Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1120 เมืองแหลมทะเล
“เรือมาแล้ว ทุกคน! มาเร็ว!” ซิมบาดี้ตะโกนเสียงดัง
“โอ้ๆๆๆ!” ชาวเผ่าฟิชโบนแห่กันมาที่ท่าเรือ ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง บางคนรับผิดชอบเรื่องการมัดเชือก บางคนรับผิดชอบเรื่องสะพานไม้ ถึงแม้จะดูยุ่งวุ่นวาย แต่กลับไม่มีอาการเงอะๆ เงิ่นๆ แม้แต่นิดเดียว ขอเพียงไม่ต้องขึ้นเรือ ท่าทางของพวกเขาไม่ได้ต่างจากกะลาสีเรือเท่าไร ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อหนึ่งปีครึ่งก่อนหน้านี้ คนที่ทั้งชีวิตเคยเห็นทะเลเพียงไม่กี่ครั้งจะมาทำงานแบบนี้ได้
ไม่นาน สินค้าบนเรือก็ถูกขนลงมาจนหมด
“ซิมบาดี้ พวกเขาบอกว่าให้ขนสินค้าขึ้นไปได้แล้ว!”
“สินค้าแดงหรือสินค้าดำ แต่ละอย่างเอากี่ถัง เจ้าได้ถามมาหรือเปล่า?”
“วางใจได้ ข้าจดไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว!”
“ดีมาก อย่างนั้นก็เริ่มกันเลย!”
‘สินค้า’ คือคำเรียกที่ทุกคนใช้กันเป็นประจำ ทั้งแหลมเอนด์เลสนั้นผลิตสินค้าเพียงแค่ชนิดเดียว นั่นก็คือน้ำสีดำจากแม่น้ำสติกส์ใต้ดิน แต่ว่าเมื่อพื้นที่การเก็บน้ำสีดำขยายใหญ่ขึ้น ชาวทะเลทรายก็พบว่าแม้น้ำสติกส์นั้นไม่ได้มีแค่สีเดียว ในแม่น้ำใต้ดินอีกสองสายมีแม่น้ำสติกส์สีเขียวดำและสีแดงเข้ม ซึ่งพวกมันต่างก็ใช้จุดไฟได้เหมือนกัน ต่างกันแต่เรื่องคุณลักษณะและกลิ่นเท่านั้น เพื่อความสะดวก ทุกคนจึงเริ่มใช้คำว่า ‘สินค้า’ มาแทนที่น้ำสีดำ จากนั้นไม่นานคำเรียกนี้ก็แพร่หลายในหมู่คนทางเหนือ
ซิมบาดี้มาทำงานที่ท่าเรือเรฟเวลรี่เป็นครั้งที่สี่แล้ว
เขาจำได้ว่าตอนที่มายังทะเลทรายที่รกร้างแห่งนี้ครั้งแรก ความคิดแรกของเขาก็คือถ้าหลังจากนี้อีกสามเดือนเขายังมีชีวิตรอดไปได้ เขาก็จะหนีไปจากที่นี่ให้ไกล แต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือเมืองแห่งหนึ่งจะค่อยๆ ปักหลักลงที่ทางตอนใต้สุดของทะเลทรายได้จริงๆ ถ้าการฟื้นฟูโอเอซิสนั้นคือเรื่อมหัศจรรย์ อย่างนั้นการสร้างท่าเรือเรฟเวลรี่ก็เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์จากพระเจ้า
ที่แหลมเอนด์เลสกลายเป็นดินแดนแห่งการเนรเทศก็เพราะว่ามันไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากอันตราย ต่อให้เป็นนายพรานที่มีประสบการณ์โชกโชนแค่ไหนก็ไม่มีทางที่จะมีชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยตัวคนเดียวได้ การที่อยากจะสร้างเมืองที่รองรับคนได้หนึ่งร้อยคนหรือหลายพันคนนั้น ชาวทะเลทรายมองว่ามีแต่สามเทพเท่านั้นที่จะทำได้
เดิมเขาคิดว่าหลังจากชีคผู้ที่ดูถูกพลังของทะเลทรายจะล้มเลิกความคิดที่น่าขันนี้ไปหลังจากที่ได้ลิ้มรสความล้มเหลว แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าแท้ที่จริงแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องของทะเลทรายนั้นกลับกลายเป็นชาวทะเลทรายที่อาศัยอยู่ในทะเลทรายนี้มาหลายร้อยปีต่างหาก
แหลมเอนด์เลสนั้นมีอะไรอย่างอื่นอยู่
เพียงแต่พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเท่านั้น
ปัญหาแรกที่ถูกจัดการก็คือเรื่องแหล่งน้ำ
เจ้าหน้าที่จากอาณาจักรทางเหนือที่ชื่อเคนคูรี่คนนั้นนำพวกเขาไปสร้างอ่างเก็บน้ำที่ยาวสุดลูกหูลูกตา มันคือเพิงเตี้ยๆ ที่มีผ้าใบสีดำบางๆ คลุมเอาไว้อยู่ ตอนแรกเขายังมองไม่เห็นความแปลกประหลาดของมัน แต่พอสิ้นสุดเดือนแห่งปีศาจ ชาวทะเลทรายถึงได้รู้ว่าแสงอาทิตย์นั้นสามารถแยกเกลือสีขาวออกมาจากน้ำทะเลได้ ไอน้ำจะไปจับตัวเป็นหยดน้ำอยู่บนผ้าใบ ก่อนจะไหลลงมารวมกันอยู่ในท่อ จากนั้นจึงไหลไปรวมอยู่ในถังเก็บน้ำ แสงอาทิตย์ยิ่งแรก ความเร็วในการเก็บน้ำก็จะยิ่งเร็ว ถึงแม้อ่างน้ำอ่างหนึ่งจะผลิตน้ำจืดได้ไม่เยอะ แต่เมื่ออ่างน้ำหลายร้อยอ่างรวมกัน ปริมาณน้ำที่ได้ก็ถือว่ามากพอเลยทีเดียว
ตอนนี้อ่างเก็บน้ำแบบนี้ยังคงถูกขยายออกไปเรื่อยๆ ไม่หยุด พวกมันไม่เพียงแต่จะผลิตน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการของชาวทะเลทราย แต่มันยังสามารถผลิตน้ำจืดให้กับเรือของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ด้วย นี่ถือเป็นการทำลายความรู้ความเข้าใจเดิมของชาวทะเลทรายลงจนหมดเลยก็ว่าได้
เรื่องต่อมาคือปัญหาที่อยู่อาศัย
อาศัยแค่เต็นท์เพียงอย่างเดียวไม่มีทางที่จะกันแสงอาทิตย์ตอนเที่ยงได้แน่ ยิ่งใกล้ฤดูร้อนอากาศก็จะยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ ถ้าไม่มีที่ให้หลบแดดร้อนๆ แค่น้ำเพียงอย่างเดียวไม่มีทางที่จะอยู่ที่นี่ได้นานแน่
พวกก้อนหินที่ใช้สร้างเมืองไอรอนแซนด์นั้นมาจากพื้นที่ทางใต้สุดก่อนที่มันจะกลายเป็นทะเลทราย นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บนซิลเวอร์สตรีมมีโอเอซิสอยู่เต็มไปหมด แต่กลับมีเมืองอยู่เพียงเมืองเดียว
ซึ่งคนจากอาณาจักรทางเหนือยังคงใช้วิธีหาวัตถุดิบจากในพื้นที่เหมือนเดิม
พวกเขาสร้างเตาเผาขึ้นมาหลายเตา แล้วใช้น้ำสีดำเป็นเชื้อเพลง ก่อนจะใส่โคลนที่ขุดขึ้นมาจากใต้ทะเลที่ผสมกับทรายละเอียดที่ผ่านการกรองเข้าไป จากนั้นจึงเผามันให้กลายเป็นอิฐออกมา เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่มีให้ใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่นานท่าเรือเรฟเวลรี่จึงมีบ้านที่ทำจากอิฐขึ้นมา แถมกำแพงด้านนอกกับเพดานยังใช้เป็นโครงสร้างสองชั้นด้วย ถึงแม้จะไม่อาจเทียบกับโอเอซิสที่มีเงาไม้ปกคลุมได้ แต่ก็ว่าเป็นที่มีอาศัยที่มีความแข็งแรงทนทาน
สุดท้ายก็คือเรื่องอาหาร
ทูรามที่เป็นผู้อาวุโสของเผ่าพราวด์แซนด์สั่งให้ทุกคนเอาแหหลายสิบปากไปกางไว้ตรงริมชายหาด เวลาที่น้ำขึ้น น้ำทะเลก็จะขึ้นมาท่วมแหเหล่านี้ พอน้ำลด บนแหก็จะมีสัตว์แปลกๆ ติดอยู่ตามแหเต็มไปหมด ตอนแรกซิมบาดี้ไม่กล้าที่จะกินอาหารรูปร่างแปลกๆ เหล่านี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าแส้ของทูราม เขาจึงได้แต่ต้องกัดฟันกินมันเข้าไป
แต่เขากลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่าของเหล่านี้มีรสชาติที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ถึงแม้อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาจะยังต้องขนมาจากเมืองเนเวอร์วินเทอร์ แต่เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว อาหารของพวกเขาถือว่าอุดมสมบูรณ์กว่ามาก
หลังเรื่องอาหารการกินและที่อยู่อาศัยได้รับการแก้ไขแล้ว สภาพจิตใจของซิมบาดี้ก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง กระทั่งช่วงเวลาสามเดือนสิ้นสุดลง เขาก็ทำการตัดสินใจที่แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกแปลกใจ นั่นคือเลือกที่จะทำงานที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ต่อ
เพราะว่าเงินค่าจ้างที่นี่ดีกว่าท่าเรือเคลียร์วอเทอร์ไม่น้อยทีเดียว
นอกจากนี้เขายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจเช่นนี้
….
หลังเรือลำสุดท้ายขนสินค้าจนเต็ม งานวันนี้ก็เป็นอันสิ้นสุดลง
“ซิมบาดี้ วันนี้เหนื่อยหน่อยนะ”
“พี่ พรุ่งนี้เจอกัน!”
“เดี๋ยวข้าจะไปตลาดซักหน่อย เจ้าจะไปกับข้าไหม?”
เนื่องจากมาทำงานที่นี่หลายครั้ง ซิมบาดี้จึงกลายเป็นผู้รับผิดชอบของเผ่าฟิชโบนไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะมีภารกิจอะไร ทูรามจะมาหาเขาเป็นคนแรก เมื่อเจอกับการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เขาก็แอบรู้สึกตกใจเหมือนกัน ตอนที่ยังอยู่ที่โอเอซิสในซิลเวอร์สตรีม เขาเหมือนเป็นคนที่ไม่มีตัวตน อย่าว่าแต่ให้เขารับผิดชอบงานอะไรเลย แม้แต่คนที่ยินดีจะมาทำงานกับเขายังมีแค่ไม่กี่คน แต่ตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะมีคนยกเขาให้เป็นหัวหน้าทีม แถมยังมีสาวๆ บางคนมาเชื้อเชิญเขาด้วย นี่ทำให้เขารู้สึกขอบคุณชีคอย่างมาก
แต่ซิมบาดี้ก็ไม่ได้ตอบรับคำเชื้อเชิญเหล่านั้น
เพราะในใจเขามีคนที่ชอบอยู่แล้ว
“เฮ้ รอข้าก่อน ซิมบาดี้!”
ในขณะที่เขากำลังเตรียมตัวจะไปหามอลลี่ เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งก็ดังมาเข้าหูของเขา
มุมปากของซิมบาดี้ยกขึ้นมาทันที เขายิ้มพร้อมหันหน้ากลับไป แต่สีหน้าเขากลับนิ่งไปทันที
คนที่มาหาเขาคือมอลลี่ หญิงสาวที่มักจะมัดผมเปียสีดำและเป็นเพียงคนเดียวในเผ่าที่ไม่แสดงท่าทีรังเกียจเขา
คาร์โลนซึ่งเป็นความภาคภูมิใจของเผ่าเลือกที่จะไม่ทำงานต่อที่นี่ แต่ตัวมอลลี่กลับเลือกที่จะทำงานต่อ และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขายังอดทนทำงานต่อไป เดินซิมบาดี้คิดว่าตัวเองอาจจะมีโอกาส แต่ตอนนี้เขากลับเป็นอีกฝ่ายจูงมือชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นชายคนนั้นยังไม่ใช่ชาวทะเลทรายด้วย!
“มอลลี่ เจ้า…กับเขา…” ซิมบาดี้พูดอึกๆ อักๆ
“อา!” ในตอนนี้มอลลี่ถึงได้สังเกตเห็นว่ามือของทั้งสองคนกำลังจับกันอยู่ เธอรีบปล่อยมืออีกฝ่ายแล้วยิ้มอย่างเขินๆ “ข้าอยากรีบพาเขามาหาเจ้า ก็เลยจูงมือเขามาน่ะ”
“อย่าง…อย่างงั้นหรอกเหรอ?”
“ฟู่ว สาวน้อยคนนี้แรงเยอะจริงๆ” คนๆ นั้นหายใจหอบเล็กน้อย “ข้าอยากจะหยุดก็หยุดไม่ได้ เหมือนกับถูกวัวลากอย่างไรอย่างนั้น…ชาวโมแกนนี่แข็งแกร่งสมคำร่ำลือจริงๆ” เขามองดูซิมบาดี้ “ข้าขอแนะนำตัวก่อนแล้วกัน…ข้าชื่อริคส์ มาจากฟยอร์ดที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของทะเล”
“แค่ดูก็รู้ว่าเจ้าคือคนฟยอร์ด” ซิมบาดี้กันมอลลี่ไปอยู่ข้างหลัง “ข้าไม่มีอะไรวัตถุโบราณอะไรจะขายให้เจ้าหรอกนะ เจ้าไปซะเถอะ!”
ถ้าบอกว่าที่ผ่านมาท่าเรือเรฟเวลรี่นั้นอยู่ในสภาพที่พัฒนาไปได้เรื่อยๆ ทั้งขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แล้วล่ะก็ เช่นนั้นช่วงระยะเวลาสามเดือนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นการทำลายความเงียบสงบที่มีอยู่แต่เดิมลง ทั้งแหลมเอนด์เลสเหมือนกลายเป็นเส้นทางเดินเรือยอดนิยมภายในคืนเดียว เรือจากฟยอร์ดจำนวนมากล่องเข้ามาที่เมืองท่าแห่งใหม่นี้ แถมยังนำพาความยุ่งยากเข้ามาด้วย
ชาวเกาะที่เรียกตัวเองมาเป็นสำรวจเหล่านี้พากันขุดนู่นขุดนี่ ก็ไม่ก็ส่งคนออกมารับซื้อสิ่งของแปลกๆ นานาชนิด แค่เวลาไม่นานก็ทำเอาท่าเรือเฟรเวลรี่แห่งนี้วุ่นวายไปหมด จริงอยู่ที่การแห่ทะลักเข้ามาของพวกเขาทำให้ที่นี่คึกคักขึ้นมา ตลาดนัดที่ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก็เป็นที่นิยมของชาวโมเกนอย่างมาก เช่นนี้แล้วทุกคนก็จะได้ใช้เงินค่าจ้างไปซื้อของที่ตัวเองอยากได้ ไม่จำเป็นต้องรอกลับไปที่ท่าเรือเคลียร์วอเทอร์แล้วค่อยซื้อเหมือนอย่างทุกที แต่ในอีกด้านหนึ่ง การเข้ามาของคนเหล่านี้ก็ทำให้เกิดข่าวด้านลบต่างๆ
อย่างเช่นนักสำรวจบางคนอยากจะลงไปสำรวจดูแม่น้ำสติกซ์ใต้ดิน แต่กลับพลาดตกลงไปในแม่น้ำใต้ดิน สุดท้ายคนที่ช่วยเขากลับมาก็คือทีมช่วยเหลือของชาวทะเลทราย
หรืออย่างเช่นนักสำรวจบางคนซื้อก้อนหินและภาชนะโลหะที่น่าสงสัย แต่เงินที่พวกเขาใช้ซื้อกลับเป็นเงินปลอม จนทำให้ทำทั้งสองฝ่ายเกือบทะเลาะกันอย่างรุนแรง
เรื่องที่ร้ายแรงมากที่สุดก็คือพวกเขายื่นมือเข้ามายุ่งกับแหล่งน้ำแห่งชีวิตของท่าเรือเรฟเวลรี่ พวกเขาขโมยแผ่นผ้าใบพิเศษที่ใช้คลุมอ่างเก็บน้ำไปหลายผืน จนสุดท้ายเรื่องนี้ทำให้กองทัพที่หนึ่งเคลื่อนไหว คนผิดหลายคนถูกจับส่งตัวไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ได้ยินว่าสิ่งที่กำลังรอพวกเขาอยู่ก็คือการทำงานในเหมืองไปตลอดชีวิต
และก็เป็นเพราะเรื่องไม่ดีเหล่านี้ที่ทำให้ซิมบาดี้รู้สึกไม่ไว้ใจคนฟยอร์ดอย่างมาก
“ข้าไม่ได้มาซื้ออะไร เพราะข้าชอบพึ่งพาความสามารถของตัวเองมากกว่าที่จะฉกฉวยผลประโยชน์จากคนอื่น” ริคส์พูดพร้อมถูมือ “และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้มีชื่อเสียงจากของแปลกล่ะ”
………………………………………………………………………..