Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1147 ภาพที่ถูกฝังเอาไว้ใต้ทะเลทราย
เช้าวันถัด ในตอนที่โรแลนด์เดินออกมาจากห้องนอนแล้วเข้ามาในโถงของปราสาท แม่มดทาคิลาที่ถูกตัดการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันพากันทำความเคารพโรแลนด์ตามแบบฉบับของสมาพันธ์
“อรุณสวัสดิ์เพคะ ฝ่าบาท ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงดูแลพวกหม่อมฉันเพคะ”
“เมื่อคืนเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดของหม่อมฉันในช่วงหลายร้อยปีมานี้เลยเพคะ”
“หม่อมฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยการเชื่อมต่อกับโลกแห่งความฝันครั้งต่อไปเพคะ”
“….เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นเหรอเพคะ?” กระทั่งแม่มดทาคิลาที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุขและพึงพอใจออกจากปราสาทไปแล้ว อันนาจึงถามเขาขึ้นมาอย่างสงสัย
“งานเลี้ยงสุดหรูน่ะสิ” โรแลนด์พูดยิ้มๆ ภายใต้ความร่วมมือของโดโด้กับดาเนน อาหารบนโต๊ะเกือบครึ่งแทบจะถูกกวาดไปจนหมด โชคดีที่งานเลี้ยงแบบนี้ไม่มานั่งสนใจว่าแขกจะกินไปเท่าไร ต่อให้หยิบไปโยนทิ้งก็จะมีอาหารเติมเข้ามาใหม่ทันที ถ้าเป็นร้านบุฟเฟต์ธรรมดาทั่วไป เกรงว่าคงต้องพนักงานจับตามองแน่
“ฟังจน…หม่อมฉันรู้สึกหิวเลยเพคะ” ท้องของอันนามีเสียงโครกครากดังขึ้นมา “เมื่อไรหม่อมฉันจะได้ยินของพวกนั้นบ้างล่ะเพคะ?”
เมื่อเห็นดวงตาสีน้ำเงินที่เต็มไปด้วยความหวังของอีกฝ่าย โรแลนด์จึงยื่นมือไปลูบหัวของเธอ “อีกไม่กี่ปีเจ้าต้องได้กินแน่”
หลักๆ แล้วรสชาติอันล้ำเลิศของอาหารจะสะท้อนออกมาจากตัววัตถุดิบ ที่คนในยุคสมัยปัจจุบันสามารถลิ้มรสอาหารที่มาจากทั่วทุกมุมก็เป็นเพราะมีระบบโลจิสติกส์ที่ทันสมัย ถ้าอยากจะทำให้เมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้กินอาหารทะเลสดๆ ที่ส่งมาจากท่าเรือเคลียวอเทอร์ อย่างน้อยก็ต้องทำให้ความเร็วในการเดินเรือในแม่น้ำเพิ่มขึ้นอีก 2 – 3 เท่า
แต่แน่นอน ต่อให้ในระยะเวลาสั้นๆ เทคโนโลยีจะยังไม่ทันสมัยพอที่จะตอบสนองความต้องการได้ แค่ขอเพียงกำจัดปีศาจออกไปจากที่ราบลุ่มบริบูรณ์ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะพาอันนานั่งซีกัลป์เพื่อไปฮันนีมูนและลิ้มรสอาหารตามที่ต่างๆ ในอาณาจักรเกรย์คาสเซิลได้
รายการอาหารเช้ายังคงเป็นขนมปังไข่ไก่ กับเครื่องดื่มยุ่งเหยิงอีกหนึ่งแก้วเหมือนอย่างทุกที สำหรับโรแลนด์ที่ได้ลิ้มรสอาหารต่างๆ นาๆ ในโลกแห่งความฝันมา อาหารเช้าเหล่านี้ย่อมไม่ค่อยน่ากินเท่าไร แต่เมื่อคิดถึงว่าหลังจากนี้แม่มดทาคิลาเหล่านั้นยังต้องกินข้าวต้มเละๆ เพื่อบำรุงร่างกาย เขาจึงกินอาหารทุกอย่างบนจานจนหมดเกลี้ยง
หลังกินอาหารเช้าเสร็จ อันนาก็บอกลาเขาและเดินทางไปยังห้องวิจัยตรงเนินเขาทิศเหนือ ไม่ว่าจะอยู่ที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์หรือว่าแนวหน้าในสนามรบ น้อยนักที่เธอจะมีเวลาว่าง ความจริงแล้วแม่มดส่วนใหญ่ในสโมสรแม่มดต่างก็ยุ่งเหมือนอย่างเธอ เมื่อกลับมายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องทำงาน เขาก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าเดินผ่านสวนไปอยู่ตลอดเวลา แม่มดได้หลอมรวมเข้ากับเมืองแห่งนี้และกำลังสร้างอนาคตที่พวกเธอต้องการรวมกับคนธรรมดา
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ไนติงเกลพลันผลักประตูเดินเข้ามา
“มีจดหมายส่งมาจากทหารที่ประจำการอยู่ที่ท่าเรือเรฟเวลรี่เพคะ” เธอเอาซองจดหมายหนาๆ ห่อหนึ่งวางลงบนโต๊ะ “หม่อมฉันเห็นฌอนถือซองจดหมายนี่ตอนที่อยู่ชั้นล่าง หม่อมฉันก็เลยถือมันมาด้วยเพคะ”
“หนักขนาดนี้เลยเหรอ?” โรแลนด์หยิบมีดตัดซองจดหมายขึ้นมา
“น่าจะส่งมาทางทะเลเพคะ” ไนติงเกลเดินไปด้านหลังเขา ก่อนจะหยิบเอาปลาแห้งอบน้ำผึ้งห่อหนึ่งออกมาจากในลิ้นชัก “หม่อมฉันตรวจสอบดูแล้ว ไม่มีอะไรผิดปกติเพคะ”
โรแลนด์เปิดซองกระดาษออกพร้อมเทของที่อยู่ข้างในออกมา นอกจากจดหมายกับภาพสเก็ตปึกหนึ่งแล้ว ยังมี ‘ก้อนหิน’ ที่ถูกห่อเอาไว้อย่างดีอีก 3 – 4 ก้อนด้วย เมื่อดูจากภายนอกแล้ว มันดูคล้ายๆ กับหินตัวอย่างที่ริคส์ให้เขามา
เขาอ่านเนื้อหาในจดหมายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา รายงานของกองทัพที่หนึ่งนั้นทำให้เขาตกใจอย่างมาก โบราณสถานที่ว่านั้นไม่ได้มีอยู่ในถ้ำใต้ทะเลเพียงแห่งเดียวแค่นั้น หากแต่กระจายอยู่ทั่วทั้งแหลม
หลังได้รับคำสั่งจากเขา ทหารที่ประจำอยู่ที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ก็ปฏิบัติตามคำสั่งทันที พวกเขาฝังระเบิดเอาไว้ตรงด้านบนของถ้ำใต้ทะเลที่ซิมบาดี้ระบุตำแหน่งให้ เพดานถ้ำทั้งหมดถูกระเบิดจนเปิดออก แมงป่องยักษ์หุ้มเกราะที่โกรธเกรี้ยวปีนขึ้นมาด้านบน แต่เมื่อขึ้นมาอยู่บนทะเลทรายที่ไม่มีอะไรมาคอยเป็นเกราะกำบัง มันก็ต้องถูกหน่วยปืนกลกับปืนครกกระหน่ำยิงเข้าใส่ หลังเดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวมันก็ถูกยิงจนพรุนกลายเป็นรังผึ้ง
ผลลัพธ์อันนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร สิ่งที่เหนือความคาดหมายจริงๆ คืองานสำรวจหลังจากนั้น
จากการสำรวจของทีมวิศวกรเผยให้เห็นว่าการระเบิดนั้นทำให้พื้นที่รอบๆ เกิดการยุบตัวลงไปในระดับความลึกที่ต่างกันกินระยะทางกว่าหลายร้อยเมตร ซึ่งรุนแรงเกินกว่าจะเป็นผลจากการระเบิดได้ เมื่อดูจากภาพวาดที่แนบมาด้วยแล้ว เขาดูมองเห็นพื้นทรายขนาดใหญ่ยุบตัวกลายเป็นหลุมลงไป
หลังจากนั้นกองทัพที่หนึ่งก็ทำการระเบิดอีกหลายครั้ง แล้วก็รวบรวมคนงานให้มาขนเอาทรายและขุดหลุมลงไป สุดท้ายพวกเขาก็พบจุดสำรวจ ‘ซากอารยธรรมของมนุษย์ไม้ขีดไฟ’ อยู่รอบๆ ท่าเรือเรฟเวลรี่ทั้งหมด 16 จุด และถ้าลากเส้นเชื่อมพวกมันเข้าด้วยกัน พื้นที่ที่ครอบคลุมก็เพียงพอที่จะบรรจุท่าเรือลงไปได้ 7 – 8 แห่ง
เนื่องจากแรงงานคนมีจำกัด ในระยะเวลา 1 เดือนนี้ ชาวทะเลทรายจัดการเก็บกวาดหลุมไปได้แค่ 3 แห่งเท่านั้น แต่ผลที่ออกมากลับน่าตกใจอย่างมาก ด้านล่างพื้นทรายนั้นมีกำแพงแผ่นศิลาที่สูง 5 – 10 เมตรตั้งเรียงรายอยู่เต็มไปหมด และตรงพื้นที่ที่ไม่มีแผ่นศิลาทับเอาไว้อยู่ก็จะเป็นต้นหญ้างอกออกมา
หลังพลิกดูภาพวาดที่เหมือนจริงเหล่านั้นจนหมด โรแลนด์ก็ตกอยู่ในความเงียบทันที
อันดับแรกต้องยอมรับก่อนว่านี่เป็นข่าวดีอย่างมาก
ถ้าเอาแผ่นศิลามาใช้เป็นแหล่งทรัพยากรล่ะก็ ปริมาณยิ่งเยอะก็ยิ่งดี ตอนนี้สายการผลิตกระสุนส่องวิถีได้เตรียมพร้อมเอาไว้หมดแล้ว ถ้ามีข่าวนี้ การผลิตกระสุนก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น
ยิ่งไปกว่านั้นเพียโซอิเลคทริคซิลิไซด์ที่น่ามหัศจรรย์นี้ก็ไม่ได้มีวิธีใช้แค่วิธีเดียว เอาเท่าที่เขานึกออกตอนนี้ก็เอาไปใช้ทำเกจวัดความดัน ไฟแช็ค นาฬิกาควอตซ์ได้
แล้วก็ยังมีการสร้างลูกบาศก์เวทมนตร์ ถึงแม้ผลจากการสำรวจจะแสดงให้เห็นว่าจำนวนของเผ่ากัมมันตรังสีนั้นมีน้อยกว่ามนุษย์ไม้ขีดอย่างมาก แต่การจะรวบรวมลูกบาศก์เวทมนตร์นั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพราะว่าแค่ตัวอย่างที่ส่งกลับมาครั้งนี้ก็เพียงพอต่อความต้องการของเซลีนแล้ว
แต่ข้อมูลที่แอบซ่อนอยู่ในรายงานนี้กลับทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมา
เพียงแค่บริเวณรอบๆ ท่าเรือเรฟเวลรี่ก็มีการค้นพบ ‘แผ่นศิลา’ เป็นจำนวนเยอะขนาดนี้แล้ว แล้วด้านล่างแหลมเอนด์เลสทั้งหมดจะมีแผ่นหินอยู่จำนวนเท่าไร? ถ้ามองพวกมันเป็นซากร่างกายของมนุษย์ไม้ขีด จำนวนยิ่งมากก็ยิ่งหมายถึงความโหดร้ายในสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้นโครงสร้างชั้นดินของปากหลุมทั้งสามแห่งก็เหมือนกัน นี่หมายความว่าพวกมันน่าจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
ภาพอันน่าเหลือเชื่อค่อยๆ ปรากฏขึ้นในหัวของโรแลนด์
บางทีการที่ดินแดนทางใต้สุดกลายเป็นทะเลทรายนั้นอาจจะไม่ได้เป็นเพราะขาดน้ำก็ได้ ซิลเวอร์สตรีมเองก็ไม่ได้เป็นแม่น้ำอยู่ใต้ดินตั้งแต่แรก ที่นั่นเคยเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไม่ได้ต่างที่อื่นๆ ในทวีปเลย
จนกระทั่งไฟแห่งสงครามได้ลามมาที่นี่
มนุษย์ไม้ขีดที่มีจำนวนมากมายมหาศาลถูกเผ่ากัมมันตรังสีสังหารจนหมด ซากศพวางกองเรียงรายไปทั่วทั้งดินแดน ภาพวาดบนผนังของวิหารต้องสาปสามารถยืนยันในเรื่องนี้ได้ สุดท้ายเผ่ากัมมันตรังสีก็คว้าชัยชนะและได้มรดกของพระเจ้าไปครอง
สิ่งสำคัญนั้นคือเมื่อสงครามแห่งโชคชะตาจบลง
ซากศพของสิ่งมีชีวิตที่มีซิลิคอนเป็นองค์ประกอบหลักของร่างกายไม่ได้เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็วเหมือนอย่างสิ่งมีชีวิตที่คาร์บอนเป็นธาตุองค์ประกอบหลัก ร่างกายของพวกมันทับเป็นชั้นๆ อยู่บนพื้นหญ้า ความสูงบางทีอาจจะสูงกว่าตึกหลายชั้น แม่น้ำเองก็ถูกถมเอาไว้ ป่าไม้เองก็ถูกกดเอาไว้ พืชส่วนใหญ่ส่วนใหญ่ไม่มีพื้นที่ให้เจริญเติบโต มีเพียงเถาวัลย์ที่จะเลื้อยขึ้นมาจากรอยแตกเพื่อรับเอาแสงอาทิตย์ได้
ระบบนิเวศของดินแดนทางใต้สุดถูกทำลายลง
แต่ธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยความเมตตา
ไม่ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตหรือไม่มี สุดท้ายก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลก
หลังจากนั้นหลายร้อยปี ร่างกายที่อยู่ชั้นบนสุดค่อยๆ ถูกลมพัดจนผุกร่อนกลายเป็นเม็ดทรายแล้วก็ค่อยๆ ร่วงลงมา พวกมันปลิวไปตามลมจนถมรูต่างๆ จนเต็ม ในระหว่างนี้ เถาวัลย์ต่างๆ ที่งอกเลื้อยขึ้นมาค่อยๆ พากันตายลง มีเพียงที่ว่างที่ไม่ถูกซากศพของมนุษย์ไม้ขีดทับเอาไว้ถึงจะมีพืชงอกขึ้นมา จำนวนอันมหาศาลของมันคอยป้องกันลมและทรายไม่ให้รุกล้ำเข้ามา แล้วก็ทำให้กรวดกลายเป็นดินโคลนอีกครั้ง
หลักผ่านการเปลี่ยนแปลงไปร้อยปี หรืออาจจะเป็นพันปี
ซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านบนค่อยๆ ทับถมกันจนกลายเป็นทะเลทราย พวกมันคอยกั้นซากศพชั้นล่างไม่ให้สัมผัสกับลมทะเล แล้วก็ทำให้ชายฝั่งสูงขึ้นจากเดิมไปสิบกว่าเมตร ส่วนการไหลไปมาของเนินทรายที่อยู่ด้านบนก็ทำให้แรงกดที่พื้นที่ด้านล่างได้รับนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แผ่นศิลาส่องแสง แสงดับ ส่องแสง แสงดับ การสลับสับเปลี่ยนที่กินระยะเวลายาวนานแบบนี้ไม่สามารถทำให้เกิดความหลากหลายของพืชพรรณต่างๆ ได้ แต่มันกลับทำให้หญ้าบางชนิดที่มีช่วงอายุในการเจริญเติบโตที่ยาวนานมีชีวิตรอดมาจนถึงปัจจุบันได้ ส่วนพื้นที่ว่างเหล่านั้นก็กลายเป็นโอเอซิสบนซิลเวอร์สตรีมที่หล่อเลี้ยงชาวโมเกน
พูดอีกอย่างก็คือตอนนี้เมืองไอรอนแซนด์และท่าเรือเรฟเวลรี่ต่างก็สร้างอยู่บนกองซากศพที่กลายเป็นพื้นทราย
ภาพภาพนี้ทำให้โรแลนด์รู้สึกขนลุกขึ้นมา
เขาถึงขนาดหวังว่าตัวเองจะเดาผิด
ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาไม่มีจุดสิ้นสุดจริงๆ อย่างนั้นบนโลกนี้จะต้องมีเครื่องสังเวยอีกมากน้อยเท่าไร?
ใต้ผืนแผ่นดิน ใต้ท้องทะเลลึก….
เกรงว่าคงจะไม่มีที่ไหนที่ไม่เปื้อนเลือด
……………………………………………………………………….