Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1158 พ่ายแพ้
การเฉลิมฉลองดำเนินไปได้เพียงครู่เดียว แนวรบก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมาใหม่
ทั้งการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ สรุปผลการรบ ต่อรางรถไฟออกไป เก็บกวาดสนามรบ…เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ต้องรีบจัดการ
กองบัญชาการรู้ดีว่าชัยชนะในศึกครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าปฏิบัติการคบเพลิงได้จบลงแล้ว ถึงแม้จำนวนปีศาจที่เหลืออยู่ในตอนนี้จะไม่สามารถทำการลอบโจมตีได้เหมือนครั้งนี้อีก ส่วนเรื่องการยึดเอาทาคิลามาก็เรียกได้ว่าแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ถ้ายังไม่เดินไปถึงก้าวสุดท้าย พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะประมาทแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไปกว่านั้นผู้พิฆาตเวทมนตร์ก็ยังมีชีวิตอยู่ ถ้ายังกำจัดมันไม่ได้ก็ยังไม่ถือว่าบรรลุเป้าหมายในภารกิจครั้งนี้
จริงอยู่ที่มันคู่ควรแก่การเฉลิมฉลอง แต่ว่านั่นก็ต้องรอให้พวกเขาเอาธงของเกรย์คาสเซิลไปปักยังยอดของซากเมืองทาคิลาและกลับไปยังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ได้อย่างปลอดภัยเสียก่อน
หลังผ่านการหารืออีกครั้ง เจ้าหน้าที่ระดับสูงของแนวร่วมพันธมิตรก็เห็นพ้องต้องกันว่าหลังตัดปีศาจที่ตายอยู่ในศึกครั้งนี้ออกไป จำนวนปีศาจที่เหลืออยู่ในซากเมืองศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีไม่ถึง 500 ตัว เมื่อดูจากจำนวนตรงนี้ก็หมายความว่าพวกมันไม่มีอันตรายใดๆ ต่อกองทัพที่หนึ่งอีก
เมื่อเทียบกับการรุกคืบไปข้างหน้าแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ทางกองบัญชาการกำลังครุ่นคิดน่าจะเป็นเรื่องการป้องกันผู้พิฆาตเวทมนตร์หนีไป สถานีหมายเลขสิบสามารถสร้างให้ช้าลงได้ เพื่อที่ศัตรูจะได้ไม่ถอดใจจนหนีไปเสียก่อน ขณะเดียวกันการซุ่มโจมตีก็ต้องรีบจัดการด้วย ถึงแม้จะไม่มีการสอดแนมของซิลเวีย แต่ตอนนี้กองทัพที่หนึ่งก็น่าจะไม่ถูกลอบโจมตีอีกแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาด หลังพักผ่อนมาหนึ่งวัน กองทัพที่หนึ่งก็เปิดฉากยิงปืนใหญ่ใส่ปีศาจอีกครั้ง แต่ว่าครั้งนี้พวกเขากลายเป็นฝ่ายบุก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระสุนปืนใหญ่ที่ถูกกระหน่ำยิงออกมา สิ่งเดียวที่อีกฝ่ายทำได้ก็คือถอยหนีกลับไปยังซากเมืองทาคิลา
ในระหว่างนี้เหลือเพียงแค่ผู้พิฆาตเวทมนตร์เท่านั้นที่ยังสร้างปัญหาให้กับแนวรับได้ แต่ในฐานะที่เป็นเป้าหมายที่ถูกจับตาอยู่ตลอดเวลา ทำให้แม้แต่จะเข้ามาใกล้แนวรบของกองทัพที่หนึ่งก็ยังทำได้ลำบาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะหยุดการบุกของกองทัพที่หนึ่งเลย
เมื่อการโจมตีประสบความล้มเหลวไปหลายครั้ง จำนวนการโจมตีของมันก็ลดลงเรื่อยๆ
สี่วันหลังทำศึกใหญ่ ในที่สุดรางเหล็กก็ปูไปถึงระยะยิง 10 กิโลเมตรแล้ว
หลังจัดตั้งแนวยิงปืนใหญ่เสร็จเรียบร้อย อกาธา ฟิลลิสและแม่มดอาญาสิทธิ์อีกร้อยกว่าคนก็ถูกขวานเหล็กเชิญให้มายืนต่อแถวอยู่ด้านหน้าปืนใหญ่ป้อม
เนื่องจากปืนใหญ่มีจำนวนไม่พอ แวนนาที่เป็นหัวหน้ากองพันปืนใหญ่จึงได้เอาเชือกสิบกว่าเส้นมาต่อเข้ากับเชือกสำหรับยิงปืนใหญ่ แบบนี้พวกนางก็จะสามารถยิงปืนใหญ่นัดแรกสู่ทาคิลาได้พร้อมๆ กัน
ผู้ตื่นรู้ที่เกิดจากเมืองทาคิลา ผู้แก้แค้นที่ต้องการจะแย่งเอาทาคิลากลับมา…และผู้ที่ต้องการสร้างเมืองศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาใหม่ แม่มดอาญาสิทธิ์ทุกคนต่างรู้ดีกว่านี่เป็นวินาทีประวัติศาสตร์ที่มีความหมายอย่างมาก ไม่ว่าพวกนางจะมีชีวิตรอดไปจนผ่านพ้นสงครามแห่งโชคชะตาไปได้หรือไม่ แต่เหตุการณ์ในวันนี้ก็จะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์
“ข้าต้องขอโทษท่านด้วย” ฟิลลิสกำเชือกแน่นพร้อมพูดกับอกาธาเบาๆ “เมื่อ 400 ปีก่อน ข้าเคยแอบหัวเราะเยาะท่านลับหลัง เรื่องที่ท่านทำงานกับพวกคนธรรมดา”
“ตอนนั้นก็มีหลายคนคิดเหมือนอย่างเจ้าแหละ” แม่มดน้ำแข็งยิ้มออกมา “แล้วตอนนี้ล่ะ?”
“ตอนนี้เหรอ…” ฟิลลิสยิ้มมุมปากขึ้นมา “ความรู้สึกที่ได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับคนธรรมดามันก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“เตรียมพร้อม…” ในเวลาเดียวกันนั้นเอง แวนนาก็ยกธงให้สัญญาณขึ้นมา “ยิงได้!”
ทุกคนกระตุกเชือกไปด้านหลังพร้อมกัน เสียงปืนใหญ่ดังกึงก้องไปทั่วท้องฟ้า กระสุนปืนใหญ่สิบกว่าลูกลอยข้ามที่ราบลุ่ม ก่อนจะตกลงในซากเมืองศักดิ์สิทธิ์
คลื่นกระแทกอันรุนแรงแผ่กระจายไปรอบๆ พร้อมกับเสียงระเบิด เศษซากเมืองที่มีอายุ 400 ปีแห่งนี้ถูกกวาดจนราบเป็นหน้ากลอง ขณะเดียวกันสิ่งที่ถูกคลื่นอากาศและเศษก้อนหินฉีกเป็นชิ้นๆ ยังมีปีศาจที่แอบซ่อนอยู่ในเมือง
….
“เริ่มแล้ว” ซิลเวียพูดเสียงเบาๆ
“อื้อ” แอนเดรียตอบอย่างไม่ร้อนใจ ถึงแม้จะมองไม่เห็นสถานการณ์ในเมืองทาคิลา แต่เธอก็ยังได้ยินเสียงระเบิดทึบๆ อย่างชัดเจน การสั่นสะเทือนบนพื้นดินในตอนนี้นั้นแตกต่างจากการการสั่นสะเทือนเวลาที่ยิงปืนใหญ่อย่างสิ้นเชิง ถึงแม้จะอยู่ห่างออกมา 7 – 8 กิโลเมตร เธอก็ยังรับรู้ถึงมันได้
มันอยากจะจินตนาการได้จริงๆ ว่าปีศาจที่ถูกปืนใหญ่ระดมยิงใส่มาตลอดทั้งคืนมันจะมีความรู้สึกอย่างไร
“นี่มันวันที่ 5 แล้วใช่หรือเปล่า?” แม็กกี้พูดงึมงำขึ้นมา “วันนี้ผู้พิฆาตเวทมนตร์มันจะมาไหม?”
“ใครจะรู้ได้ล่ะ” แอชเชสยักไหล่
“อยากกลับไปกินหม้อไฟกับเกี๊ยวซ่าที่เนเวอร์วินเทอร์จัง”
“โครกกกก”
เธอยังไม่ทันพูดจบ ท้องของใครบางคนในนั้นก็ร้องขึ้นมา
“แต่เนื้อย่างกระทะร้อนก็ไม่เลวเหมือน ถ้าได้ขนมปังไอศกรีมอีกซักที่ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่…อื้อ…”
แอชเชสเอาขนมปังยัดเข้าไปในปากของแม็กกี้ “ถ้ารู้สึกหิวก็กินนี่เข้าไปเยอะๆ ถึงแม้รสชาติจะไม่ได้ดีเท่าไร แต่อย่างน้อยก็ทำให้อิ่มได้”
“นอกจากนี้อย่าลืมซะล่ะ ตอนนี้พวกเรากำลังปฏิบัติภารกิจอยู่นะ” คามิล่า แดริลพูดเสริมขึ้นมา “เรื่องของกินอะไรนั่นเอาไว้กลับไปแล้วค่อยคิด แต่ตอนนี้ต้องมีสมาธิอยู่กับหน้าที่ของตัวเอง”
เจ้านี่ยังทำเป็นวางท่าอยู่ได้ เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อกี้ตัวเองก็กลืนน้ำลายเหมือนกัน แอนเดรียแอบส่ายหัวเงียบๆ ก่อนจะทุ่มสมาธิกลับไปยังทาคิลา
ในขณะที่กองทัพที่หนึ่งเปลี่ยนจากฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุก หน่วยจู่โจมพิเศษก็เดินทางออกจากค่าย แล้วอ้อมซากเมืองทาคิลามาซุ่มอยู่ในป่าทางด้านตะวันตกของเส้นทางขนส่งหมอกแดงตามที่ได้วางแผนกันเอาไว้ เนื่องจากไม่รู้ว่าผู้พิฆาตเวทมนตร์จะถอยหนีเมื่อไร พวกเธอจึงได้แต่ต้องอดทนเฝ้ารออยู่ตรงนี้
ถึงแม้การใช้ชีวิตอยู่ในป่าด้านนอกจะไม่ได้เป็นเรื่องยากลำบากอะไรสำหรับเหล่าแม่มด แต่เมื่อคิดถึงว่าบนท้องฟ้ายังคงมีอสูรสยองบินไปมาอยู่ ด้วยเหตุนี้พวกเธอจึงไม่สามารถก่อไฟย่างอาหารกินได้ แม้แต่เต็นท์หลบแดดหลบฝนก็ยังไม่มี ทุกคืนพวกเธอก็เอาผ้ามาห่อตัวแล้วนอนอยู่บนต้นไม้ ถ้าหิวก็ต้องกินขนมปังประทังชีวิต ชีวิตแบบนี้ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องสบายแน่
ความจริงแล้วเมื่อครู่ตอนที่ได้ยินคำพูดของแม็กกี้ จู่ๆ เธอก็เกิดความรู้สึกคิดถึงเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขึ้นมาอย่างมาก ตอนแรกที่ติดตามทิลลีจากเกาะสลีปปิ้งมายังเมืองเนเวอร์วินเทอร์ เธอยังคิดว่าที่นี่นั้นไม่ใช่เมืองที่ดีอะไร คำพูดที่บอกว่า ‘บ้านของแม่มด’ นั้นก็เป็นแค่คำคุยโวของผู้ปกครองเท่านั้น ถ้าทิลลีตัดสินใจออกจากเมืองเมื่อไร เธอก็จะตามเธอไปอย่างไม่ลังเล แต่ตอนนี้ถ้าถามคำถามนี้กับเธออีกครั้ง แอนเดรียกลับรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมา…..
เตียงนุ่มๆ อาหารเลิศรสจำนวนมากมาย น้ำร้อนและน้ำเย็นที่ไหลได้เอง เครื่องทำความร้อนที่ทำให้สามารถเดินเท้าเปล่าได้ในหน้าหนาว ถึงแม้เธอจะเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลควินน์ แต่เธอก็ไม่เคยใช้ชีวิตสุขสบายขนาดนี้มาก่อน มันไม่ใช่ความหรูหราที่จะใช้แค่เงินซื้อมาได้ หากแต่เป็นความพิถีพิถันและความประณีตในทุกๆ รายละเอียด พอคิดถึงว่าต้องลาจากสิ่งเหล่านี้ เธอกลับพบว่าตัวเองรูัสึกยากที่จะตัดสินใจได้
โชคดีที่ทิลลีเข้ากับโรแลนด์ได้ดี ทำให้ตอนนี้เธอไม่ต้องไปคิดถึงปัญหาน่าปวดหัวเหล่านี้
เอาไว้กำจัดผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้เมื่อไร เธอจะต้องขอให้โรแลนด์ตบรางวัลให้เธองามๆ แอนเดรียคิดในใจ
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเป้าหมายถูกปืนใหญ่กระหน่ำยิงตายอยู่ในเมืองทาคิลา ผลลัพธ์ที่ดีรองลงมาคือในตอนที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์หลบหนี มันไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีทีมจู่โจมพิเศษคอยซุ่มโจมตีอยู่ แล้วก็ถูกกระสุนหินอาญาสิทธิ์ยิงตายกลางอากาศ ผลลัพธ์อันดับสุดท้ายคืออีกฝ่ายรู้อยู่แล้วว่าพวกเธอมีความสามารถในการโจมตีอย่างแม่นยำจากระยะไกล แล้วก็ใช้การบินซิกแซกไปมาในการหลบกระสุน หากเป็นแบบนั้นก็ได้แต่ต้องพึ่งซีกัลในการหยุดอีกฝ่ายแล้ว
แต่เธอแอบรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจว่าสองเหตุการณ์แรกมันจะเกิดขึ้น เพราะในศึกตอนกลางคืนเมื่อ 5 วันก่อน ผู้พิฆาตเวทมนตร์เคยบินเข้ามาใกล้แนวรบของกองทัพที่หนึ่ง แต่มันคอยบินซิกแซกอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอไม่มีโอกาสที่จะลงมือ นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่ามันกำลังจงใจป้องกันการยิงของเธออยู่?
“อ๊าซซซซซซซซซซ…………..”
ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องแปลกๆ พลันดังเข้ามาในหูของทุกคน
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” แอชเชสถาม
“กระสุนปืนใหญ่นัดหนึ่งยิงไปถูกปีศาจโครงกระดูก!” ซิลเวียอุทานตกใจ “ด้านหลังของมันโดนระเบิดจนเป็นรูขนาดใหญ่ พระเจ้า เจ้าสิ่งนั้นมัน…กำลังกรีดร้อง!”
“ที่แท้มันก็รู้สึกเจ็บได้ด้วยเหรอเนี่ย? ดูจากข้างนอกแล้วข้านึกว่ามันไม่มีชีวิตซะอีก”
“ตรงตำแหน่งที่ถูกยิงกำลังพ่นหมอกสีแดงออกมาอยู่ เหมือนกับ…เลือดเลย” ซิลเวียจ้องมองไปทางตะสันออกเฉียงเหนือ “ผู้พิฆาตเวทมนตร์เคลื่อนไหวแล้ว มันกำลังบินไปที่แนวรบของพวกเรา
“ขอให้มีคนกำจัดมันได้นะ” แอนเดรียผายมือพูด
“เดี๋ยวๆ…ผู้พิฆาตเวทมนตร์บินไปได้ครึ่งทางก็บินกลับแล้ว!” ซิลเวียที่สังเกตการณ์อยู่ขมวดคิ้วขึ้นมา “นี่มันอะไรกันเนี่ย? ปีศาจโครงกระดูกกำลังถอยไปข้างหลัง! มีปีศาจพยายามจะหยุดมันไว้ แต่ก็ถูกเหยียบจนเละ ในเมืองวุ่นวายอย่างมาก นี่พวกมัน…”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจว่า “ปีศาจกำลังฆ่ากันเอง?”
แอนเดรียกับแอชเชสสบตากัน ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน นี่ก็คือเป็นสัญญาณของความพ่ายแพ้…หรือว่าในที่สุดศัตรูก็แบกรับความกดดันไม่ไหว แล้วก็สูญเสียขวัญและกำลังในการสู้ศึกไปหมดแล้ว?
จากนั้นคำพูดของซิลเวียก็ยิ่งตอกย้ำความคิดนี้
“ผู้พิฆาตเวทมนตร์หนีออกจากทาคิลาแล้ว!”
………………………………………………………………………..