Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1105 หัวใจของลีฟ
หลังจากนั้นสองวัน
เมืองเนเวอร์วินเทอร์ เกรย์คาสเซิล
“สถานการณ์ตอนนี้ก็เป็นแบบนี้แหละเพคะ…” แอชเชสเล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นออกมาอย่างละเอียด “กระทั่งไฟถูกดับหมดแล้ว ไลต์นิ่งจึงบินออกไปค้นหาประมาณ 100 กิโลเมตร ถึงได้พบร่องรอยที่ศัตรูทิ้งเอาไว้ จากการวิเคราะห์ดูแล้ว มันน่าจะเป็นร่องรอยของปีศาจแมงมุมตอนที่เดินเข้ามาในป่า จำนวนมีไม่เยอะ ประมาณ 3 – 4 ตัวเพคะ”
เนื่องจากการติดต่อสื่อสารภายในป่าถูกตัดขาด ทำให้กว่าโรแลนด์จะได้ข่าวที่ลีฟถูกโจมตีก็ต้องรอถึงช่วงเย็นของวันถัดไป เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ทราบข่าว เขาจึงรีบให้ทิลลีกับเวนดี้ขับซีกัลไปยังสถานีปลายทางเพื่อรับลีฟและคนอื่นๆ กลับมายังเนเวอร์วินเทอร์
แอชเชสยังดีหน่อย ดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรร้ายแรง แต่ลีฟกลับถูกคนหามลงมาจากเครื่องบิน
ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ไนต์ฟอลได้ปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งการอยู่ร่วมกันลงไปในตัวลีฟ ถึงแม้ลีฟจะนอนสลบไม่ได้สติ แต่เมื่อดูจากสีหน้าของไนต์ฟอลก็พบว่าไม่ได้มีความเจ็บปวดอะไรมากมายนัก นี่หมายความว่าลีฟนั้นได้รับผลกระทบด้านจิตใจมากกว่าด้านร่างกาย
โรแลนด์สลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป พร้อมกับเลื่อนสายตาไปยังแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะทำงาน
ภาพเหตุการณ์การโจมตีทั้งหมดปรากฏขึ้นมาในหัวเขาอย่างชัดเจน
แม่ทัพของปีศาจนั้นสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของป่าเร้นลับจริงๆ เพราะว่ารางเหล็กนั้นเลี้ยวออกมาจากในป่าและพุ่งตรงไปยังทาคิลา แต่มันก็ไม่ได้เลือกที่จะบุกโจมตีไปที่หลุมเพลาะและรั้วลวดหนาวที่อยู่ตรงสถานีปลายทาง หากแต่พุ่งเป้าไปที่ตัวแม่มดแทน
กองทัพเล็กๆ เดินทางมาเป็นระยะทางเกือบ 500 เมตรจากซากเมืองทาคิลามาถึงด้านเหนือของป่า ระยะทางที่ไกลขนาดนี้ทำให้พวกมันไม่สามารถทำศึกขนาดใหญ่ได้ แสดงว่าปีศาจแมงมุมพวกนั้นนอกจากจะรับหน้าที่จุดไฟแล้ว พวกมันยังแบกถังหมอกแดงมาเป็นจำนวนมากด้วย ในอีกแง่หนึ่งก็หมายความว่าพวกปีศาจเปลี่ยนไปใช้แผนการสู้รบแบบกองโจร
การจุดไฟเผาป่านั้นเป็นแค่แผนดึงดูดความสนใจจากแม่มดเท่านั้น ตอนนี้เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ดูเหมือนพวกปีศาจจะรู้แล้วว่าไม่ว่ากองทัพที่หนึ่งจะมีแผนรับมือกับการโจมตีด้วยไฟหรือไม่ ผู้ที่คอยควบคุมป่าก็จะอยู่ตรงนั้นเพื่อดูสถานการณ์
พวกปีศาจน่าจะมองว่าลีฟนั้นเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนเรื่องการขนส่งให้กับกองทัพที่หนึ่ง
ขอเพียงสังหารผู้ควบคุมป่าได้ ก็จะสามารถกำจัดวิกฤติในแนวหน้าและทำให้พวกมนุษย์ถอยทัพได้
ถึงแม้แผนการจะดูมีข้อบกพร่องไปบ้าง แต่การที่สามารถคิดคำนวณได้ขนาดนี้ก็แสดงให้เห็นถึงระดับความเข้าใจในเวทมนตร์ของพวกปีศาจ พวกมันสามารถคาดเดารูปแบบพลังของลีฟได้อย่างแม่นยำ แล้วก็วางแผนโจมตีเพื่อเล่นงานเธอโดยเฉพาะ การที่มันสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองวิ่งมาเป็นระยะไกล แล้วยังคำนวณเวลาที่ต้องใช้ในการบุกและถอย เรียกได้ว่าทุกขั้นตอนล้วนแต่มีความเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มีความเข้าใจในเรื่องการใช้เวทมนตร์อย่างลึกซึ้งแล้วล่ะก็ มันไม่มีทางที่จะทำแบบนี้ได้แน่นอน
เขาถึงขนาดสงสัยว่าปีศาจอาจจะเคยเห็นความสามารถที่คล้ายๆ กับลีฟมาก่อน
หากศัตรูจะกลับมาโจมตีอีกครั้ง อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาอีกอาทิตย์หนึ่ง ส่วนร่องรอยที่ปีศาจแมงมุมทิ้งเอาไว้ก็สามารถไล่ตามได้ไม่ยาก แต่ทำแบบนั้นมันไม่ค่อยมีประโยชน์อะไร เพราะผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่บินไปมาได้อย่างอิสระนั้นสามารถทิ้งกองทัพปีศาจแล้วหนีไปได้ทุกเมื่อ หน่วยโจมตีที่ส่งไป ถ้าส่งไปน้อยก็อาจจะเสียท่าโดนพวกมันโจมตีกลับ ถ้าส่งไปเยอะก็จัดการได้แค่ปีศาจแมงมุมกับปีศาจระดับล่างแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น
ในทางเดียวกัน เขาเองก็ไม่มีวิธีการตอบโต้การเคลื่อนไหวอย่างลับๆ ของหน่วยจู่โจมของศัตรูด้วย ข้างกายแม่มดที่สำคัญๆส่วนใหญ่จะมีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยปกป้องเอาไว้อยู่ แต่แม่มดที่เคลื่อนไหวไปมาไม่นิ่งอย่างลีฟ เมซี่กับไลต์นิ่งนั้นไม่มีทางที่เขาจะหาวิธีการป้องกันแบบไม่ให้มีข้อผิดพลาดได้ โชคดีที่ปีศาจระดับสูงที่มีความแข็งแกร่งขนาดนี้มีไม่เยอะเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้ที่มันวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ก็มีปฏิกิริยาทางเวทมนตร์แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน ขอเพียงพวกเธอรีบหนี ศัตรูก็ยากที่จะทำอะไรพวกเธอได้
แต่อีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้โรแลนด์สนใจก็คือเรื่องที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์พูดคุยกับแอชเชส
ที่แท้…ปีศาจก็พูดภาษาคนได้อย่างนั้นเหรอ?
คาบราดาบีที่ถูกจับเอาไว้ก็เป็นปีศาจระดับสูงเหมือนกัน แต่มันไม่มีความสามารถเช่นนี้ ถ้าไม่ใช้การเชื่อมต่อทางวิญญาณของคามิล่าในการพูดคุยกับมันแล้วล่ะก็ เกรงว่าแม้แต่การสื่อสารขั้นพื้นฐานก็คงจะทำไม่ได้
‘การเรียนรู้คือพื้นฐานของการวิวัฒนาการ’
‘เวลาหลายร้อยปีสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมาย แต่พวกเจ้ากลับเหมือนใช้ชีวิตเหมือนย่ำอยู่กับที่’
‘ว่ากันว่าตั้งแต่ก่อนที่สงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่งจะเกิดขึ้นก็มีคนติดต่อกับพวกปีศาจแล้ว…คนที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับพวกมันคือมนุษย์คนหนึ่ง’
คำบอกเล่าของแอชเชสกับตำนานที่พาซาร์เล่าให้ฟังสลับกับลอยขึ้นมาในหัวของโรแลนด์
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์ตัวนี้กำลังพูดถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา เหมือนกับว่ามันที่ผ่านมามันได้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มามากมายอย่างไรอย่างนั้น
หรือว่ามันจะเป็นปีศาจที่ใช้ชีวิตมาตั้งแต่ยุคสมัยสมาพันธ์…หรืออาจจะเก่าแก่กว่านั้น?
ดังนั้นมันจึงเรียนรู้ภาษาของมนุษย์ได้?
แต่…นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปหรือเปล่า
ในขณะที่โรแลนด์กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ด้านนอกห้องทำงานพลันมีเสียงของเวนดี้ดังขึ้นมา
“ฝ่าบาท” เธอผลักประตูเข้ามา “ลีฟตื่นแล้วเพคะ”
“ข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ” โรแลนด์ลุกขึ้นทันทีพร้อมกับมองไปทางแอชเชส “เจ้าจะไปด้วยกันไหม?”
แม่มดอมนุษย์พยักหน้า
“เออใช่” ในตอนที่เดินผ่านอีกฝ่าย จู่ๆ เขาก็หยุดฝีเท้า “ก่อนหน้านี้ลืมบอกเจ้าไป ขอบคุณเจ้ามากนะ”
การที่ดูเหมือนไม่เป็นอะไรไม่ได้หมายความว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บจริงๆ มีแต่ตอนที่เข้าใกล้เธอ เขาถึงจะสังเกตเห็นว่าบนใบ้หน้ากับนิ้วมือของแอชเชสนั้นมีรอยถลอกอยู่เต็มไปหมด
ลมหมุนที่สามารถพัดเอาลีฟปลิวกระเด็นไปได้นั้นย่อมไม่ใช่ลมเบาๆ เหมือนอย่างลมในฤดูใบไม้ผลิแน่ ตามหลักแล้วบาดแผลเล็กๆ แบบนี้ไม่มีทางที่จะอยู่บนร่างกายแม่มดอมนุษย์เกินหนึ่งวัน แต่ตอนนี้มันกลับยังไม่หายดี
พูดอีกอย่างคือถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา เธอก็อาจจะถูกโจมตีจนถึงชีวิตได้
ความดุเดือดในการต่อสู้ครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนอย่างที่เธอพูดมาเสียแล้ว
แอชเชสรับเอาคำขอบคุณนี้มาด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ เธอเพียงแต่พยักหน้าลงเล็กน้อย ก่อนจะใช้ดวงตาสีทองมองดูโรแลนด์ “ดูแลทิลลีดีๆ แล้วกันเพคะ”
“แน่นอน ต่อให้เจ้าไม่พูดข้าก็…” โรแลนด์เม้มปาก ตัวเขาเข้าใจในความหมายของอีกฝ่าย ความจริงนี่มันก็เป็นเรื่องที่เขาควรจะทำอยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่เธอช่วยลีฟเอาไว้ แม่มดอมนุษย์ที่คนตรงๆ ก็ยังมีความคิดเช่นนี้ได้ เขาจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไปกันเถอะ”
….
เมื่อเดินเข้ามาในห้องนอนของลีฟ เขาก็พบว่าภายในห้องนั้นมีคนยืนอยู่เต็มไปหมดแล้ว
อันนา ไนติงเกล ทิลลี บุ๊ค ลูน่า…แม่มดกลุ่มแรกของสโมสรแม่มดแทบจะทุกคนต่างมารวมกันอยู่ที่ี่นี่ เมื่อเห็นโรแลนด์เดินเข้ามา ทุกคนต่างพากันหลีกทางให้เขา
ท่ามกลางกลุ่มแม่มด เขามองเห็นลีฟที่นั่งตัวตรงขึ้นมา
ผมสีเขียวของเธอดูยุ่งเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีด แต่จิตใจเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก
สายตาของเธอยังคงเป็นประกาย
“ฝ่าบาท” ลีฟพูดเสียงเบาๆ “ขอประทานอภัยที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นกังวลเพคะ”
“เจ้าไม่เป็นไรก็ดีแล้ว..” โรแลนด์ถอนหายใจออกมา ที่เธอสลบไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะจิตใจของเธอเหนื่อยล้าเกินไปจริงๆ ด้วย แต่เขาก็รู้ดีว่าจริงๆ แล้วลีฟเองก็โดน ‘คำสาป’ คล้ายๆ กับไลต์นิ่งเหมือนกัน บาดแผลที่เกิดขึ้นจากการที่ถูกบีบให้ตัดขาดจากหัวใจแห่งป่านั้นยังคงอยู่ อย่างมากคงพูดได้แค่ว่ายังไม่อันตรายถึงชีวิต “รายละเอียดทั้งหมดข้าฟังจากแอชเชสหมดแล้ว เจ้าพักผ่อนให้เยอะๆ ก่อนแล้วกัน ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องไปทำงานที่ป่า ส่วนอาการบาดเจ็บของเจ้า ข้าจะต้องคิดหาวิธี…”
เธอส่ายหัว “ไม่เพคะ ฝ่าบาท ได้โปรดให้หม่อมฉันกลับไปที่แนวหน้าด้วยเถอะเพคะ”
“ลีฟ!” ไนติงเกลทนไม่ไหวจนต้องพูดออกมา
“ข้ารู้ว่าทุกคนเป็นห่วงข้า แต่ว่าถ้าข้าเอาแต่นอนอยู่บนเตียงมันก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ใช่เหรอ?” ลีฟพูดช้าอย่างมาก แต่น้ำเสียงของเธอกลับฟังดูชัดเจน “ไม่ว่าจะอยู่ที่ป่าเร้นลับหรือว่าเมืองเนเวอร์วินเทอร์ คำสาปมันก็ไม่หายไป ในเมื่อเป็นแบบนี้ ข้านอนพักไปมันก็ไม่มีประโยชน์”
“แต่ว่า…” เวนดี้พูดขึ้นมา
“ขอเพียงข้าได้อยู่ในป่าหนึ่งวัน การสื่อสารของทั้งสองที่ก็จะกลับมาใช้งานได้ ที่นาทดลองก็จะไม่ถูกทิ้งร้าง สิ่งของที่แนวหน้าต้องการ ข้าก็ช่วยขนได้ จะมากจะน้อยมันก็เป็นประโยชน์ต่อแผนโจมตีปีศาจ แค่มองดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอว่าแบบไหนเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า?” เธอหอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะพยายามฝืนยิ้มขึ้นมา “วางใจได้ ครั้งนี้ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ข้าต้องเลือกที่จะหนีก่อนแน่นอน”
ทุกคนพูดไม่ออก
โรแลนด์สูดหายใจ ก็จริง…เขาน่าจะเดาได้แต่แรกแล้ว ถ้าลีฟไม่ได้เป็นแบบนี้ แล้วเธอจะเดินสองเท้าเปล่าจากเทือกเขาสิ้นวิถีมายังเมืองชายแดน และพาพี่น้องที่รอดชีวิตทั้งหมดกลับมาที่นี่ได้อย่างไร?
เธอก็เป็นเหมือนกับป่า ภายนอกที่เธอบอบบางกลับซ่อนหัวใจที่แข็งแกร่งเอาไว้อยู่
“ข้ารู้แล้ว” หลังนิ่งเงียบไปครู่ เขาจึงพยักหน้าออกมา “แต่เจ้าต้องรับปากข้า ก่อนที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ที่มีพลังแห่งคำสาปจะถูกฆ่า ห้ามเจ้าทำอะไรคนเดียวเด็ดขาด”
พอพูดจบเขาก็มองไปทางแอชเชส “ระหว่างนี้ ข้าฝากเจ้าดูแลนางได้ไหม?”
แอชเชสหันไปสบตาทิลลี ก่อนจะตอบกลับมาว่า “หม่อมฉันจะดูแลนางเองเพคะ”
………………………………………………………..