Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1123 โลงศพที่อยู่ใต้ดิน
ริคส์ที่รออยู่ก่อนแล้วชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว นิ้วหนึ่งชี้ขึ้นไปด้านบน อีกนิ้วหนึ่งชี้เข้าไปในถ้ำ
ซิมบาดี้ทำมือเพื่อบอกว่าเข้าใจ
อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปในถ้ำ
เขาเงยหน้าขึ้นไปมอง ก่อนจะมองเห็นท่ออากาศที่ลอยอยู่เหนือหัวของอีกฝ่าย การเดินไปมาในน้ำอยู่สามวันนอกจากจะเพื่ือทำความคุ้นเคยกับการใช้งานชุดดำน้ำแล้ว เขายังต้องเรียนรู้เรื่องสัญญาณมือและรายละเอียดขั้นตอนในการดำน้ำด้วย หนึ่งในนั้นก็คือการตรวจสอบดูสภาพของท่ออากาศอยู่ตลอดเวลา ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่จำเป็นต้องใช้คนสองคนในการดำน้ำ
ในฐานะที่เป็นเครื่องสำหรับช่วยหายใจ ปลายอีกด้านหนึ่งของท่อหนังนั้นเชื่อมต่ออยู่กับปั๊มของเครื่องจักรไอน้ำ ท่อเส้นหนึ่งใส่อากาศเข้าไป ท่ออีกเส้นหนึ่งก็สูบอากาศออก ทำให้อากาศภายในหมวกไหลเวียนได้อย่างสะดวก ถ้าท่อเส้นไหนเกิดความเสียหาย ผลที่ตามมาเขาเองก็ไม่กล้านึกถึง ด้วยเหตุนี้ในเวลาที่ต้องเดินทางพื้นที่ที่มีความซับซ้อน เขาต้องคอยระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ
เมื่อเห็นด้านบนถ้ำไม่มีอะไรที่จะเป็นอันตรายต่อท่อส่งอากาศ ซิมบาดี้จึงเดินเข้าไปในถ้ำ
เสียงคลื่นที่อยู่ข้างหูหายไปทันที เขาได้ยินเสียงสั่นของเครื่องจักรและเสียงหัวใจของตัวเองอย่างชัดเจน
หลังเดินเข้าไปได้ประมาณสิบกว่าเมตร แสงสว่างก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อมองดูแผ่นหลังของริคส์ที่ดูเลือนราง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินเข้าไปในนรก
ทันใดนั้นเอง พื้นใต้เท้าเขาพลันเอียงขึ้น จากพื้นเรียบๆ กลายเป็นเนินชันเล็กน้อย
ไม่ถึงสิบนาที ซิมบาดี้ก็มองเห็นผิวน้ำทะเลอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันไม่ได้ส่องประกายสีทองแล้ว หากแต่สงบนิ่งเหมือนยามค่ำคืน
เมื่อค่อยๆ เดินตามริคส์ขึ้นสู้ผิวน้ำ ซิมบาดี้ก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เขามองเห็นถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้า เค้าโครงส่วนใหญ๋ของมันจมอยู่ในความมืด มีเพียงเพดานถ้ำที่มีแสงสีเงินที่สะท้อนมาจากผิวน้ำส่องประกายวิบวับๆ
ถ้ำใต้น้ำนี่มีทางเชื่อมเข้ามาด้านในด้วยเหรอเนี่ย?
เขาออกแรงปีนขึ้นมาจากในน้ำ ในขณะที่เตรียมจะถอดหมวดออก ริคส์กลับมาห้ามเขาไว้
ริคส์หยิบเอาตะเกียงกันน้ำออกมาจากตรงเอว หลังจุดไฟแล้วก็เดินสำรวจอยู่ครู่ก่อนจะถอดหมวกออก “ฟู่วว..ดูเหมือนที่นี่จะไม่ได้ตัดขาดจากโลกภายนอก”
“มี…ลมเหรอ?” หลังจากซิมบาดี้ถอดหมวกออก เขาก็สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดผ่านหน้าเขาไป
“อื้อ ในถ้ำน่าจะมีทางออกอื่นอยู่อีก” ริคส์พูดอย่างตื่นเต้น “แบบนี้โอกาสที่เราจะหาสมบัติเจอก็จะยิ่งสูงมากขึ้น โชคของพวกเราดีทีเดียวะเนี่ย”
ซิมบาที่ไม่ได้สนใจเรื่องที่่ว่าจะหาสมบัติเจอหรือไม่เท่าไร สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าก็คือความปลอดภัยของถ้ำนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าใต้ทะเลทรายจะมีถ้ำแบบนี้อยู่ นี่มันน่าเหลือเชื่อจริงๆ ความลึกที่พวกเขาลงมาก็ไม่เกิน 20 เมตร ต่อให้มีชั้นหินรองอยู่ แต่ก็คงไม่ได้หนาเท่าไร ทรายนุ่มๆ พวกนั้นมันรองรับน้ำหนักไว้ด้วยเหรอ? เพดานถ้ำจะถล่มลงมาหรือเปล่า? คำถามเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเท่าไร
เอาไว้ออกไปแล้ว ไปบอกคนของเกรย์คาสเซิลจะดีกว่า ซิมบาดี้คิดในใจ ถึงแม้จะรู้สึกผิดต่อสมาคมของแปลกอยู่บ้าง แต่ที่นี่อยู่ห่างจากท่าเรือเรฟเวลรี่ไม่เท่าไร เขาไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
“ลมเหมือนจะมาจากทางนั้น” ริคส์วางหมวกไว้ริมน้ำ ก่อนจะยกตะเกียงขึ้นมา “พวกเราไปดูกันเถอะ”
ซิมบาดี้ได้แต่ต้องชักมีดที่อยู่ข้างเอวออกมา แล้วค่อยๆ เดินตามเข้าไป
แต่เมื่อเดินลึกเข้าไป เขาก็ยิ่งเกิดความรู้สึกแปลกใจมากขึ้น
หลังเดินไปได้ไม่นาน พื้นหินที่อยู่ใต้เท้าก็กลายเป็นดินนุ่มๆ จากนั้น จากนั้นทุ่งหญ้าเขียวๆ ก็เข้ามาแทนที่ตะไคร่น้ำลื่นๆ ราวกับว่าที่นี่ไม่ใช่ใต้ดิน หากแต่เป็นโอเอซิสที่อยู่บนซิลเวอร์สตรีมอย่างไรอย่างนั้น
“น่าเหลือเชื่อจริงๆ นี่มีพืชใบเขียวด้วยเหรอเนี่ย” ริคส์อุทานออกมา “ข้านึกว่าใต้ดินที่ไม่มีแสงจะมีแต่พวกเห็กับตะไคร่น้ำซะอีกนะเนี่ย”
“พวกเรา…กลับกันก่อนดีไหม” ซิมบาดี้ลังเล “ข้ารู้สึกว่าที่นี่…”
หลังพูดไปได้ครึ่งเดียว เขาก็ต้องตกตะลึงจนยืนตัวแข็งไปกับที่
“รู้สึกว่าที่นี่ทำไมเหรอ?” หลังรอเสียงตอบอยู่นาน ริคส์จึงหันกลับไปมองดูข้างหลัง “หืม? เจ้ากำลังดูอะไรอยู่น่ะ…ดอกไม้เหรอ?”
ซิมบาดี้รู้สึกลมหายใจของตัวเองกระชั้นขึ้น ตรงข้างเท้าเขามีดอกไม้ที่สวยงามอยู่ดอกหนึ่ง กลีบดอกของมันเป็นสีม่วงอ่อน ใบของมันบางเหมือนปีกจักจั่น เหมือนว่าแค่เด็ดเบาๆ ก็หลุดออกมาได้อย่างไรอย่างไร “นี่มัน…ดอกไม้แห่งเทวทูต…”
“หายากมากเหรอ?”
“ไม่…เมื่อก่อนมันเคยมีอยู่ทุกที่” ซิมบาดี้พูดเสียงเบาๆ “ถึงแม้ข้าจะไม่เคยเห็นมัน แต่ในตำนานที่เกี่ยวข้องเทวทูตของสามเทพบอกว่าดอกไม้ชนิดนี้เติบโตตามริมทะเลจนกลายเป็นเหมือนเชือกสีม่วง แล้วก็เป็นดอกไม้ทะเลที่สวยงามที่สุดในดินแดนทางใต้สุดด้วย”
“ในทะเลทราย…มีดอกไม้ทะเลด้วยหรอ?” ริคส์ถามอย่างแปลกใจ
“ว่ากันว่าเมื่อก่อนนี้ที่นี่ไม่ใช่ทะเลทราย หากแต่มีต้นไม้ ต้นหญ้าและแม่น้ำอยู่เต็มไปหมดเหมือนกับดินแดนทางเหนือ” เขาส่ายหัว “แต่ว่าหลังจากที่เทวทูตของสามเทพจากที่นี่ไป ที่นี่ก็ค่อยๆ แห้งแล้งจนกลายเป็นทะเลทรายเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่ที่ข้าอยากจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้ ในบันทึกเกี่ยวกับสามเทพมีคำอธิบายเกี่ยวกับดอกไม้แห่งเทวทูตอย่างละเอียดบันทึกเอาไว้อยู่ ทันทีที่มันเจริญเติบโตแล้ว มันก็จะไม่สามารถย้ายไปที่ไหนได้อีก นี่จึงเป็นสามารถที่ทำให้ในโอเอซิสไม่มีดอกไม้ทะเล พวกมันพวกจะตายไปหมดแล้วถึงจะถูก…”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย” ริคส์จุ๊ปาก “บางทีอาจะเป็นเพราะความแห้งแล้งมันส่งผลมาไม่ถึงถ้ำใต้ดินล่ะมั้ง ดอกไม้แแห่งเทวทูตถึงได้มาโตอยู่ที่นี่”
เป็นแบบนั้นจริงๆ เหรอ…ความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจเขายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ไม่รู้ว่าทำไม เวลาที่เดินอยู่ในโลกใต้ดินแห่งนี้ เขากลับมีความรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเดินอยู่บนโอเอซิส
ดอกไม้สีม่วงที่อยู่รอบๆ เริ่มแน่นหนาขึ้นมา ดูแล้วไม่เหมือนว่ามันจะบังเอิญมาเจริญเติบโตอยู่ที่นี่เลย
ในขณะที่เขากำลังลังเลว่าจะเดินไปต่อหรือไม่ ใต้เท้าเขาพลันมีเสียง ‘แคร่ก’ ดังขึ้นมา
จากนั้นก็มีแสงสว่างบางๆ ออกมาจากใต้พื้นดินที่อ่อนนุ่ม
“เกิดอะไรขึ้น?” วิคเตอร์ถามอย่างแปลกใจ
“ข้า…ข้าเหมือนเหยียบถูกอะไรเข้า” ซิมบาดี้กลืนน้ำลาย “เหมือนจะเป็นแผ่นไม้”
“หรือว่าเป็นกับดัก?” เขารีบย่อตัวลงไป ก่อนจะใช้มือแหวกต้นหญ้าออก “นี่มัน ฮ่า ฮ่าๆๆ…ฮ่าๆๆๆๆ…”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะสะท้อนไปทั่วทั้งถ้ำ ซิมบาดี้พลันรู้สึกขนลุกขึ้นมา “มีอะไรน่าขำ เฮ้ เจ้าบอกข้าก่อนว่าข้างล่างมันมีอะไร!”
“ฮ่าๆๆ สมบัติน่ะสิ! พวกเราเจอสมบัติแล้ว!” ริคสพูดอย่างตื่นเต้น “เจ้ารีบดูเร็ว!”
หลังจากที่เขาโกยเอาดินออกไปหมดแล้ว ซิมบาดี้ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าแสงสว่างที่ว่านั้นมาจากสิ่งที่อยู่ใต้เท้าเขา มันเป็น ‘แผ่นศิลา’ ที่จมอยู่ใต้ดิน ด้านบนมีลวดลายอยู่เต็มไปหมดจนดูเหมือนลายนิ้วมืออย่างไรอย่างนั้น แสงสว่างนั้นสาดกระจายออกมาจากกึ่งกลางเท้าเขาจนแผ่นศิลาที่ว่าดูเหมือนกับหยกขาว ถึงแม้มันจะดูเหมือนแข็งแรง แต่สัมผัสของมันกลับเหมือนไม้ผุๆ แค่ออกแรงนิดหน่อยก็กดให้มันเป็นรอยได้แล้ว ดูแล้วไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรเลย
ที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือทันทีที่ยกเท้าออก แผ่นศิลาก็จะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม ขณะเดียวกันแสงสว่างที่ว่าก็จะค่อยๆ หายไปด้วย เหมือนว่าภาพที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงสิ่งที่เขาคิดไปเอง
“ยังมีสมบัติอะไรที่น่ามหัศจรรย์กว่านี้อีกเหรอ!” ริคส์เหยียบไปบนแผ่นศิลาซ้ำ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้นว่า “ถ้าเอามันไปให้ราชาแห่งเกรย์คาสเซิล ฉายานักสำรวจกิตติมศักดิ์จะต้องเป็นของข้าแน่นอน!”
“แต่ว่า…มันใหญ่เกินไป” ซิมบาดี้พูดอย่างลำบากใจ เมื่อดูจากส่วนเล็กๆ ที่โผล่ออกมาจากผิวดิน ขนาดของ ‘แผ่นศิลา’ ทั้งแผ่นน่าจะใหญ่กว่าพวกเขาสองคนรวมกันเสียงอีก การจะเอามันออกไปจากถ้ำนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
“ทุกปัญหาย่อมมีทางแก่ เราต้องหาทางได้แน่ บางทีพวกเราอาจจะลองไปดูทางออกอีกทางก็ได้…เอ๋?” จู่ๆ ริคส์ก็หยุดเดิน “ตรงนั้นเหมือนจะมีอีกแผ่น”
ซิมบาดี้เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ก่อนจะเหยียบเข้ากับ ‘แผ่นศิลา’ ที่เหมือนกันอีกแผ่น ด้วยแสงสว่างที่ส่องออกมา ทำให้เขามองเห็นเค้าโครงสีเทาขาวของมันปรากฏอยู่ท่ามกลางดอกไม้ทะเล
“ตรงนี้ก็มี ตรงนั้นก็มี…” ทั้งสองคนเดินทางแผ่นศิลาเหล่านี้ไปอีกสิบกว่าเมตร ตอนแรกพวกเขาแอบนับจำนวนของมันอยู่ในใจ แต่ไม่นานพวกเขาก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป
ในเวลาแค่ไม่กี่นาที ดอกไม้แห่งเทวทูตก็ถูกแผ่นศิลาที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กลบจนมิด ไม่ว่าพวกเขาจะเหยียบไปตรงไหนก็จะมีแสงสีขาวสว่างขึ้นมา
จนกระทั่งกำแพงขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา
“พระเจ้า…” ริคด์อุทานออกมาด้วยความตกใจ
ซิมบาดี้เองก็รู้สึกขนลุกเช่นเดียวกัน เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ภายใต้แสงสว่างที่อ่อนโยน เค้าโครงของกำแพงค่อยๆ ปรากฏขึ้นตรงหน้า พวกเขาพบว่านั่นมันไม่ใช่ ‘กำแพง’ หากแต่เป็นแผ่นศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางกองกันจนกลายเป็นเหมือนภูเขาขนาดย่อมๆ
ศิลาบางส่วนก็มีแตกหักเสียหาย บางส่วนก็หักไปเกือบครึ่งแผ่น แต่รูปร่างส่วนใหญ่ของพวกมันเป็นเหมือนทรงสี่เหลี่ยม แต่เวลาที่พวกมันวางกองๆ อยู่ด้วยกัน มันกลับให้ความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งกับซิมบาดี้
มันเหมือน ‘โลงศพ’ ที่ถูกฝังเอาไว้อยู่
………………………………………………………………