Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1163 สุดยอดอมนุษย์
แอชเชสพบว่าตัวเองไม่สามารถเร็วไปกว่านี้ได้
ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย เธอก็จะสามารถปัดหอกที่ปาใส่แม็กกี้ได้
ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย เธอก็จะสามารถไล่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ได้ก่อนที่เอเลน่าจะโดนฟัน
ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อย เธอก็จะสามารถป้องกันหอกที่ปีศาจคุ้มคลั่งปามาได้ทุกเล่ม
พลังเวทมนตร์กำลังไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเธออย่างบ้าคลั่ง ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกทุกๆ ส่วนของเธอแข็งแกร่งขึ้น แต่ขณะเดียวกันมันก็เผาไหม้เส้นประสาทของเธอด้วย ทว่าความเจ็บปวดไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นของเธอลดลงเลย ในทางกลับกัน มันกลับทำให้สมาธิของเธอยิ่งแน่วแน่ขึ้น
ถ้าเร็วขึ้นอีกหน่อยล่ะก็!
แอชเชสเข้าไปอยู่ในดินแดนแห่งใหม่เหมือนตอนที่เธอได้ประมือกับผู้พิฆาตเวทมนตร์ครั้งแรก แต่ครั้งนี้เหมือนเธอจะก้าวไปได้ไกลกว่าครั้งนั้น เธอสามารถมองเห็นทุกๆ รายละเอียดบนสนามรบได้อย่างชัดเจน อย่างเช่นรอยแตกที่อยู่บนหอกกระดูกที่ปาออกมา แอ่งน้ำที่อยู่ใต้เท้าของปีศาจ หน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงอย่างแผ่วเบาของแม็กกี้ เลือดสดๆ ที่ไหลออกมาจากตัวของโซอี้
เธอสัมผัสได้ถึงพลังเวทมนตร์จากภายนอกกำลังไหลทะลักเข้ามาในร่างกายไม่หยุด อีกทั้งยังรวมตัวอยู่ในอวัยวะทุกๆ ส่วนในร่างกาย บางทีนี่อาจจะเป็นการยกระดับอย่างที่อกาธาเคยบอกเอาไว้ เธอครุ่นคิด บางทีตัวเองอาจจะก้าวไปถึงขั้นนั้นแล้วก็ได้ พลังเวทมนตร์ที่จับตัวกันไม่เพียงแต่จะมองพลังที่แข็งแกร่งให้กับเธอ แต่มันยังทำให้การรับรู้ของเธอมีความเฉียบคมมากขึ้นด้วย ทำให้เธอสามารถรับมือกับปีศาจระดับสูงสองตัวได้โดยที่ไม่เสียเปรียบ
แต่มันก็ได้เพียงเท่านี้
“เคร้ง!”
ดาบยักษ์ของเธอปะทะเข้ากับแขนของผู้พิฆาตเวทมนตร์พร้อมกับมีประกายไฟแลบออกมา
“อะไรกัน นี่คือความเร็วที่เร็วที่สุดของเจ้าเหรอ?” ยังไม่ทันที่แอชเชสจะดึงดาบกลับ อุรูคได้กระโดดกลับไปด้านหลังพร้อมกับแสยะยิ้มดูถูกออกมา “ถ้าทำได้แค่นี้ล่ะก็ ช้าเร็วเพื่อนของเจ้าก็จะต้องตายอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าจงใจทอดทิ้งพวกนาง?”
แอชเชสทำเป็นไม่ได้ยิน เธอหมุนตัวไปฟันหอกกระดูกที่ปามาทางตนจนหัก
“อย่าไปฟังมัน ไอสัตว์ประหลาดชั่วนี่มันคิดจะยั่วโมโหเจ้าเพื่อให้เจ้าขาดสติ!” โซอี้หอบหายใจพร้อมบรรจุกระสุนที่เหลือเข้าไปในรังเพลิง กระสุนที่อยู่ในมือเธอเหลืออยู่แค่ไม่กี่นัด “ถ้าหุนหันพลันแล่นไล่ตามไป อย่างนั้นเจ้าจะแพ้จริงๆ เอาได้”
“ข้ารู้แล้ว” แอชเชสพยักหน้าอย่างใจเย็น
เจตนาของอีกฝ่ายนั้นชัดเจนอย่างมาก มันมักจะหาช่องโหว่แล้วลอบโจมตีเพื่อนๆ ของเธอ ส่วนปีศาจที่ยืนอยู่กระจัดกระจายก็จะตามเข้ามาคุ้มครองหรือไม่ก็ช่วยโจมตีอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับกระสุนของปืนลูกซอง พวกปีศาจคุ้มคลั่งก็บุกเข้ามาก็ไม่ได้มีทีท่าลังเลแม้แต่น้อย ขอเพียงเธอไขว้เขวนิดเดียว อีกฝ่ายก็อาจจะฉีกทำลายแนวป้องกันของพวกเธอได้
ปีศาจร้อยกว่าตัวที่มันแอบซ่อนเอาไว้น่าจะเป็นปีศาจที่มีฝีมือที่สุดในกองทัพที่ประจำอยู่ในทาคิลาแล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะแม่มดอาญาสิทธิ์ 8 คนนี้ก็มีประสบการณ์การต่อสู้ที่โชกโชนเหมือนกัน พวกนางคงไม่มีทางรอดมาถึงตอนนี้ได้
แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์พูดถูก
นี่คือความเร็วที่เร็วที่สุดของเธอแล้ว
สู้กันมาถึงตอนนี้ กลามเนื้อทุกๆ ส่วนของเธอเหมือนกับเผาไหม้อยู่ นี่คือสัญญาณของการถูกพลังเวทมนตร์กลืนกิน สำหรับอมนุษย์ที่เคยฝึกฝนตัวเองอยู่ตลอดเวลาอย่างแอชเชสแล้ว เธอเพิ่งจะเคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้เป็นครั้งแรก ถ้าตอนนี้เธอหยุดสู้ จากนั้นหมุนตัวฝ่าวงล้อมของศัตรูออกไปและพักฟื้นร่างกาย เมื่อไรที่ร่างกายของเธอปรับตัวเข้าระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทมนตร์อันใหม่ได้ ตอนนั้นเธอน่าจะยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น
แต่แบบนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์สำหรับสถานการณ์ในตอนนี้
เพราะเธอไม่สามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ อย่างมากเธอก็ทำได้เพียงปกป้องตัวเองเท่านั้น
การจะเปลี่ยนสถานการณ์ในตอนนี้ อาศัยเพียงความเร็วอย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำได้
ถ้าเปลี่ยนเป็นอควาเรียสก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้เหมือนกันล่ะมั้ง?
‘เจ้าคืออมนุษย์ คือผู้ที่มีพลังแฝงอย่างที่ยากจะจินตนาการได้มาแต่กำเนิด แต่ถ้าอยากจะก้าวข้ามประตูบานนั้นไปให้ได้จริงๆ เจ้าก็จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่แน่ชัดและจิตใจที่มุ่งมั่น’ คำพูดของฟิลลิสดังก้องอยู่ในหูของเธอ ‘สุดยอดอมนุษย์ในยุคสมัยสมาพันธ์นั้นล้วนแต่ยกระดับในระหว่างที่ต่อสู้ทั้งสิ้น ส่วนคนที่ไม่สามารถก้าวข้ามมันมาได้ก็จะตายด้วยน้ำมือปีศาจทั้งหมด ข้าหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นอย่างแรก’
เมื่อมาถึงตอนนี้จริงๆ แอชเชสถึงได้พบว่าอุปสรรคที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั้นแตกต่างกับสิ่งที่อีกฝ่ายเคยพูดมาอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอคือทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือหนีเอาตัวรอดแล้วไปเจอกับทิลลี อีกทางหนึ่งคือก้าวต่อไปข้างหน้า แล้วก้าวเข้าไปยังดินแดนแห่งใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครก้าวเข้าไปมาก่อน
แต่ค่าตอบแทนคือเธอต้องเผาไหม้ตัวเอง
‘ถ้าพวกเราปรารถนาจะใช้พลังเวทมนตร์ทำเป้าหมายอะไรบางอย่างให้กลายเป็นจริง มันก็นำพวกเราไปยังทิศทางนั้น’ เสียงฟังดูวุ่นวายและห่างไกลออกไป คล้ายกับว่ามันดังมาจากบนฟ้า — เหมือนเสียงกระซิบ แล้วก็เหมือนเสียงฟ้าร้องที่ดังมาจากที่ไกลๆ
‘สิ่งที่เจ้าต้องการคืออะไรกันแน่?’
“เฮ้ย ทางนี้…..ยิงได้!”
“ตู้ม..!”
จู่ๆ เสียงระเบิดที่เงียบไปเป็นเวลานานก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงที่ดังตามขึ้นมาคือเสียงร้องโหยหวนของปีศาจ!
แอชเชสมองตามเสียงไป ก่อนจะพบไลต์นิ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาจากด้านหลัง!
ศัตรูที่ถูกเมซี่ดึงความสนใจถูกกระสุนระเบิดยิงใส่เข้าอย่างจัง ปีศาจคุ้มคลั่งที่ถูกยิงใส่ตัวแรกตัวขาดหายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนปีศาจอีกสองตัวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ถูกเศษสะเก็ดระเบิดแทงทะลุร่างกาย พวกมันเสียความสามารถในการต่อสู้ไปในพริบตา
“อ๊าซๆๆๆ….!” จากนั้นอสูรสยองขนาดยักษ์ตัวหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในป่า ก่อนจะพุ่งเข้าชน ขย้ำและเหยียบปีศาจที่กำลังเล็งหอกไปที่ไลต์นิ่ง
ด้วยการทำงานร่วมกันของทั้งสองคน วงล้อมของปีศาจตกอยู่ในความวุ่นวายทันที แค่พริบตาปีศาจคุ้มคลั่ง 20 กว่าตัวก็เหลืออยู่แค่ 5 – 6 ตัว
“อดทนไว้ พวกเรามาช่วยแล้ว!”
“เจ้าแมลงวันน่ารำคาญ” ผู้พิฆาตเวทมนตร์ขมวดคิ้วขึ้นมา มันผละจากแอชเชส ก่อนจะบินเข้าไปหาไลต์นิ่งกับเมซี่
ส่วนปีศาจระดับสูงอีกตัวหนึ่งก็โยนต้นไม้ยักษ์เข้ามาใส่แอชเชส
นอกจากนี้มันยังปาหอกกระดูกออกไปอีกสองเล่ม เล่มหนึ่งพุ่งเข้าไปโซอี้ที่ฝืนพยุงร่างกายที่เหนื่อยล้าให้ยืนอยู่ ส่วนหอกอีกเล่มหนึ่งก็พุ่งตรงไปหาแอนเดรียที่นอนอยู่บนพื้น
สถานการณ์แบบนี้อีกแล้ว
ถ้าอยู่ตรงนี้ ไลต์นิ่งก็จะได้รับอันตราย ถ้าเข้าไปสกัดผู้พิฆาตเวทมนตร์ ทุกคนก็จะได้รับอันตราย
ในเมื่อความเร็วที่เร็วกว่านี้ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ อย่างนั้นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ได้ก็แต่พลังที่อยู่เหนือความเร็ว
ในวินาทีที่เห็นไลต์นิ่งกับเมซี่กลับมา แอชเชสก็ได้ทำการตัดสินใจออกมาแล้ว
บางทีเธออาจจะตัดสินใจแบบนี้มานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทุกคืนวันที่ได้อยู่กับแม่มดคนอื่นๆ ในเมืองเนเวอร์วินเทอร์ หรือค่ำคืนนั้นที่ได้พูดคุยกับฟิลลิส หรือว่าตอนที่ทิลลีบอกว่า ‘ถ้าเทียบกับผู้แก้แค้นแล้ว ข้าชอบเจ้าในตอนนี้มากกว่า’ ความคิดนี้มันก็อยู่ในหัวของเธอแล้ว
“ขอโทษด้วยนะ ทิลลี”
แอชเชสพูดเสียงเบา ก่อนจะก้าวเท้าไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
‘สิ่งที่เจ้าต้องการคืออะไรกันแน่?’
ข้าอยากจะปกป้องพวกนาง
พริบตานั้นเอง เธอ ‘มองเห็น’ ทะเลแห่งพลังเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง พลังที่แฝงอยู่ในนั้นยากที่จะใช้คำพูดมาบรรยายได้ แต่ในกระแสพลังเวทมนตร์ที่ไหลเวียนอยู่นั้น มันเหมือนมีเสียงกระซิบและดวงตาที่คอยจ้องมองจำนวนนับไม่ถ้วนแอบแฝงอยู่
แอชเชสปลดเปลื้องทุกอย่างและรับมันเข้ามาทั้งหมด
…..
จู่ๆ อุรูคที่บินไปได้ครึ่งทางก็รู้สึกตกใจขึ้นมา
มันรีบหันหน้ากลับไป ก่อนจะเห็นอมนุษย์คนนั้นชูดาบยักษ์ของเธอขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่วนบนคมดาบก็มีแสงสีทองแลบแปลบๆ ไปมาอยู่
พริบตาที่มองเห็นแสงสีทองนั้น มันก็รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเคลื่อนที่ได้ช้าลง เหมือนว่ามันตกลงไปในโคลนตมอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ใช่แค่มัน
การไหลเวียนของอากาศที่อยู่รอบๆ ก็หนืดขึ้นมา
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อุรูคเจอสถานการณ์แบบนี้ แต่การเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในเวลานี้กลับทำให้อุรูครู้สึกยากที่จะเชื่อได้
เป็นไปได้ยังไง?
นั่นไม่ใช่พลังที่หินเวทมนตร์ปล่อยออกมา หากแต่เป็นพลังที่มาจากตัวของนาง!
มันรีบเงยหน้าขึ้นไป โดยหวังว่าตัวเองจะคิดผิด แต่สายฟ้าสีทองที่แลบแปลบๆ อยู่บนท้องฟ้าก็ได้ทำลายความหวังสุดท้ายของมันลง เมื่อดูจากระดับความรุนแรงของพลังเวทมนตร์ที่รวมตัวกันแล้ว เผลอๆ พลังของการโจมตีครั้งนี้อาจจะเหนือกว่าแม่มดผมแดงคนนั้นเสียอีก
เรื่องที่จะหลบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
ถ้ากันเอาไว้ไม่ได้ มันก็ต้องตาย
เมื่อคิดถึงตรงนี้อุรูคก็รีบดึงเอาพลังทั้งหมดออกมาแล้วกางสนามพลัง!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง อีกฝ่ายก็เหวี่ยงดาบยักษ์ลงมา
สายฟ้าเจิดจ้าผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า ก่อนจะส่องสว่างไปทั่วทั้งพื้นดิน
…..
ท่ามกลางความเงียบสงัด มิสต์ลืมตาขึ้นมา
เธอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ ก่อนจะเดินหลบผู้คนที่ยืนนิ่งมายังข้างหน้าต่าง
โลกใบนี้ยังไม่ตื่น ทุกสรรพยังคงอยู่ในสภาพที่เวลาได้หยุดเดินลง ไม่ว่าจะเป็นแชมเปญที่ไหลออกมาจากขวด หรือว่าเม็ดฝนที่ตกโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง พวกมันลอยค้างอยู่กลางอากาศเหมือนกับภาพวาดที่อยู่ในงานเลี้ยง
ในสถานที่ที่เวลาอยู่นิ่ง ตามหลักแล้วไม่น่าจะมีเสียงดังขึ้นมาได้
แต่ในค่ำคืนที่มืดมิดนี้กลับมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นมา
เธอผลักหน้าต่างออกไป ก่อนจะทอดสายตาเหม่อมองออกไปยังขอบฟ้าอย่างเงียบๆ
…..
ในตอนที่สายตาของไลต์นิ่งฟื้นตัวจากอาการพร่ามัว เธอก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าที่โล่งที่เมื่อครู่นี้กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลายสภาพเป็นดินที่ไหม้เกรียม ต้นไม้ที่อยู่รอบๆ ถูกเผาจนกลายเป็นตอไม้สีดำ ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นไหม้แสบจมูก
เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น?
เธอจำได้แต่ว่าปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่งที่หลบอยู่หลังต้นไม้กำลังพุ่งเข้ามาหาเธอ ส่วนเธอก็ทุ่มสมาธิทั้งหมดอยู่ที่ตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ กว่าจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว ในช่วงเวลาคับขันเธอได้แต่ต้องโยนปืนยิงระเบิดใส่อีกฝ่าย โดยหวังว่าจะหยุดการโจมตีของศัตรูได้ จากนั้นลำแสงสีทองก็ปกคลุมตัวเธอไว้ทันที
แต่ตอนนี้บนที่โล่งที่อยู่ตรงหน้าเหลือปีศาจระดับสูงอยู่แค่สองตัวเท่านั้น ส่วนปีศาจตัวอื่นๆ หายไปจนหมด
หัวอันใหญ่โตของปีศาจระดับสูงที่กลายร่างมาจากเจ้าแห่งนรกฟุบลงไปอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างกายของมันเหมือนถูกไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น ผิวหนังหยาบๆ ของมันปริแตกออก ลมหายใจดูรวยริน
ส่วนผู้พิฆาตเวทมนตร์นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่านั้น ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันหายไป แสงสำดำกำลังขยับไปมาอยู่ตรงบาดแผล มันยืนอยู่กลับที่ไม่ขยับไปไหน แต่ไม่รู้ว่าทำไม ไลต์นิ่งกลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ใช่แล้ว…แอชเชส!
เธอรีบมองไปตรงกลางที่โล่ง จากนั้นจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แอชเชสยังคงยืนถือดาบคอยคุ้มครองทุกคนอยู่
“เจ้าไม่เป็นไรใช่….” ไลต์นิ่งบินเข้าไปหาแอชเชส แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เสียงตะคอกต่ำๆ ของอีกฝ่ายก็ดังแทรกขึ้นมา
“รีบพาทุกคนหนีออกไปจากที่นี่ ยิ่งไกลยิ่งดี!”
“เอ๋?”
“ฟังข้านะ ที่นี่ข้าจัดการเอง เจ้ารีบไปจากที่นี่ซะ ก่อนที่ข้าจะควบคุมพลังของตัวเองไม่ได้!”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร น้ำเสียงของแอชเชสฟังดูแข็งกร้าวจนเธอไม่อาจโต้แย้งได้ ทำให้ไลต์นิ่งกลืนคำถามที่เธออยากจะถามกลับลงไป อย่างนี้นี่เอง พวกเธออยู่ที่นี่ก็มีแต่ถ่วงอีกฝ่ายเอาไว้ ไลต์นิ่งมองดูดวงตาสีสองที่เหมือนกำลังลุกไหม้ของแอชเชส อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็เหมือนจะเข้าใจแล้วว่าสายฟ้าที่ผ่าลงมาจากบนฟ้ามันคืออะไร
ไลต์นิ่งบอกให้เมซี่แปลงร่างเป็นอสูรสยองพร้อมกับเอาทุกคนวางไว้บนหลังของเมซี่ ถึงแม้เธอจะไม่สามารถบินโดยแบกคนเยอะขนาดนี้ได้ แต่ถ้าแค่วิ่งก็ไม่มีปัญหา
หลังจากนั้นไม่นาน หลังสองคนก็หนีออกมาจากที่โล่งแล้วตรงเข้าไปในป่า
หลังวิ่งออกมาได้หลายร้อยเมตร เมซี่จึงอดถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “ทำไมแอชเชสถึงใช้พลังของรูนอาญาสิทธิ์ได้ล่ะ พวกเราไม่ได้พกรูนอาญาสิทธิ์มาด้วยนี่นา…”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่มีอยู่เรื่องที่มั่นใจได้” ไลต์นิ่งชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับกำหมัดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “นางกลายเป็นสุดยอดอมนุษย์แล้ว!”
………………………………………………………………..