Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1133 คลื่นแห่งทะเลชาโดว์
ในเวลาเดียวกัน ด้านตะวันออกของทะเลน้ำวน
กองเรือขนาดใหญ่เรียงเป็นแถวตอนห้าแถว ลอยอยู่บนทะเลนอกหมู่เกาะชาโดว์
เรือที่ดูสะดุดตาที่สุดในนั้นก็คือเรือสโนวบรีส ไม่ว่าจะเป็นตัวเรือที่เป็นเหล็กสีดำ หรือว่าควันสีดำที่ลอยขึ้นมาด้านบนก็ล้วนแต่ทำให้มันดูแตกต่างจากเรือลำอื่นอย่างชัดเจน
ในเวลานี้ บนดาดฟ้าเรือสโนวบรีสก็กำลังยุ่งวุ่นวายกันอยู่
เหล่าลูกเรือกำลังวิ่งไปวิ่งมาเพื่อเตรียมตัวก่อนจะเข้าสู่หมู่เกาะชาโดว์
ธันเดอร์กำลังมอบหมายงานให้กับทุกคนอยู่ในสะพานเรือ “พวกเจ้าต่างก็เป็นนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่สุดของฟยอร์ด หลายๆ คนเองก็เคยมาที่ทะเลชาโดว์แห่งนี้แล้ว ดังนั้นข้าจะไม่พูดมากอีก ตำแหน่งของหมู่เกาะนี้เปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน บวกกับหมอกหนาเวลาที่น้ำขึ้นลง ดังนั้นทุกคนต้องคอยระวังเอาไว้ตลอด เข้าใจไหม?”
“หัวหน้า วางใจได้” ผู้ช่วยคนสนิทคนหนึ่งตบหน้าอกตัวเองพร้อมพูดออกมา “พวกเราติดตามท่านมาหลายปีแล้ว พวกเราเคยทำผิดพลาดด้วยเหรอ ถ้าจะมีปัญหา ก็เป็นพวกเรือของสมาคมหอการค้าทั้งสี่ที่ตามมาต่างหากที่จะมีปัญหา”
“ใช่ เอาเรือเล็กๆ มาแค่ไม่กี่ลำ ถ้าอยากจะล่องไปในทะเลที่มีหินโสโครกอยู่เต็มไปหมด เรือใบสามเสานั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย”
“พวกเขาน่าจะคิดว่าเรือตัวเองคล่องแคล่วเหมือนกับสโนวบรีสล่ะมั้ง เดี๋ยวถ้าชนกับหินโสโครกเข้า อย่าหวังว่าพวกเราจะกลับไปช่วยล่ะ!”
คำพูดนี้ทำเอาทุกคนหัวเราะออกมา
“ถ้ากลัวพวกเราจะปิดบังสิ่งที่สำรวจเจอ อย่างนั้นก็ส่งกัปตันเรือมาขึ้นเรือสโนวบรีสก็ได้แล้วนี่?”
“พวกสมาคมหอการค้าก็แค่อยากจะมีสิทธิ์มีเสียงในการสำรวจครั้งนี้มากกว่า”
“แต่ว่าถ้าอยากจะล่องไปทางตะวันออกที่ไกลออกไป ถ้าไม่มีกองเรือขนาดใหญ่มันก็ไม่ได้เหมือนกัน เรื่องนี้มันก็ช่วยไม่ได้อะนะ”
เมื่อเห็นทุกคนพากันพูดขึ้นมาไม่หยุด คามิล่า แดริลที่อยู่ข้างๆ พลันถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หลังอยู่บนเรือมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน เธอเองก็ถือว่าพอจะรู้เรื่องทะเลชาโดว์บ้างแล้ว ที่นี่เหมือนจะเป็นศูนย์กลางของทะเลน้ำวน ปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงในทุกๆ ครั้งจะมีจุดเริ่มต้นมาจากที่นี่ แล้วก็จุดที่มีระดับความต่างกันของน้ำขึ้นและน้ำลงที่เห็นได้ชัดมากที่สุด ระดับน้ำที่แตกต่างกันทำให้หินโสโครกหลายพันก้อนที่อยู่ใต้น้ำกลายเป็นเหมือนหมู่เกาะ เกาะสลีปปิ้งดูเล็กไปเลยเมื่อเทียบกับมัน
แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่านั้นก็คือ นับตั้งแต่ที่หมู่เกาะชาโดว์ถูกค้นพบจนถึงปัจจุบันนี้นั้นเป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้ว แต่กลับไม่มีใครทำแผนที่ที่ชัดเจนออกมาได้เลยซักแผ่น เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าหินโสโครกที่อยู่ที่นี่นั้นไม่ได้อยู่กับที่ ทุกสิ่งที่อยู่แอบซ่อนอยู่ใต้น้ำนั้นดูเหมือนกำลังย้ายตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ซากโบราณสถานขนาดยักษ์แห่งนั้นก็เหมือนกัน ถ้าอยากจะล่องผ่านน่านน้ำนี้ไป ก็จำเป็นต้องรอให้หินโสโครกทั้งหมดมันโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำก่อน และก็ด้วยเหตุนี้ การล่องเรือผ่านมันไปจึงเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
แต่พวกลูกเรือที่อยู่ตรงหน้าเธอตอนนี้ดูแล้วไม่เหมือนมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเลย เธอรู้สึกว่าพวกเขาดูเหมือน…โจรที่ดูดุร้ายมากกว่า นักสำรวจนั้นมีบารมีอย่างมากในสายตาของชาวฟยอร์ด แต่เมื่อได้มาร่วมเดินทาง เธอกลับมองไม่เห็นจุดนี้จากตัวพวกเขาเลย นอกจากคนที่ดูมีความน่าเชื่อถือเหมือนอย่างธันเดอร์ซึ่งมีส่วนน้อยแล้ว พวกลูกเรือส่วนใหญ่นั้นล้วนแต่เป็นพวกทำอะไรตามใจตัวเอง
สำหรับคามิล่าซึ่งเป็นอดีตขุนนางแล้ว ภาพความวุ่นวายแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไร ถ้าไม่เป็นเพราะองค์หญิงทิลลีทรงขอร้องมา เธอก็ไม่อยากจะให้โจนเดินทางมากับคนพวกนี้เลย
ในขณะที่ีรู้สึกทอดถอนใจอยู่นี้ เธอพลันพบว่าตัวเองนั้นเหมือนจะคิดถึงกองทัพที่หนึ่งของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมา อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ทำตัววุ่นวายเหมือนกับลิงแบบนี้ ทหารที่ยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบและมีความฮึกเหิมทำให้เธอรู้สึกสบายตา
คามิล่าทนไม่ไหว เธอออกมาจากห้องสั่งการของเรือ ก่อนจะเดินมายังดาดฟ้าด้านหลังเรือเหล็ก
เธอมองเห็นโจนที่กำลังเล่นอยู่ด้านหลังเรือกับมาร์จอรี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ
เมื่อเห็นเธอปรากฏตัว โจนก็รีบหลบไปอยู่ด้านหลังวาณิชหญิง ก่อนจะโผล่หัวออกมามองดูเธอ
ไหนว่าตอนอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ โจนอยู่กับแม่มดหลายๆ คนได้อย่างปกติแล้วไง แถมยังเป็นเพื่อนกับเมซี่และไลต์นิ่งด้วย คามิล่าบ่นออกมาในใจ หรือว่าตัวเองยากที่จะถูกคนอื่นยอมรับขนาดนี้? ถ้าเทียบกันเรื่องเวลาที่รู้จักกันแล้วล่ะก็ เธอเรียกได้ว่าเป็นคนที่ได้ใกล้ชิดกับโจนเป็นคนแรกๆ รองจากมาร์จอรีเลย
วาณิชหญิงยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นอะไร? อารมณ์ไม่ดีเหรอ?” เธอชี้ไปที่มุมปากตัวเอง “หน้าเจ้ามันบอกว่าอย่างนั้น”
“เปล่า” คามิล่างุนงงไปเล็กน้อย “ข้าแค่…”
“ไม่ชอบบรรยากาศในห้องสั่งการเหรอ?” มาร์จอรีเหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอ “ข้าเคยบอกเอาไว้แต่แรกแล้ว เรื่องสำรวจอะไรนั้นก็ให้พวกผู้ชายเขาจัดการไป ส่วนเจ้าก็มามีความสุขกับวิวทิวทัศน์บนทะเลดีกว่า คิดซะว่าออกมาเที่ยวก็พอ”
“ได้ยังไงล่ะ” คามิล่าขมวดคิ้วขึ้นมา “ถ้าให้คนอื่นจัดการทุกอย่าง อย่างนั้นไม่เท่ากับว่าเอาชีวิตไปฝากไว้กับมือพวกเขาเหรอ?”
“เจ้าไม่เชื่อใจธันเดอร์เหรอ?”
“ข้า….”
มาร์จอรีจูงมือของเธอแล้วเดินไปที่ีิราวกั้นข้างเรือ “ความรับผิดชอบของเจ้าช่างน่านับถือจริงๆ ข้าคิดว่าจะไม่เป็นเพราะแบบนี้ ท่านทิลลีคงไม่มีทางฝากเกาะสลีปปิ้งให้เจ้าดูแลแน่ แต่บางครั้งการเชื่อใจคนอื่นให้มากหน่อยมันก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดี ไม่ใช่แค่ธันเดอร์เท่านั้น แต่ท่านทิลลีเองก็เหมือนกัน…”
ข้าจะไม่เชื่อใจท่านทิลลีได้ยังไงล่ะ คามิล่าคิดในใจ แต่เธอกลับพบว่าตัวเองไม่สามารถพูดแย้งออกมาได้ เพราะเธอก็ไม่เห็นด้วยกับทิลลีเรื่องที่จะให้แม่มดย้ายมาที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์มาโดยตลอด
“ยิ่งไปกว่านั้นถ้าอยู่บนทะเลเป็นเวลานาน การที่รู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลามันจะทำให้ตัวเองเป็นบ้าได้นะ” มาร์จอรีพูดต่อ “เห็นท่าทางพวกเขาเป็นเหมือนคนไร้การศึกษาแบบนี้ แต่ทักษะการเดินเรือของพวกเขานี่สุดยอดมากเลยนะ”
ในที่สุดคามิล่าก็มีช่องให้เอ่ยปากออกมาได้ “ข้าขอบอกเอาไว้ก่อน ข้าไม่ได้พูดแบบนั้น..”
“แต่เจ้าคิดแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?” คำพูดของวาณิชหญิงทำให้เธอเงียบไปอย่างรวดเร็ว “ฮ่าๆๆ มันก็ไม่เปลี่ยนหรอก ขุนนางในอาณาจักรทั้งสี่ต่างมองพวกเราเป็นเหมือนคนป่า ก็เหมือนกับที่พวกเรามองชาวทะเลทรายเป็นเหมือนคนป่า บอกตามตรง ขุนนางที่ไม่เคยดูถูก หรือพูดอีกอย่างคือเหตุผลในดูถูกของเขานั้นไม่เกี่ยวข้องกับสถานะ ข้าเคยเจอคนแบบนั้นเพียงแค่คนเดียว”
โรแลนด์ วิมเบิลดัน
ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็คิดถึงเพียงแค่ชื่อนี้เพียงแค่ชื่อเดียวเหมือนกัน
เพราะว่าเมื่อสี่ปีก่อน คนๆ นั้นก็ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแม่มดอย่างเปิดเผย
เมื่อก่อนนี้เธอคิดว่าเขาอาจจะมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่ แต่ตอนนี้เธอไม่อาจคิดแบบนั้นได้แล้ว เพราะแม่มดที่ถูกเขาช่วยเหลือไปคนนั้นได้กลายเป็นราชินีของเกรย์คาสเซิลไปเรียบร้อยแล้ว
เชื่อใจ…ให้มากขึ้นหน่อยงั้นเหรอ?
ในขณะที่คามิล่ากำลังเงียบอยู่นั้น อีกฟากหนึ่งของทะเลพลันมีเสียงครืนๆ ดังขึ้นมา ฟังดูคล้ายกับคลื่นยักษ์กำลังม้วนเข้ามาหาพวกเธอ แล้วก็ฟังดูคล้ายกับฝูงปลานับหมื่นกำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนผิวน้ำ แต่เธอรู้ว่านั่นเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไปเอง ในเวลานี้ท้องทะเลที่เธอมองเห็นยังคงเงียบสงบอยู่
“น้ำเริ่มลดแล้ว” มาร์จอรีพูดเสียงเบาๆ
“ยา…ยา..” โจนจับปลายเสื้อของวาณิชหญิงเอาไว้แน่น
หลังจากนั้นสิบห้านาที คามิล่าก็มองเห็นการเปลี่ยนแปลง
ก้อนหินปลายแหลมๆ ก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาเหนือผิวน้ำ…จากนั้นก็เป็นก้อนที่สอง ก้อนที่สาม…แทนที่จะบอกว่ามันเป็นหมู่เกาะ ควรจะบอกว่ามันเป็นเหมือนป่าหินถึงจะถูก พวกมันกำลังลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ ไม่นานมันก็ปรากฏขึ้นมาเต็มท้องทะเล ในตอนที่น้ำทะเลลดลงไปมากกว่า 5 เมตร หินโสโครกก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านล่างแท่งหินก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
คามิล่ากลั้นหายใจ
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นภาพอันน่าเหลือเชื่อแบบนี้ เนื่องจากน้ำในน่านน้ำตรงนั้นกำลังลดลง จนทำให้เส้นขอบฟ้าที่อยู่ปลายสุด ‘ลอย’ ขึ้นมา ราวกับว่ามันกับลอยขึ้นไปอยู่เหนือหมู่เกาะอย่างไรอย่างนั้น แต่นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เธอคิดไปเอง ถ้าพูดให้ถูก มันควรจะบอกว่ามันเป็นเหมือน ‘เนิน’ มากกว่า เส้นขอบฟ้าในตอนแรกกลายเป็นยอดเนิน ส่วนทะเลชาโดว์ก็กลายเป็นเนินที่ค่อยๆ ชันขึ้นทีละน้อย
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็มองไม่เห็นคลื่นบนผิวน้ำทะเลเลย
หลังภาพเหตุการณ์นี้ดำเนินไปประมาณสองชั่วโมง ตรงโขดหินโสโครกก็มีไอน้ำลอยขึ้นมา ในที่สุดทะเลชาโดว์ก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงของมันออกมาแล้ว
……………………………………………………………….