Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1108 แค่นี้เหลือเฟือ
โจนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น สายตาเหม่อลอยมองดูขีดบิดๆ เบี้ยวๆ ที่อยู่ข้างเท้า
นั่นคือขีดนับจำนวนวัน
ทุกๆ วันที่ผ่านไป เขาจะใช้นิ้วมือขีดไปบนพื้นหนึ่งขีด
และวันนี้ก็เป็นวันที่ 7 แล้ว
ฟาร์รีน่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า โรแลนโซ่กำลังทรมานเธออยู่หรือเปล่า คำถามเหล่านี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ขอเพียงความคิดผุดขึ้นมาเล็กน้อย ภายในใจเขาก็จะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างแสนสาหัส
โจเริ่มสงสัยแล้วว่าตัวเองตัดสินใจพลาดหรือเปล่า
ถึงแม้ฌอนจะรับปากคำขอร้องของเขา ถึงแม้เขาไม่โดนทรมานหลังจากที่ถูกจับตัว แต่ระยะทางระหว่างเกรย์คาสเซิลกับวูล์ฟฮาร์ทนั้นไกลมาก กว่าฌอนจะส่งข่าวไม่ถึงราคาแห่งเกรย์คาสเซิล แล้วกว่าเขาจะทำการตัดสินใจ ส่วทหารมาวูล์ฟฮาร์ท อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือน ถ้ารวมเวลาที่ใช้ในการปรึกษาหารือ ไตร่ตรอง แล้วก็วางแผนล่ะก็ เกรงว่าคงต้องใช้เวลามากกว่านั้น
เขาไม่เชื่อว่าโรแลนด์ วิมเบิลดันจะจัดการปัญหาภายในของศาสนจักรเหมือนกับที่จัดการปัญหาภายในอาณาจักร
เผลอๆ เขาอาจจะปฏิเสธให้ความช่วยเหลือก็ได้
ถ้าเป็นแบบนั้น ความพยายามที่ผ่านมาของเขาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
โจก้มหน้ามองดูโซ่ตรงข้อเท้าของตัวเอง
โซ่ยาวประมาณคนหนึ่งคนเชื่อมเท้าเขาให้ติดอยู่กับขาเตียง
เมื่อถึงตอนนั้นบางทีเขาอาจจะใช้โซ่เส้นนี้….
“เฮ้ ตื่นหรือยัง?” จู่ๆ พลันมีคนเลิกผ้าคลุมเต็นท์ขึ้นมา แสงแดดที่แยงตาสาดเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลงโดยไม่รู้ตัว “ไม่ได้นอนหรอกเหรอ อย่างนั้นก็ตามพวกข้ามา”
“ปะ…ไปไหน?” แสงแดดที่จู่ๆ ก็สาดเข้ามาได้ตัดขาดความคิดของเขา ภายในหัวเขาว่างเปล่า
“ก็ไปวูล์ฟฮาร์ทน่ะสิ ทำไม เจ้าไม่ได้ร้อนใจอยากจะไปช่วยคนรักของเจ้าหรอกเหรอ?”
สายตาเขาค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับแสงอาทิตย์ คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็คือฌอน
จากนั้นเขาก็โยนกุญแจมาให้
โจเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขาหยิบกุญแจขึ้นมาด้วยมือที่สั่นเทา “หรือ…หรือว่า….”
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ช่วยเหลือนางออกมา แล้วก็พาพวกเจ้ากลับไปสอบสวนยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์” ฌอนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ทีมที่รับผิดชอบปฏิบัติการครั้งนี้ได้เดินทางมาถึงอ่าวคอรอลแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะไปรวมกับพวกเขา แล้วก็มุ่งหน้าไปยังเกาะอาชดยุค”
มาถึง…แล้วเหรอ?
ทำไมถึงเร็วขนาดนี้?
เขาแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดเรื่องพวกนี้!
โจรีบปลดล็อกให้ตัวเอง ในตอนที่ยืนขึ้นมาเขาเซไปเล็กน้อยเนื่องจากนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานานเกินไป แต่สุดท้ายเขาก็ยืนตัวตรงขึ้นมา
“ถ้าเจ้าไม่ไหว…..”
“ไม่ ท่านได้โปรดนำข้าไปเลยขอรับ!”
เขารีบขอร้องอย่างร้อนใจ
ฌอนยิ้มมุมปากเล็กน้อย “อย่างนั้นตามข้ามา”
โจหันกลับไปมองดูขีดนับจำนวนวันที่อยู่บนพื้น เส้นบิดๆ เบี้ยวๆ สะท้อนกับแสงแดดเปล่งประกายระยิบระยับออกมา
ข้างหน้าไม่รู้ว่าจะมีอนาคตแบบไหนรอเขาอยู่
แต่ในที่สุดเขาก็มองเห็นความหวัง
โจสูดหายใจ ก่อนจะเดินตามหัวหน้าองครักษ์ออกไปจากเต็นท์
…..
หลังจากนั้นหนึ่งวัน
อ่าวคอรอล
ที่นี่คือท่าเรือที่อยู่ปลายสุดของฝั่งตะวันออกของอาณาจักรดอว์น เมื่อเทียบกับท่าเรือที่อยู่ใกล้อาณาจักรเกรย์คาสเซิลกับฟยอร์ดแล้ว ที่นี่ดูเงียบเหงากว่ามาก นับตั้งแต่ที่อาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ถูกศาสนจักรบุกโจมตี ที่แห่งนี้ก็ยิ่งเงียบเหงามากกว่าเดิม ราชวงศ์อ่อนแอ ชุนนางแย่งชิงอำนาจ ตอนนี้ภายในอาณาจักรก็ยังตกอยู่ในสภาพวุ่นวายอยู่ การค้าเองก็ตกต่ำลงไปมาก เรือใบที่จอดอยู่ที่ท่าเรือส่วนใหญ่เป็นเรือของหาการค้าจากทางฟยอร์ด ส่วนเรือของสองอาณาจักรทองเหนือมีแค่ประปราย
ท่ามกลางเรือใบที่ลอยอยู่ในทะเลเหล่านี้ มีเรือลำหนึ่งที่ค่อนข้างสะดุดตา
มันไม่มีใบเรือ ด้านบนมีควันดำลอยออกมา สองด้านของเรือมีล้อไม้ขนาดใหญ่ติดเอาไว้อยู่ ตัวเรือเหมือนสร้างขึ้นมาจากก้อนหิน
เรือหินในตำนานของเกรย์คาสเซิล
โจคิดในใจ
ถึงแม้เขาจะเคยได้ยินคนพูดถึงมันมานานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน
พวกเขาเดินขึ้นไปบนเรือ ก่อนจะมีคนสองคนเดินออกมาหาพวกเขา
คนที่มาเป็นผู้หญิงหนึ่งคนผู้ชายหนึ่งคน
สายตาของโจกวาดตามองดูทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว ภายในใจเกิดความรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าทำไม เขาแอบรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาผู้หญิงคนนั้น เหมือนเคยเจอเธอที่ไหนมาก่อน
“อา ที่แท้ก็เลดี้โซอี้กับเลดี้เบ็ตตี้นี่เอง” ฌอนเข้าไปทักทายทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง “ฝ่าบาททรงมอบหมายปฏิบัติการครั้งนี้ให้กับพวกเจ้าเหรอ?”
“เพราะว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์พอดี แล้วก่อนหน้านั้นก็เคยมาอาณาจักรดอว์นแล้วน่ะสิ” หญิงสาวยักไหล่ “ถ้าไม่ใช่คำสั่งของฝ่าบาท ข้าก็ไม่อยากมาที่นี่หรอก…แนวหน้าสู้กับพวกปีศาจแล้ว ข้าควรอยู่ที่นั่นถึงจะถูก”
“นอกจากนี้เมื่อเทียบกับคำว่าเลดี้แล้ว ข้าอยากให้เจ้าเรียกข้าว่าคุณหนูมากกว่า” ผู้ชายแสยะยิ้ม “ข้าไม่เหมือนกับโซอี้ ถึงแม้จะตื่นมาช้าที่สุด แต่มันก็เพิ่งจะร้อยกว่าปีเท่านั้นเอง”
“ร้อยปียังแก่ไม่พอเหรอ?” ผู้หญิงกรอกตาใส่เขา
“แต่ข้ารู้สึกแปลกมากเลย เวลาที่อยู่ในโลกแห่งความฝัน คนพวกนั้นพากันเรียกข้าแม่หนูๆ อะไรซักอย่างเนี่ยแหละ แต่แน่นอน…จะเรียกท่านเลดี้ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“อย่างนั้นก็เรียกคุณหนูแล้วกัน” ฌอนมองอีกฝ่ายอย่างจนปัญญา “ถ้าทั้งสองคนคิดว่าแบบนั้นดีกว่าล่ะก็นะ”
เดี๋ยวๆ…พวกเขากำลังคุยอะไรกัน? โจมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าสับสน เลดี้? คุณหนู? ดูยังไงนี่มันก็ผู้ชายชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่บอกว่าสู้กับปีศาจแล้วหมายความว่ายังไง? พระจันทร์สีแดงยังไม่ปรากฏออกมาเลย ปีศาจที่พวกเขาว่ามันหมายถึงอะไรกันแน่?
“คนนี้คือบาทหลวงคนสุดท้ายของศาสนจักรเหรอ?” ผู้หญิงที่ถูกเรียกว่าโซอี้มองดูเขา “ความหวังที่ราชินีสตาร์ฟอลฝากฝังเอาไว้ สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเครื่องมือให้คนโง่ใช้แย่งชิงอำนาจกัน ถึงแม้จะเป็นอดีตศัตรู ก็แต่อดรู้สึกเสียดายแทนนางไม่ได้”
“ดังนั้นพวกเราจะเป็นคนจบมันเอง จะได้ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก” อีกคนพยักหน้า “ในเมื่อมากันครบแล้ว อย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเถอะ”
มา…มันกันครบแล้ว?
โจไม่ได้สนใจคำพูดแปลกๆ ที่อีกฝ่ายว่ามาในตอนแรก เขารีบมองไปรอบๆ เรือหินลำนี้ไม่ได้ใหญ่ถึงขนาดที่จะบรรจุทหารได้ทั้งหน่วย แต่บริเวณรอบๆ เขากลับมองไม่เป็นเรือหินของเกรย์คาสเซิลลำอื่นเลย
“นายท่าน…” โจกัดฟันถามข้อสงสัยในใจตัวเองออกไป
แต่คนที่ตอบเขากลับมากลับเป็นโซอี้ “ทีมช่วยเหลือที่เจ้าว่าก็อยู่ตรงนี้แล้วไง”
ตรง…นี้?
ราวกับว่าข้อสงสัยภายในใจเขาได้รับการยืนยันอย่างไรอย่างนั้น อีกฝ่ายชี้ไปที่ตัวเอง แล้วก็ชี้ไปที่เบ็ตตี้ “ข้ากับนางคือทีมช่วยเหลือ”
โจมองไปทางฌอนอย่างรู้สึกหวาดวิตก “นายท่าน! ในมือโรแลนโซ่มีทหารอาญาสิทธิ์อยู่….”
“ห้าคน อย่างมากก็ไม่เกินสิบคนใช่ไหม?” อีกฝ่ายพูดตัดบทเขา
เขามองดูอีกฝ่ายอย่างตกตะลึง แม้แต่คำว่า ‘ใช่’ ก็ไม่ได้ตอบออกมา ทำไม ทำไมทั้งสามคนถึงดูไม่ได้ร้อนใจอะไรเลย นั่นมันสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาอย่างมากนะ!
ไม่รู้ก็เลยไม่กลัวเหรอ? เป็นไปได้ยังไง ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ไม่แน่ แต่เกรย์คาสเซิลนั้นเคยสู้กับกองทัพทหารอาญาสิทธิ์ที่สันเขาโคลด์วินด์มาแล้ว พวกเขาน่าจะรู้จักนักรบที่น่ากลัวพวกนี้ดีพอๆ กับศาสนจักรนี่นา
ถึงแม้จะมีอาวุธที่น่ากลัวขนาดไหน แต่การฝืนบุกเข้าไปในปราสาทจะทำความในเปรียบในเรื่องระยะยิงลดลง ทันทีที่เข้าไปในพื้นที่คับแคบแล้วเผชิญหน้ากับทหารอาญาสิทธิ์ล่ะก็ อาวุธปืนก็จะไม่สามารถยิงอีกฝ่ายจนล้มได้ในทันที เพราะว่าพวกมันไม่กลัวความเจ็บปวด ถ้ายังสามารถเคลื่อนไหวได้ พวกมันก็จะไม่หยุดโจมตี
จากที่เขาคิดเอาไว้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้คนประมาณ 100 – 200 คนแยกกันบุกเข้าไป แล้วค่อยๆ ไล่จัดการศัตรูไปทีละห้องถึงจะสามารถยึดปราสาทมาได้ ถ้ามีคนน้อยกว่าที่ว่า จำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอาจจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่ว่า…สองคนเนี่ยนะ?
มันจะเป็นไปได้ยังไง!
“เจ้ากำลังคิดว่า….มันจะเป็นไปได้ยังไง…อยู่ใช่ไหม?” โซอี้ยิ้มดูถูกขึ้นมา “นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องแผนการของท่านอควาเรียสเลยน่ะสิ สรุปแล้วก็คือทหารพวกนั้นเป็นแค่เปลือกเปล่าๆ ที่ไม่มีวิญญาณเท่านั้น แค่พวกข้าสองคนก็เหลือเฟือแล้ว”
……………………………………………………………………..