Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1110 ร่างสมบูรณ์ของนักรบอาญาสิทธิ์
หลังจากนั้นสองวัน
โจถูกพาออกมาจากห้องแล้วพาไปที่หัวเรือ
“นั่นคืออาณาเขตของโรแลนโซ่ใช่ไหม?” โจถาม
พื้นน้ำทะเลสะท้อนแสงอาทิตย์ยามเช้าเป็นประกายระยิบระยับ ภาพเกาะสีเทาสลับขาวลอยตะคุ่มๆ อยู่ด้านบน
เขารู้สึกหัวใจของตัวเองถูกบีบเค้นขึ้นมาทันที สองมือจับราวกั้นบนเรือเอาไว้แน่นก่อนจะชะโงกหน้าออกไปด้วยกลัวว่าตัวเองจะมองผิด
“ใช่ขอรับ นั่นเกาะอาชดยุค!”
ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว พร้อมกับผู้ช่วยเหลือ
ฟาร์รีน่า อดทนอีกหน่อยนะ!
“บนเกาะมีท่าเรืออยู่ทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกสองแห่ง” โจสูดหายใจ ก่อนจะรีบพูดต่อว่า “นับตั้งแต่ที่โรแลนโซ่เป็นขุนนาง พื้นที่ท่าเรือก็มีทหารมาคอยดูแลอยู่ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะคอยป้องกันพวกขุนนางคนอื่นๆ จากวูล์ฟฮาร์ทมากกว่า พวกเขาไม่ค่อยเข้มงวดกับเรือสินค้าเท่าไร ปัญหาหลักๆ อยู่ที่เขตปราสาท การป้องกันที่นั่นมีความแน่นหนาอย่างมาก หากไม่มีหลักฐานว่าได้รับอนุญาตให้เข้าไปก็ไม่มีทางที่จะเหยียบเข้าไปในเขตปราสาทได้”
เขาแทบจะทนไม่ไหวแล้ว
ในช่วงสองวันนี้ เคแกน เฟสถามคำถามเขาเยอะแยะมากมาย แต่คำถามเหล่านั้นกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับความลับของศาสนจักรหรือปฏิบัติการช่วยเหลือในครั้งนี้เลย
หากแต่ถามเกี่ยวกับความอคติที่เขามีต่อฟาร์รีนา การด่าทอ การหลบหนีในภายหลัง ทำงานด้วยกัน ช่วยเหลือกัน ทุกอย่างล้วนแต่ถามเขาอย่างละเอียด ในตอนที่เขาไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้ เคแกนก็จะให้เรินต์แกนที่เป็นลูกศิษย์มาแสดงเป็นฟาร์รีน่าเพื่อให้เขานึกถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาใหม่
นอกจากเวลากินข้าวแล้ว เขาก็แทบจะไม่เจอหน้าคนอื่นๆ เลย
เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องการช่วยเหลือในครั้งนี้แม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้โจจึงรีบฉวยโอกาสในตอนนี้พูดความคิดที่อยู่ในใจออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะฟังที่เขาพูดหรือไม่ แค่ขอเพียงมันมีประโยชน์ นั่นก็เท่ากับว่ามีโอกาสในการช่วยฟาร์รีน่าออกมามากขึ้น
“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเรามีวิธีจัดการของพวกเรา” โจพูดตัดบทเขา “ที่เรียกเจ้าก็เพราะอยากให้เจ้าได้เจอคนๆ หนึ่ง จะได้ทำความคุ้นเคยกันไว้ก่อน”
“ใคร…ขอรับ?”
“คนนำทางของเรา”
เขาพูดจบก็ผิวปากขึ้นมา จากนั้นลูกเรือสองคนก็คุมตัวชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
โจจำได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร
“แฮกริด ไอคนทรยศ…!”
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นสาวกฝ่ายศาสนบริกรเหมือนกัน ก่อนที่จะถูกย้ายให้มาเป็นผู้ช่วยของโรแลนโซ่ แฮกริดถือว่ามีตำแหน่งสูงกว่าเขา
“เหอะ” แฮกริดส่งเสียงดูถูกออกมา “พูดเหมือนกับว่าเจ้าจงรักภักดีต่อศาสนจักรอย่างนั้นแหละ ถ้าฟาร์รีน่ารู้ว่าเจ้าหันไปสวามิภักดิ์ต่อเกรย์คาสเซิล เจ้าคิดว่าใครมันควรจะถูกเรียกว่าคนทรยศมากกว่ากันล่ะ”
“ข้า…” โจพูดไม่ออกไปทันที
“ไม่ต้องเถียงกัน” ฌอนเดินเข้ามาคั่นกลางทั้งสองคน “แฮกริด เจ้าน่าจะรู้หน้าที่ของเจ้าใช่ไหม?”
เมื่ออยู่ต่อหน้าราชองครักษ์ เสียงของแฮกริดเบาลงทันที “ขอรับ นายท่าน ถ้านักรบทั้งสองคนนั้นเข้าไปในปราสาทขอรับ”
“นี่เป็นโอกาสไถ่โทษหนึ่งเดียวของเจ้า เจ้าจะคว้ามันเอาไว้ได้หรือเปล่ามันก็อยู่ที่ตัวเจ้าแล้วนะ”
“เข้าไปในปราสาทมันไม่มีปัญหาหรอกขอรับ แต่นายท่าน ท่านแน่ใจนะขอรับว่าแค่สองคนมันจะพอ?”
เขาเป็นกังวลแทนเกรย์คาสเซิลงั้นเหรอ?
โจตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนจะคิดขึ้นมาได้ อย่างนี้นี่เอง ไม่ว่าแฮกริดจะพาคนเข้าไปในปราสาทกี่คนมันก็ถือเป็นการทรยศที่โรแลนโซ่ไม่อาจยอมรับได้ ถ้าเกรย์คาสเซิลพ่ายแพ้ จุดจบเขาคงจะไม่ดีอย่างแน่นอน อย่างนั้นก็สู้ฝากความหวังเอาไว้ที่เกรย์คาสเซิล ภาวนาในอีกฝ่ายสามารถกำจัดโรแลนโซ่ได้จะดีกว่า
“วางใจได้ เดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้เห็นเอง” โจมองไปทางเกาะอาชดยุคที่ค่อยๆ ขยับใกล้เข้ามาพร้อมกับยิ้มอย่างเยือกเย็น “พวกนางต่างหากถึงจะเป็นร่างสมบูรณ์ที่ได้รับพลังมา เป็นนักรบอาญาสิทธิ์ที่แท้จริง”
…..
หลังตกกลางคืน ทีมช่วยเหลือหกคนจึงเดินทางออกจากท่าเรือ มุ่งหน้าตรงไปยังปราสาท
นอกจากโซอี้กับเบ็ตตี้แล้ว คนที่ตามมาด้วยยังมีทหารจากกองทัพที่หนึ่งอีกสองคน
หน้าที่ของพวกเขาคือคอยดูโจและแฮกริดเอาไว้
เมื่อมีคนสนิทของเอิร์ลมาเป็น ‘คนนำทาง’ ให้ ตลอดทั้งทางก็เรียกได้ว่าราบรื่นไร้อุปสรรค ถึงจะมีหน่วยลาดตระเวนเข้ามาสอบถาม แต่แฮกริดก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
ทหารยามที่อยู่ตรงปากทางเข้ากำแพงปราสาทเองก็เหมือนกัน
ถึงแม้อีกห้าคนที่เหลือจะใส่ชุดคลุมดูลับๆ ล่อๆ แต่ทหารยามก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าแฮกริดนั้นได้รับความไว้วางใจจากโรแลนโซ่อย่างมาก
หลังเดินทะลุสวนเข้าไป ปราสาทของผู้ปกครองก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
จากคำบอกเล่าของแฮกริด การโจมตีของฟาร์รีน่าทำให้เอิร์ลโรแลนโซ่ตกใจกลัวอย่างมาก เขาเอาทหารอาญาสิทธิ์ที่ยังเคลื่อนไหวได้ทั้งหมดไปรวมกันอยู่ที่ห้องนอนของเขา จำนวนไม่เกิน 6 ตัว
นอกจากนี้ประตูห้องนอนก็ถูกเปลี่ยนเป็นประตูที่ทำขึ้นมาจากแร่คิวไพรต์ที่แข็งแกร่ง ว่ากันว่าคนธรรมดาแม้แต่จะดันมันก็ยังทำไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทำลายล็อกเพื่อจะบุกเข้าไปเลย ปกติถ้าอยากจะเข้าไปก็มีแต่ต้องให้ทหารอาญาสิทธิ์เปิดมัน
“หลอกโรแลนโซ่ออกมานอกห้องนอนนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แค่บอกว่ารู้ความลับของสมบัติแล้วก็พอ” แฮกริดเดินไปพูดไป “แต่เขาจะต้องพาทหารอาญาสิทธิ์ออกมาด้วยแน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าในห้องโถงมีคนแปลกหน้า ทหารยามที่อยู่ตรงนั้นก็จะยิ่งเพิ่มการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ต้องหาวิธีหลอกล่อพวกเรา…”
“ไม่จำเป็น เจ้าแค่บอกพวกข้ามาว่าห้องนอนอยู่ชั้นไหนก็พอ” โซอี้พูดพร้อมยักไหล่ “จากนั้นก็พาโจไปที่คุกใต้ดิน แล้วช่วยผู้หญิงคนนั้นออกมา ส่วนเรื่องที่จะสู้อย่างไรนั้น เดี๋ยวพวกข้าจัดการเอง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
แฮกริดตกตะลึงไปครู่ก่อนจะพูดตอบรับออกมา “ขอรับ…ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปเคาะประตูข้าง
ชายแก่ที่เฝ้าประตูคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมา “ที่แท้ก็ท่านแฮกริดนี่เอง ทำไมท่านจะกลับมาไม่แจ้งทางนี้ก่อนล่ะขอรับ..”
“เหลวไหล ข้ามีเรื่องต้องไปรายงานท่านเอิร์ล ถอยไป!”
“ขะ ขอรับ…” อีกฝ่ายรีบเบี้ยงตัวหลีกทางให้ทันที “แต่ว่าคนพวกนี้…”
“สายสืบที่ข้าส่งไปเคจเมาเธ่น ทำไม เจ้าอยากจะล้วงความลับของท่านเอิร์ลเหรอ?”
“มิกล้า!” ชายแก่รีบก้มหน้าทันที
หลังเดินผ่านประตูข้าง แล้วทะลุกำแพงอีกสองชั้นเข้ามา ทุกคนก็เข้ามาอยู่ในพื้นที่ชั้นในของปราสาท
ทหารที่ยืนเฝ้าประตูก็กลายเป็นทหารของตระกูลที่สวมใส่ชุดเกราะ
เมื่อเห็นมีคนเดินเข้ามา ทหารยามสองคนก็เอื้อมมือไปจับดาบที่เอวทันที
“ห้องนอนของโรแลนโซ่อยู่ชั้นสี่…แต่ข้าพาพวกเจ้าขึ้นไปไม่ได้…” แฮกริดพูดเสียงเบาๆ
“โอ้ นั่นมันท่านแฮกริดไม่ใช่เหรอ? ช่วงนี้ท่านเอิร์ลเอาแต่บ่นถึงท่าน คนพวกนี้คือแขกของท่านอย่างนั้นเหรอ?” ทหารยามทำความเคารพ ก่อนจะหันไปพูดกับโซอี้ “โปรดรออยู่ที่ห้องโถงก่อน นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตจากท่านเอิร์ล…เดี๋ยวๆ เลดี้คนนี้…”
โซอี้ดึงหมวกคลุมศีรษะออก ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาเขา ส่วนทหารยามเพิ่งจะพูดเตือนออกมาได้แค่ครึ่งเดียวก็ถูกมือข้างมือบีบเข้ามาที่คอ
“ท่านแฮกริด นี่มัน…” ทหารยามอีกคนหนึ่งก็ตกใจเหมือนกัน เขายังไม่ทันจะชักดาบ มือขนาดใหญ่ของเบ็ตตี้ก็คว้าเข้าไปที่คอของเขา
“ครึก”
หลังเสียงหักดังขึ้นมา คอของทหารยามก็บิดงอทันที
แฮกริดกับโจต่างพากันสูดปากด้วยความตกใจ
หักคอด้วยมือเพียงข้างเดียว คนธรรมดาทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุดแต่เพียงเท่านี้
พวกเธอหิ้วร่างทหารยามเดินเข้าไปในห้องโถง หลังจากนั้นจึงเอาร่างทหารยามมาบังเอาไว้ตรงด้านหน้าของตัวเอง ภาพเหตุการณ์แปลกประหลาดนี่ทำให้ทหารยามที่เหลือพากันงุนงง “เฮ้ย พวกเจ้ากำลังทำอะไรน่ะ?”
“ไม่…ไม่สิ เจ้าดูนั่น เท้าของพวกเขาลอยอยู่!”
“อะไรนะ?”
แสงไฟสลัวภายในห้องส่งผลต่อการมองเห็นของทุกคน กว่าพวกเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว
โซอี้และเบ็ตตี้พุ่งตัวเข้าใส่ทหารยามที่ไม่ทันตั้งตัวเหมือนกับเงามืด เป้าหมายของพวกเธอคือลำคอที่ไม่มีชุดเกราะคอยปกป้อง
เดิมการเฝ้ายามในเวลากลางคืนก็มักจะทำให้คนเราไม่ค่อยระวังอยู่แล้ว ส่วนคู่ต่อสู้ของพวกเขายังเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์อีก
โจเอามือขึ้นมาปิดปากโดยไม่รู้ตัว
เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ทหารยามที่เหลืออีกสี่คนก็ถูกหักคอจนหมด ศพของพวกเขานอนกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
พละกำลังและความเร็วแบบนี้เขาเคยเห็นแต่ทหารอาญาสิทธิ์ที่ทำได้!
แต่ทหารอาญาสิทธิ์นั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่มีความสามารถในการคิด พวกมันสามารถฉีกร่างศัตรูได้สบายๆ แต่ถ้าจะให้พวกมันจัดการศัตรูแบบเงียบๆ เช่นนี้ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
เขามองเห็นความตกตะลึงแบบเดียวกันอยู่บนใบหน้าของแฮกริด
‘พวกนางได้รับพลังที่สมบูรณ์มา เป็นนักรบอาญาสิทธิ์ที่แท้จริง’
ภายในหัวของโจมีคำพูดของฌอนดังขึ้นมา
นี่คือ…ผลงานชิ้นเองของโรแลนด์ วิมเบิลดันอย่างนั้นเหรอ?
เขาไม่มั่นใจแล้วว่าพระสันตะปาปาจะเป็นคนที่รู้เรื่องความลับนี้ลึกซึ้งที่สุด
“หลังจากนี้ทำตามแผนที่วางไว้” โซอี้กวาดตามองดูโจ “ไม่ว่าคนที่เจ้าจะช่วยจะเป็นหรือตาย ก็ห้ามเสียเวลาอยู่ในคุกใต้ดิน เข้าใจไหม?”
“ข้า…เข้าใจแล้ว”
หลังได้รับคำตอบ ทั้งสองคนก็วิ่งขึ้นบันไดไป
ตรงบันไดนั้นไม่มีทหารคอยเฝ้าอยู่ โซอี้กับเบ็ตตี้วิ่งตรงขึ้นไปยังชั้นสี่ ก่อนจะเห็นสองข้างทางของทางเดินแคบๆ มีประตูตั้งเรียงรายอยู่หลายห้อง นั่นน่าจะเห็นห้องที่เตรียมเอาไว้สำหรับพวกสาวใช้ ส่วนตรงปลายทางเดินนั้นมีประตูโลหะบานใหญ่ตั้งอยู่ มันส่องประกายสีแดงเข้มออกมาภายใต้แสงเทียน
“ประตูคิวไพรต์จริงๆ ด้วย” โซอี้เลิกคิ้ว
“เจ้าคิดจะทำยังไง?” เบ็ตตี้เบะปาก “ถ้าด้านหลังมีโซ่เหล็กล่ามอยู่ล่ะ ข้าคิดว่าคงชนมันไม่เปิดแน่”
“แน่นอน ถ้าไม่มีทาง อย่างนั้นเราก็เปิดทางขึ้นมาใหม่สิ”
“ข้าก็…คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เบ็ตตี้ถีบประตูไม้ที่อยู่ด้านข้างห้องนอนของเอิร์ล ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
“กรี๊ด…” เสียงตะโกนกรีดร้องดังขึ้นมา สาวใช้ที่สวมเสื้อแพรบางๆ รีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังหน้าอกของตัวเองทันที “พวก พวกเจ้าเป็นใคร?”
“น่าเสียดาย ข้าไม่ได้สนใจผู้หญิง” เบ็ตตี้ปลดเชือกออก เสื้อคลุมหลุดลงไปกองอยู่บนพื้น ปืนกระบอกโตปรากฏอยู่ด้านหลัง “ถ้าเป็นผู้ชายหล่อๆ ล่ะก็…”
“เจ้าพูดแบบนี้มีแต่จะทำให้นางตกใจมากกว่าเดิม” โซอี้อุทานออกมา ก่อนจะเอาปืนลูกซองมาถือไว้ในมือ “หนึ่ง สอง…”
“สาม!”
ทั้งสองคนหันปืนไปที่กำแพงพร้อมกับเหนี่ยวไก
เสียงแสบแก้วหูดังสนั่นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กำแพงที่สร้างขึ้นมาจากอิฐนั้นไม่สามารถป้องกันการยิงซ้ำๆ ของกระสุน 40 มม.ได้ เศษอิฐปลิวว่อนไปทั่วห้อง ไม่นานบนกำแพงก็มีรูบิดๆ เบี้ยวๆ ปรากฏขึ้นมา
จากนั้นโซอี้เอาตัวพุ่งชนแล้วกระโดดเข้าไปในห้องของเอิร์ล
……………………………………………………………….