Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1101 ผู้ควบคุมป่า
ตอนนี้เป็นช่วงรอยต่อระหว่างฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน เป็นช่วงที่ดินยังมีความเปียกชื้นอยู่ จู่ๆ มันจะมีไฟไหม้ขึ้นมาในป่าได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนจะไม่ได้ไหม้อยู่แค่ที่เดียวด้วย
“ลีฟ?” เวนดี้ตะโกน
“ข้าไม่รู้” ลีฟเหมือนจะได้สติกลับมาทันที “ตรงนั้นอยู่นอกขอบเขตการควบคุมของข้า ข้าไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงนั้นได้”
“ถ้ามีไฟไหม้ขึ้นมาจริงๆ เราก็ต้องรีบหยุดไม่ให้มันลามเข้ามา!”
“ข้า…ข้าเข้าใจแล้ว” สีหน้าของลีฟดูแปลกไป เหมือนเธอกำลังกังวลอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เธอกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้าตอบไปว่า “ไม่ว่ายังไง เจ้าก็ไปรวมกับคนอื่นๆ ก่อนเถอะ เดี๋ยวพอใช้แผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว ภายในใจคงจะวุ่นวายแน่ๆ พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวจะออกไปจากที่นี่ได้ลำบาก”
ตรงสถานีปลายทางในตอนนี้ไม่ได้มีแค่คนงานที่หยุดพักผ่อนอยู่เท่านั้น แต่ยังมีญาติพี่น้องของพวกเขาที่ไม่เคยอยู่ในสนามรบมาก่อนด้วย ถ้าอยากจะให้พวกเขาอพยพอย่างเป็นระเบียบนั้นเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องงาน เวนดี้เข้าใจถึงจุดนี้ทันที
“เจ้า…จัดการคนเดียวได้ใช่ไหม?”
“วางใจได้ ข้ารู้ดีว่าต้องทำยังไง” ลีฟสั่งให้ระเบียงใบไม้เลื่อนลงมา สุดท้ายเธอสบตากับเวนดี้ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในป่าทึบ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงสัญญาณเตือนที่แสบแก้วหูก็ดังไปทั่วทั้งป่าเร้นลับ
….
“รับทราบ อืม ข้าทราบแล้ว” ในหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่ของสถานีหมายเลขสอง เฟร์ราน ชิลต์วางโทรศัพท์ จากนั้นจึงหันไปรายงานกับเอดิธส์ “หัวหน้า ทางตะวันตกเกิดอุบัติเหตุขึ้น…”
“เจ้าว่าอะไรนะ? ทางด้านเหนือของป่าเหมือนจะมีไฟไหม?” ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือขมวดคิ้ว “คุณหนูลีฟเป็นคนเจอเหรอ?”
“ใช่ ทางนั้นเริ่มทำการอพยพฉุกเฉินแล้ว กองทัพที่หนึ่งที่ประจำการอยู่ที่นั่นเองก็เข้าสู่การเฝ้าระวังระดับสอง”
“แจ้งท่านผบ. แล้วก็เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง” เธอสั่งการอย่างเด็ดขาด “บอกว่าหน่วยบัญชาการเสนาธิการทหารใหญ่เรียกประชุมก่อนเริ่มสงคราม”
“ประชุมก่อนเริ่มสงคราม…” เฟร์รานพูดทวน “หรือท่านคิดว่านี่…”
“ถูกต้อง” เอดิธส์พูดเสียงเข้ม “ข้าสงสัยว่าไฟไหมครั้งนี้จะเป็นแผนใหม่ของพวกปีศาจ”
ไม่ถึง 15 นาที ผู้บัญชาการของกองทัพที่หนึ่งกับตัวแทนสโมสรแม่มดก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องประชุม
หลังไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนืออธิบายสถานการณ์คร่าวๆ ให้ทุกคนฟัง เธอก็แจ้งข่าวที่ได้รับมาล่าสุด “ทหารตรงสถานีปลายทางของป่ายืนยันแล้วว่ามีไฟไหม้ แถมยังลามเข้ามาทางสถานีปลายทางอย่างรวดเร็วเนื่องจากมีลมแรงด้วย”
“แค่ไฟไหม้ป่าเหรอ ไม่มีร่องรอยของปีศาจใช่ไหม?” ขวานเหล็กถามเสียงคร่ำเคร่ง
“ตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงาน” เฟร์รานส่ายหัว “หมอกควันมันบดบังทัศนวิสัยเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าสถานการณ์ตรงนั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“คุณหนูซิลเวีย เจ้ามองเห็นอะไรบ้างไหม?”
“ป่าเร้นลับอยู่ห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล” ซิลเวียตอบ “นอกเสียจาก..ข้าต้องไปดูตรงนั้นเอง”
“บ้าเอ้ย…ทำไมต้องเป็นตอนนี้ด้วย” ขวานเหล็กมองดูแผนที่ “ตอนนี้ราชินีอยู่ไหน?”
ตามแผนการเดิม อันนากับเหล่าแม่มดจะไปเจอกับพวกทิลลีที่ลานขึ้นบินตรงสถานีปลายทางของป่า จากนั้นก็จะนั่งซีกัลกลับไปยังเนเวอร์วินเทอร์
“น่าจะกำลังนั่งแบล็คริเวอร์หมายเลขหนึ่งกลับมาที่นี่ หลังได้รับแจ้งเรื่องไฟไหม้ คุณหนูเคนท์ก็ให้ข้าใช้รูนสดับแจ้งให้พวกพระองค์เปลี่ยนเส้นทางการเดินทางทันที”
“ทำดีมาก” ขวานเหล็กโล่งใจเล็กน้อย “อย่างนั้นคนที่ยังอยู๋ตรงนั้นก็มีแต่พวกองค์หญิงทิลลีใช่ไหม?”
หลังได้รับคำตอบยืนยัน เขาก็สั่งการเฟร์รานว่า “ให้พวกพระองค์ขึ้นบินได้เลย ไม่ต้องรออีก”
“รับทราบ!”
หลังจัดการเรื่องอพยพเสร็จ ขวานเหล็กก็มองมาทางทีมที่ปรึกษา “ตอนนี้พวกเจ้ามีความเห็นยังไงบ้าง”
….
ลีฟยืนอยู่บนยอดไม้ต้นใหญ่ สายตามองออกไปยังกลุ่มควันไฟที่พวยพุ่งขึ้นมา
ในเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงกว่า เปลวไฟก็ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ควันไฟที่ลอยอยู่เต็มฟ้าไม่เพียงแต่ถ้าพุ่งเข้ามาหาเธอ แต่เธอเหมือนจะมองเห็นเปลวไฟสีแดงอยู่ด้านล่างควันไฟด้วย
เธอเหมือนจะได้ยินเสียงร่ำไห้ของต้นไม้ที่ถูกไฟแผดเผา ถึงแม้ที่นั่นจะไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเธอ แต่หัวใจแห่งป่าก็ยังสั่นไหวเล็กน้อย
เพราะว่านั่นคือเสียงที่สะท้อนออกมาจากในใจของเธอ
ตอนที่อยู่ต่อหน้าเวนดี้ คำที่เธอไม่ได้พูดออกมาคือคำว่า…กลัว
หลังกลืนกินและหลอมรวมกับป่ามาเป็นเวลาปีกว่า ลีฟก็ค่อยๆ สัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของพลังของเธอ
ในอีกแง่หนึ่งแล้ว จริงอยู่ที่มันทำให้ตัวเองเหมือนจะกลายเป็นอมตะ พืชทุกอย่างที่ถูกดึงมาอยู่ในหัวใจแห่งป่าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเธอ พูดอีกอย่างคือขอเพียงอาณาเขตที่หลอมรวมเข้ากับป่ายิ่งกว้าง มันก็ยิ่งเป็นไปได้ยากที่เธอจะถูกกำจัด
เพราะการจะทำลายพื้นหญ้าซักส่วนหนึ่งนั้นง่าย แต่ถ้ามันเป็นไปได้ยากที่จะขุดป่าทั้งผืนหรือไม่ก็ทุ่งหญ้าทั้งหมดให้ราบได้
ส่วนการที่จะที่ให้โลกทั้งใบนั้นไม่มีต้นหญ้าเหลืออยู่เลยซักต้น มันก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ฝ่าบาทเคยตรัสว่าพื้นนั้นเป็นพื้นฐานของการคงอยู่ของโลกนี้ ต่อให้โลกทั้งใบพังพินาศ ขุดดินลงไปสามฟุตแล้วพลิกขึ้นมา แต่สิ่งที่จะปรากฏขึ้นมาบนผิวดินเป็นอันดับแรกก็ยังคงเป็นหญ้าต้นเล็กๆ เหล่านี้อยู่
แต่ปัญหานั้นอยู่ที่ว่า เมื่อถึงตอนนั้นเธอก็จะไม่ใช่ตัวเธอเหมือนอย่างในตอนนี้อีก
สายน้ำที่ไหลอยู่ใต้ดิน แมลงที่ชอนไชอยู่ใต้ดิน รังผึ้งที่อยู่บนยอดไม้ นกที่ส่งเสียงร้องอยู่บนกิ่งไม้…ข้อมูลจำนวนมหาศาลเหล่านี้หลังไหลมาจากทั่วทุกมุมของผืนป่าอย่างต่อเนื่อง แถมยังถูกฝังอยู่ในความทรงจำของเธอด้วย ถ้าจู่ๆ เธอไปรับข้อมูลเข้ามาทั้งหมดพร้อมๆ กัน มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะเสียสติ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ลีฟต้องชะลอความเร็วในการหลอมรวมเข้ากับป่าไว้
แต่เธอก็พบว่าถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะจดจำข้อมูลจำนวนมหาศาลขนาดนี้ด้วยตัวคนเดียว
เหตุผลที่ทำให้จนถึงตอนนี้เธอยังไม่กลายเป็นคนบ้านั้นเป็นเพราะว่าหัวใจแห่งป่าทำการตัดสินใจแทนเธออยู่ รากและเถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนสอดประสานกันกลายเป็นร่าจิตสำนึกขนาดใหญ่ พลังเวทมนตร์และความทรงจำรวมกันเป็นหนึ่งหลั่งไหลไปในป่า
นี่ก็หมายความว่าทันทีที่ป่าที่เธอหลอมรวมอยู่ถูกทำลาย เธอก็จะสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป ต่อให้ส่วนที่เสียหายสามารถแตกหน่อขึ้นมาใหม่ แต่ความทรงจำที่เสียไปแล้วก็ไม่อาจฟื้นคืนกลับมาได้อีก
มันอาจจะเป็นการรู้จักกันของเธอกับแวนดี้และบุ๊ค เป็นประสบการณ์ในการหนีเอาชีวิตรอดอย่างยากลำบากของเธอกับไนติงเกล ลูน่าและลิลลี่ หรืออาจจะเป็นภาพอันอบอุ่นที่เธอได้เจอกับฝ่าบาทโรแลนด์ แล้วก็อาจจะเป็นวันเวลาที่เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์….หรือแม้แต่ความดื้อดึงและลำเอียงของฮาคาลา การไล่ล่าและสังหารของศาสนจักรเธอก็ล้วนแต่ไม่อยากลืมมัน
เพราะว่านี่เป็นประสบการณ์ของเธอ แล้วก็เครื่องยืนยันถึงการมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ของเธอ
เธอกลับว่าจะสูญเสียพวกมันไป
เมื่อคิดถึงว่าไฟอาจจะลามเข้ามาในป่าเร้นลับที่เธอควบคุมอยู่ ภายในใจของลีฟก็มีความเจ็บปวดที่ยากจะบรรยายได้ปรากฏขึ้นมา
แต่เธอไม่อาจถอยได้อีก
เพราะว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อเอาชนะปีศาจและเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา
เธอไม่สามารถทิ้งเหล่าพี่น้องแม่มดเพื่อตัวเธอเพียงคนเดียวได้ เหล่าพี่น้องเองก็เสียสละมามาก เธอไม่สามารถทำให้ทุกคนผิดหวังได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลีฟจึงสูดหายใจพร้อมยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา ก่อนจะแหงนหน้ามองไปบนท้องฟ้าสีเหลืองส้ม
พริบตานั้นเอง ลำแสงสีเขียวอันเจิดจ้าพลันสว่างวาบออกมาจากตรงหน้าอกของเธอ
“โปรดฟังเสียงเรียกของข้าและขยับขึ้นมา!”
พริบตานั้นเอง ป่าทั้งผืนกลายเป็นเหมือนคนยักษ์ที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล
ต้นไม้จำนวนนับไม่ถ้วนโค้งงอไปด้านหลังจนล้มหมอบไปกับพื้น แม้แต่ต้นหญ้าและดินก็ม้วนงอขึ้นมาเหมือนพรม ภาพที่เกิดขึ้นนี้ยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้!”
ท่ามกลางการสั่นสะเทือนที่รุนแรงนี้ ป่าเร้นลับเหมือนจะแยกออกไปสองส่วน ต้นไม้ที่ถูกควบคุมด้วยพลังหัวใจแห่งป่าค่อยๆ แยกออกจากป่าตรงด้านทิศเหนือจนเกิดเป็นระยะห่างหลายร้อยเมตร
…………………………………………………………………..