาของลีฟลอยลงมาจากพุ่มไม้ ก่อนจะรวมตัวกลายเป็นร่างกายจริงๆ ของเธอ
“นี่ไม่ใช่การแอบฟัง หากแต่เป็นการทำตามคำสั่งของฝ่าบาท” เวนดี้พูดแย้ง “พระองค์ทรงสั่งให้ข้าคอยจับตาดูทั้งสองคนเอาไว้ ในเมื่อเป็นการจับตาดู อย่างนั้นการพูดคุยก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของการจับตาดูไม่ใช่เหรอ?”
ถ้าพูดอย่างนี้ มันก็เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร
“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าข้าไม่วานให้เจ้าช่วย เจ้าจะไม่แอบฟังพวกเขาคุยกันเหรอ?” แวนดี้ยิ้มๆ พร้อมมองไปทางลีฟ
“เอ่อ…” อีกฝ่ายกระแอมนิดหน่อย ก่อนจะยิ้มมุมปากขึ้นมา “ฟัง”
ทั้งสองคนสบตาพร้อมหัวเราะขึ้นมาทันที
ลีฟกวักมือ เถาวัลย์ขนาดใหญ่เลื้อยขึ้นมาจากใต้ดิน ก่อนจะค่อยๆ ดันเธอกับเวนดี้ขึ้นไปบนยอดไม้ จากนั้นกิ่งไม้อันหนาทึบพากันกระจายตัว ถักทอ แล้วรวมตัวกันใหม่กลายเป็นเหมือนระเบียงใบไม้อยู่ด้านล่างพวกเธอ
เมื่อมองออกไปจากมุมนี้ โลกทั้งใบเหมือนจะเปิดกว้างขึ้นมาทันที พุ่มไม้อันหนาทึบที่ทอดตัวไปทางเทือกเขาดรากอนส์แบ็คกลายเป็นเหมือนทะเลต้นไม้สีมรกต ส่วนอีกด้านหนึ่งคือทุ่งหญ้าที่กว้างสุดลูกหูลูกตา
สมัยที่ยังอยู่ในสมาคมแม่มด ลีฟก็เคยสร้างบ้านต้นไม้คล้ายๆ แบบนี้ขึ้นมาเป็นบางครั้งบางคราวเพื่อให้พี่น้องแม่มดได้ใช้เป็นที่หลบฝนกับดินที่เปียกชื้น เพียงแต่ในตอนนั้นเธอต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันกว่าจะสร้างบ้านต้นไม้ขึ้นมาได้ซักหลังหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดพลังเวทมนตร์ ส่วนไหนตัดได้ก็ตัด ส่วนใหญ่แล้วจะมีรูปร่างเป็นเหมือนรังไหม แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีที่ว่างพอสำหรับทุกๆ คน
แต่ตอนนี้ ระเบียงที่ลีฟสร้างขึ้นมาไม่เพียงแต่จะมีความสวยงาม ทว่าแม้แต่เก้าอี้นอนกับโต๊ะน้ำชาเธอก็สร้างออกมาด้วย บนโต๊ะน้ำชามีถ้วยชาอยู่สองใบ ด้านในมีชาดอกไม้สีทองทองที่เปล่งประกายระยิบระดับท่ามกลางแสงแดดที่ส่องลงมา
“นี่เจ้าเป็นคนทำเองเหรอ?” เวนดี้ยกถ้วยชาขึ้นมาดม กลิ่นหอมเบาสบายลอยเข้าไปในจมูกของเธอ
“อื้อ ใช้น้ำค้างตอนเช้า น้ำผึ้งกับเหล้าอ้อย แล้วก็ดอกมะลิที่บานแล้วนิดหนึ่งลงไปด้วย” ลีฟพยักหน้า “ถึงแม้จะสู้เครื่องดื่มยุ่งเหยิงไม่ได้ แต่มันก็มีให้ดื่มได้ไม่จำกัด”
“พลังของเจ้านี่นับวันจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เลยนะ” เวนดี้พูดชมออกมา “ถึงแม้คนอื่นๆ จะบอกว่าฝ่าบาทอันนานั้นเป็นอัจฉริยะในรอบร้อยปี แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพระองค์เท่าไร ขอเพียงมีเวลามากพอ…เจ้าอาจจะควบคุมผืนป่าทั้งหมดบนโลกนี้ แล้วก็แผ่จิตสำนึกไปทั่วทั้งทวีปได้ก็ได้”
“จากความเร็วที่ข้าทำได้ในตอนนี้ ข้าไม่มีทางทำได้หรอก” ลีฟโบกมือยิ้มๆ “แค่รวมเข้ากับป่าเร้นลับแห่งนี้ก็ยังต้องใช้เวลาเกือบสิบปีเลย กว่าจะออกไปจากที่นี่ได้ ข้าคงจะแก่ไปแล้ว”
“นั่นมันก็ไม่แน่” เวนดี้จิบชา “อกาธาเคยบอกว่า แม่มดกับพลังเวทมนตร์จะส่งผลซึ่งกันและกัน ยิ่งเป็นแม่มดที่แข็งแกร่ง ก็มักจะมีร่างกายที่แข็งแกร่งและอายุที่ยืนยาว ถ้าไม่เป็นเพราะสงครามที่โหดร้ายนั้น บางทีแม่มดสุดยอดอมนุษย์เหล่านั้นอาจจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ก็ได้” เธอมองไปบนฟ้า “ซึ่งพลังเวทมนตร์ของเจ้านั้นเหนือกว่าพวกนาง นั่นก็หมายความว่าเจ้าอาจจะเป็นคนที่มีอายุยืนที่สุดในบรรดาพวกเราก็ได้”
ลีฟไม่ได้ตอบ สีหน้าเธอดูโดดเดี่ยว เพียงแต่เวนดี้ไม่ทันสังเกตเห็น
“เออ แล้วก็ไม่ใช่แค่สองข้อนี้เท่านั้นนะ แม้แต่หน้าตาก็มีความเกี่ยวข้องกับระดับของพลังเวทมนตร์ได้” เธอชะงักไปเล็กน้อย “อควาเรียสราชินีสตาร์ฟอลในตำนานนั้นหน้าตางดงามเป็นอย่างมาก ในเรื่องพวกพาซาร์เคยยอมรับออกมาเอง” เวนดี้ดึงสายตากลับมามองดูอีกฝ่าย “อื้อ….ข้ารู้สึกว่าเจ้าเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนจริงๆ นั่นแหละ…จะพูดยังไงดีนะ นับตั้งแต่ตอนที่เจ้าลอยลงมาจากบนต้นไม้ ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นเหมือนเทพธิดาแห่งผืนป่าอย่างไรอย่างนั้น ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
ลีฟกรอกตาใส่เธออย่างเหนื่อยใจ “นี่ดูไม่เหมือนคำพูดที่เวนดี้ที่เป็นคนอ่อนโยนและห่วงใยพี่น้องจะพูดได้เลย”
“ใครจะไปรู้ล่ะ น่าจะเป็นเพราะเมื่อก่อนข้าไม่ได้คอยคิดถึงปัญหาเรื่องนี้ล่ะมั้ง?” เวนดี้พูดยิ้มๆ “นอกจากเรื่องเอาชีวิตรอดแล้ว เรื่องที่ว่าพลังเวทมนตร์จะทำอะไรได้ อนาคตเราจะกลายเป็นยังไง จะสวยหรือไม่สวย ข้าไม่เคยสนใจมันเลย”
“ก็จริง” ลีฟมุ่ยปาก “ตอนนี้เริ่มมานั่งคิดเรื่องที่พลังเวทมนตร์มีผลต่อหน้าตา หรือว่า…ในใจเจ้ามีคนที่ชอบแล้ว?”
“นี่มันคนละเรื่องกัน ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเองก็ไม่ได้เด็กไปกว่าข้าเท่าไรด้วย ไม่กลัวข้าจะแซงหน้าเจ้าไปไกลเหรอ?”
“ยังไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอายุหรอก ตอนนี้ข้ามีผืนป่าแห่งนี้อยู่ แล้วข้ายังจะต้องการอะไรอีกล่ะ? แต่ถึงแม้เจ้าจะไม่พูด ข้าก็ยังมีวิธีอยู่ อย่าลืมสิว่าข้าเป็นคนส่งพวกนกส่งจดหมายนั่นให้ฮันนี่นะ”
“แต่เสียดาย ในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบสโมสรแม่มด รายงานข่าวทั้งหมดของทางต้องผ่านตาข้าก่อน”
ทั้งสองคนหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับดื่มด่ำช่วงเวลาแห่งความสุขในยามบ่าย
กระทั่งพระอาทิตย์เริ่มคล้อยไปทางตะวันตก ลีฟจึงหันมาพูดว่า “อย่างนั้น เดี๋ยวเจ้าจะกลับแล้วใช่ไหม?”
“อื้อ” เวนดี้ลุกขึ้นมา “ข้าต้องพาฝ่าบาทอันนาและคนอื่นๆ กลับไป ซีกัลป์ไม่สามารถบินตอนกลางคืนได้ ก็เลยต้องออกเดินทางก่อนสี่โมง”
“ดูเหมือนเปเปอร์คงจะไม่สามารถฉลองงานเลี้ยงรอบกองไฟกับเพื่อนของนางได้แล้วล่ะ”
เปเปอร์โดยสารซีกัลตรงมายังแนวหน้า ซึ่งแตกต่างชาวบ้านคนอื่นๆ ที่นั่งรถไฟมา ดังนั้นจึงไม่อาจเลื่อนเวลากลับเพื่อเธอคนเดียวได้ แล้วก็ไม่สามารถปล่อยเธอทิ้งเอาไว้ที่นี่คนเดียวได้เหมือนกัน
“นี่มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะเนอะ” เวนดี้ผายมือ “ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความปลอดภัย หรือความสำคัญต่อเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เราก็ไม่อาจปล่อยให้นางมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานเกินไปได้”
“ข้าช่วยเจ้าเรียกนางแล้วกัน” ลีฟแปลงเป็นร่างวิญญาณอีกครั้ง
“ฝากเจ้าด้วยนะ”
ลีฟผลุบหายเข้าไปในต้นไม้ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเวนดี้อีกครั้ง
“เรียบร้อย เดี๋ยวนางจะไปเจอพวกเจ้าที่ลานจอด ตอนนี้น่าจะกำลังบอกลาเพื่อนของนางอยู่มั้ง เดี๋ยวข้าไปส่งเจ้าแล้วกัน”
เวนดี้พยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเพื่อรอให้ระเบียงใบ้ไม้เลื่อนลงไปด้านล่าง
“เรื่องนั้น…”
จู่ๆ ลีฟพลันพูดขึ้นมาเบาๆ
“ทำไมเหรอ?”
“เปล่า” เธอลังเลเล็กน้อย “ไม่มีอะไร…”
เวนดี้ถอนหายใจ ก่อนจะหันหน้ากลับมาพร้อมพูดด้วยเสียงนุ่มนวล “มีอะไรก็อย่าเก็บเอาไว้ในใจ ข้าพร้อมจะรับฟังเจ้าเสมอ”
“ข้าแค่รู้สึก…”
“รู้สึกอะไร?”
“รู้สึก…” ลีฟกำหมัดแน่น ในขณะที่กำลังจะอ้าหาก จู่ๆ เธอพลันยืนนิ่งไปกับที่ สายตาเธอมองผ่านศีรษะของเวนดี้ไปทางด้านเหนือของป่า
เมื่อมองเห็นความตกตะลึงและความประหลาดใจอยู่ในสายตาของเธอ เวนดี้จึงหันมองตามสายตาเธอไปด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
ควันไฟสีดำลอยขโมงขึ้นมาจากต้นไม้ที่หนาทึบ คล้ายกับฉากผ้าที่ค่อยๆ กางออก
นั่นมัน…ไฟไหม้เหรอ?
……………………………………………………………….