Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1148 หัวหน้าแม่บ้านที่กลับมา
“ฝ่าบาท…” เสียงของไนติงเกลดึงตัวเขากลับออกมาจากความคิด “พระองค์ทรงเป็นอะไรหรือเปล่าเพคะ?”
“เอ่อ ข้าทำไมเหรอ?” โรแลนด์กระแอมเล็กน้อย
“เหม่อมองแผนที่ สีหน้าดูไม่ค่อยดี ในนั้นมันมีข่าวอะไรไม่ดีเหรอเพคะ?”
“เปล่า บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง” โรแลนด์ส่ายหัว ก่อนจะเดาการคาดเดาของตัวเองออกมาให้เธอฟัง “ถ้าโลกเป็นแบบนั้นจริงๆ แบบนั้นมันจะ
ปัญหาข้อหนึ่งที่ยากจะมองข้ามได้ก็คือสำหรับสิ่งมีชีวิตแล้ว ช่วงเวลาพันปีถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นอย่างมาก
ตอนที่เผ่ากัมมันตรังสีกับมนุษย์ไม้ขีดกำลังทำสงครามแห่งความเป็นความตายกันอยู่ มนุษย์อยู่ที่ไหน? แล้วปีศาจอยู่ที่ไหน?
ถ้าสงครามแห่งโชคชะตาไม่มีที่สิ้นสุด อย่างนั้นอารยธรรมที่ชนะสงครามก่อนหน้านั้นล่ะ?
ไม่ว่าสงครามจะโหดร้ายทารุณขนาดไหน มันก็ต้องมีผู้ชนะอยู่
แต่ทำไมพวกมันถึงได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนกัน?
เมื่อคิดถึงประเด็นนี้ โรแลนด์พลันรู้สึกว่าหนทางเบื้องหน้ามีความยากลำบากอย่างมาก
“อย่างนี้นี่เอง…” ไนติงเกลเหมือนมีอะไรอยากจะพูด “ต่อให้พระองค์ทรงเดาถูกทั้งหมด แต่หม่อมฉันคิดว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้ปัญหา”
โรแลนด์มองเธออย่างแปลกใจ “วิธีอะไร?”
“บอกไว้ก่อนนะเพคะ หม่อมฉันไม่ใช่อันนา ดังนั้นหม่อมฉันไม่อาจพูดมันออกมาเป็นข้อๆ ได้ นี่เป็นแค่ความคิดส่วนตัวของหม่อมฉันเท่านั้น พระองค์ห้ามหัวเราะ เข้าใจไหมเพคะ”
“ข้าจะไม่หัวเราะ”
ไนติงเกลเอาปลาแห้งใส่เข้าไปในปากตัวเองแผ่นหนึ่ง “ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงหนึ่งหรือสองอายุคนใช่ไหมเพคะ? ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการกระจายข้อมูลออกไปจนกว่าจะถึงเวลา”
“อืม…มีเหตุผล” โรแลนด์พยักหน้า “จากนั้นล่ะ?”
“มีแค่นี้แหละเพคะ”
“หา?” เขางุนงงเล็กน้อย
“เพราะว่านั่นมันไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้วนี่เพคะ” ไนติงเกลพูดต่อ “ชีวิตคนเราสั้นแค่นี้เอง แค่ทำหน้าที่ของตัวเองให้สำเร็จตอนที่มีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ทำไมต้องไปปวดหัวกับเรื่องหลังจากนี้ด้วยล่ะเพคะ ส่วนคนเหล่านั้นจะทำยังไง จะทำสำเร็จหรือไม่ นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขา ต่อให้พระองค์คิดจนปวดหัวมันก็ไม่มีประโยชน์หรอกเพคะ”
เขายิ้มมุมปากขึ้นมา…นี่ถือว่าเป็นการปลอบหรือเปล่า? แต่ไม่ว่ายังไง ความคิดที่ตรงไปตรงมาและชัดเจนแบบนี้ นี่แหละคือสไตล์ของเธอ
“พระองค์จะว่าหม่อมฉันมองอะไรสั้นๆ ใช่ไหมเพคะ?” ไนติงเกลหรี่ตา
“เปล่า” โรแลนด์หุบยิ้มทันที “เป็นความคิดที่ฉลาดมาก”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วเพคะ” เธอเชิดหน้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างได้ใจว่า “ยิ่งไปกว่านั้นหากพระองค์กลัวว่าคนรุ่นหลังจะมีความสามารถไม่มากพอที่จะแบกรับภาระหน้าที่นี้ได้ พระองค์ก็แบ่งภาระนี้ไปให้เผ่าพันธุ์อื่นช่วยได้นี่เพคะ”
“แบ่ง? ยังไง?”
“สร้างโบราณสถานขึ้นมา แล้วบันทึกความจริงของสงครามแห่งโชคชะตาเอาไว้ — นี่เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ถ่ายทอดข้อมูลเหมือนกัน พระองค์ก็ทรงรู้ว่ามีเผ่ากัมมันตรังสีกับมนุษย์ไม้ขีดจากในภาพบนผนังของวิหารต้องสาปไม่ใช่เหรอเพคะ? เราสร้างป้อมใต้ดินที่แข็งแกร่งเอาไว้ตามที่ต่างๆ ของเกรย์คาสเซิล แล้วสลักภาพไว้บนผนังเพื่อเตือนอารยธรรมอื่นๆ ที่เข้าร่วมสงคราม ถ้าเวลายาวนานมากพอ หม่อมฉันคิดว่ายังไงก็ต้องมีซักหนึ่งหรือสองเผ่าพันธุ์ที่อยู่รอดไปถึงช่วงเวลานั้นแน่นอนเพคะ”
โรแลนด์ตึกตะลึงทันที คำพูดของไนติงเกลนี้ไม่เพียงแต่จะไม่ใช่การมองอะไรสั้นๆ หากแต่ยังเรียกได้ว่าเป็นความคิดที่ยาวไกลอย่างมาก สมมติว่ามนุษย์สูญพันธุ์ไปในศึกแห่งการตัดสินชะตาชีวิต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ามนุษย์จะถอนตัวออกไปจากเวทีแห่งการต่อสู้นี้ หากใช้วิธีการนี้ในการถ่ายทอดความคิดออกไป ขอเพียงมีผู้ชนะเหลือรอดมาได้ พวกเขาย่อมต้องเอาอารยธรรมมนุษย์บันทึกลงไปในประวัติศาสตร์แน่นอน
บางทีแม้แต่ตัวเธอเองก็คงไม่รู้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในวิธีการนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ โรแลนด์จึงส่ายหน้ายิ้มๆ ขึ้นมาพร้อมกับเทเครื่องดื่มยุ่งเหยิงให้เธอแก้วหนึ่ง “ด้วยหัวสมองของเจ้า คิดแบบนี้ได้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
“ครึ่งแรกตัดออกไปได้ไหมเพคะ” ไนติงเกลถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่เธอก็ยังรับเอาแก้วมาอย่างไม่ลังเล
ถูกต้อง นั่นเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาจะใช้ เขาคิดในใจ แต่ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะเป็นผู้บันทึกประวัติศาสตร์เองมากกว่าจะเป็นสิ่งที่ถูกบันทึกอยู่ในบันทึกของคนอื่น
หลังสั่งให้ฌอนนำเอาห่อแผ่นหินไปส่งให้เซลีนแล้ว โรแลนด์ก็จมอยู่กับงานทั้งวัน พอตกบ่าย คนที่เขารอคอยอยู่นานอีกคนหนึ่งก็เดินทางมาถึงปราสาท
หัวหน้าแม่บ้านแห่งเกาะสลีปปิ้ง คามิล่า แดริล
ที่่น่าแปลกก็คือเธอไม่ได้มาพร้อมกับทิลลี เธอดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจเรื่องความเรียบร้อยของการแต่งตัวเลย แถมยังดูมอมแมมอีกด้วย
นี่หมายความว่าอีกฝ่ายอาจจะวิ่งมาที่นี่ทันทีที่ลงจากเรือ แม้แต่มนตร์แห่งสลีปปิ้งก็ไม่ได้ไป
โรแลนด์แอบรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
“เจ้าเพิ่งมาถึงเนเวอร์วินเทอร์เหรอ?” เขาชงชาให้คามิล่าด้วยตัวเอง “เหนื่อยหน่อยนะ แล้วการสำรวจของธันเดอร์ราบรื่นดีไหม?”
อีกฝ่ายดื่มชาเข้าไปรวดเดียว แถมยังเกือบสำลักน้ำชาด้วย “แค่ก…แค่กๆ เกาะชาโดว์เกิดเรื่องแล้วเพคะ โจนนาง นาง…หายไปเพคะ!”
“หายไป?” โรแลนด์ตกใจ ก่อนจะหันไปสบตากับไนติงเกล “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าค่อยๆ เล่าให้ข้าฟังหน่อย”
“….เรื่องราวที่เกิดขึ้นก็ประมาณนี้แหละเพคะ” คามิล่าใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดจบ “พวกหม่อมฉันรออยู่ตรงทะเลด้านนอกสองวัน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของโจนเลย ธันเดอร์บอกว่ามีแต่พระองค์เท่านั้นที่อาจจะรู้ว่าโจนเจออะไรที่ใต้น้ำกันแน่ ภาพที่บิดเบี้ยว เกาะเสาที่ลอยอยู่กลางน้ำ…มันมีของแบบนั้นอยู่จริงๆ ด้วยเหรอเพคะ?”
มันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย!
โรแลนด์นวดขมับตัวเอง ยิ่งเข้าใจโลกนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแปลกประหลาดของมัน ก่อนหน้านี้เข้าคิดว่าในโลกแห่งความฝันนั้นเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด แต่ตอนนี้ดูเหมือนโลกแห่งความจริงก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไรเลย
เสาหินกับปลาที่ถูกดึงจนยืดยาว เมื่อฟังจากที่คามิล่าเล่ามาแล้วเหมือนไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากแรงกระทำภายนอก หลักฐานที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือก่อนที่โจนจะถูกดึงลงไปใต้ทะเล คามิล่ามองเห็นนิ้วของเธอจู่ๆ ก็ยืดยาวออก ถ้ามันถูกดึงออกจนยืดยาวแบบนั้นจริงๆ คามิล่าที่อยู่ในสภาวะเชื่อมต่อทางวิญญาณอยู่กับโจนจะต้องรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดอย่างมากแน่
แต่ความจริงไม่ว่าจะเป็นโจนหรือคามิล่าก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ บนร่างกายเลย
สิ่งเดียวที่เขานึกออก นั่นก็คือบิดเบือนของพื้นที่
ถึงแม้จะฟังดูแปลกประหลาด แล้วก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มายืนยัน แต่เขารู้ว่าตัวเองจำเป็นต้องพูดอะไรบางอย่าง ที่คามิล่าไม่ได้ไปหาทิลลีก่อน แล้วก็ไม่ได้รอจนตัวเองหายเหนื่อยแล้วค่อยมารายงาน เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะว่าเธออยากรู้ว่าโจนเป็นยังไงบ้าง เมื่อดูจากดวงตาที่มีเส้นเลือดฝอยแดงเต็มไปหมด บางทีเธออาจจะนอนไม่หลับมาตลอดทาง การที่คามิล่ารู้สึกร้อนใจขนาดนี้ เกรงว่าเธอคงรู้สึกเป็นห่วงแล้วก็รู้สึกผิดอย่างมากด้วย
พูดอีกอย่างก็คือต่อให้เป็นเรื่องที่ฟังดูไร้สาระ เขาก็ต้องแต่งมันออกมา
โชคดีที่มี ‘เส้นทะเล’ ที่ตั้งฉากกับพื้นทะเลเกิดขึ้นให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้ว ดังนั้นต่อให้เขาพูดไร้สาระแค่ไหน มันก็ไม่มีทางที่จะฟังดูเกินจริง
โรแลนด์นวดขมับ เขานิ่งเงียบอยู่ครู่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ข้าคิดว่าการวิเคราะห์ของธันเดอร์นั้นถูกต้อง”
คามิล่าเงยหน้าขึ้นมาทันที “พระองค์ทรงคิดว่าโจนยังมีชีวิตอยู่เหมือนกันเหรอเพคะ?”
“อืม แถมนางยังอาจจะไปทางตะวันออกของเส้นทะเลด้วย”
“แค่พริบตา ห่างออกไปเป็นพันกิโลเมตร นี่…มันเป็นไปได้เหรอเพคะ?”
“ข้าก็แค่คาดเดาเท่านั้น แต่สิ่งแรกที่สามารถมั่นใจได้ก็คือน้ำทะเลในบริเวณทะเลชาโดว์ลดลงจริงๆ ใช่ไหมล่ะ? อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงอันนี้มันยังส่งผลต่อน้ำขึ้นน้ำลงของเกาะฟยอร์ดด้วย ปริมาณของน้ำจะต้องเป็นปริมาณที่น่าตกใจอย่างมากแน่ อย่างนั้นน้ำที่ลดลงมันไปที่ไหนล่ะ?” โรแลนด์หยิบปากกาขนนกขึ้นมาวาดวงกลมวงหนึ่งลงไปบนกระดาษ “ข้าเดาว่ามันไปทางตะวันออกของเส้นทะเล”
คามิล่าครุ่นคิด “ธันเดอร์เหมือนจะเคยพูดเอาไว้ว่าน้ำทะเลแถวเส้นทะเลมันไหลไปทางตะวันตก”
“เพราะถ้าไม่ไหลกลับมาเติมล่ะก็ ขอเพียงน้ำลดแค่สองสามครั้ง ทะเลน้ำวนก็คงจะแห้งจนเห็นก้นทะเลแล้ว” โรแลนด์วาดวงกลมที่สองลงไป ระยะห่างของวงกลมทั้งสองห่างกันประมาณหนึ่งฝ่ามือ “ปัญหาอยู่ที่ถ้าน้ำเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งแล้วค่อยไหลออกมา อย่างนั้นน้ำทะเลมันก็ควรจะไหลเป็นออกมาเป็นระลอกๆ แต่นี่มันกลับไหลแบบต่อเนื่องออกมา ถ้าอยากจะทำแบบนี้ได้ มันก็จะต้องไหลผ่านวงกลมสองวงในพริบตา อย่างนั้น…เส้นทางที่เร็วที่สุดคือเส้นทางไหนล่ะ?”
คามิล่ายื่นมือออกไปอย่างไม่แน่ใจ ก่อนจะลากมือเป็นเส้นตรงระหว่างวงกลมทั้งสองวง “ไปตรงๆ เหรอเพคะ?”
“ตามหลักแล้วมันควรจะเป็นเช่นนั้น” โรแลนด์เติมเส้นตรงลงไปบนวงกลมทั้งสองวง “แต่มันยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่ง” จากนั้นเขาก็พับกระดาษให้วงกลมทั้งสองวงทับซ้อนกันพอดี “แค่นี้มันก็จะไหลออกมาได้ในพริบตาแล้ว”
คามิล่าสูดปากด้วยความตกใจ “มัน…จะเป็นไปได้ยังไง?”
“จริงอยู่ที่มันน่าเหลือเชื่อ แต่ว่าถ้ามันเป็นสิ่งที่พลังเวทมนตร์สร้างขึ้นมา เราก็ไม่อาจมองมันแบบธรรมดาๆ ได้ อย่างไนติงเกลเองก็สามารถเคลื่อนที่ในระยะทางสั้นๆ ได้ในพริบตา แถมยังสามารถทะลุสิ่งกีดขวางที่คนธรรมดาไม่สามารถวิ่งผ่านไปได้ ซึ่งหลักการทั้งสองอันนี้มันก็คล้ายๆ กัน”
“….” คามิล่านิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
“นอกจากนี้ ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงข้อสมมติ แต่ภาพที่เจ้าพูดถึงกลับน่าสนใจอย่างมาก” โรแลนด์เอาปากกาขนนกแทงเข้าไปในวงกลม “อย่างเช่นปากกานี้สามารถทะลุจากวงกลมหน้าไปยังวงกลมหลังได้ในพริบตา แต่ความจริงแล้วมันยังคงเดินทางเป็นเส้นตรงอยู่ พูดอีกอย่างก็คือเมื่อมองจากภายนอก ปลาตัวนั้นสามารถว่ายน้ำเป็นระยะทางพันกิโลได้ในชั่วพริบตา เจ้าคิดว่าเจ้าจะมองเห็นภาพแบบไหนล่ะ?”
คามิลาพูดงึมงำขึ้นมา “หด…เล็กลง?”
“ถูกต้อง ของที่อยู่ใกล้จะใหญ่ ของที่อยู่ไกลจะเล็ก หลักการนี้ยังคงใช้ได้อยู่ ดังนั้นข้าคิดว่าปลานั่นไม่ได้ถูกดึงให้ยาว หากแต่ร่างกายของมันอยู่ห่างเจ้าออกไปเป็นพันกิโล มันก็เลยดูทั้งเล็กทั้งยาว”
“ฟู่ว…” เธอถอนหายใจออกมายาวๆ ในที่สุดสีหน้าก็ดูผ่อนคลายขึ้น “ถ้าด้านนอกวงกลมที่อยู่อีกด้านก็เป็นทะเลเหมือนกัน โจนก็น่าจะยังมีชีวิตอยู่”
โรแลนด์พยักหน้า
“ขอบพระทัยเพคะ…” คามิล่าเหมือนอยากจะพูดอะไรอีก แต่จู่ๆ ร่างกายเธอก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้น
ไนติงเกลรีบเข้าไปพยุงเธอเอาไว้ทันที
“นางน่าจะเหนื่อยเกินไป”
“ส่งนางไปพักที่ตึกแม่มดแล้วกัน เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปบอกทิลลี”
“เพคะ” ไนติงเกลพยุงคามิล่าเอาไว้ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในหมอกมายา
…………………………………………………………………..