Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1164 ชะตาชีวิตที่ไม่ได้เลือก
หมู่เมฆบนท้องฟ้ายังไม่จางหายไป หากแต่ยิ่งรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่าเดิม สายฟ้าแลบแปลบๆ พร้อมส่งเสียงร้องครืนๆ ออกมาตลอดเวลา
กระทั่งไลต์นิ่งกับเมซี่พาผู้บาดเจ็บออกไปแล้ว แอชเชสถึงได้กระอักเลือดออกมา ร่างกายของเธอทรุดลงไป หากไม่เป็นเพราะมีดาบเล่มใหญ่ค่อยค้ำเอาไว้อยู่ เกรงว่าแม้แต่จะยืนก็ยังทำได้ลำบาก
การโจมตีเมื่อครู่นี้เผาผลาญพลังเวทมนตร์ที่เธอมีจนเกือบหมด ถึงแม้พลังเวทมนตร์จะยังคงหลั่งไหลเข้ามาในร่างกายเธอไม่หยุด แต่เธอไม่อาจควบคุมมันได้ เหมือนกับว่าทุกๆ ส่วนในร่างกายเธอกำลังถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง ผลข้างเคียงจากการใช้พลังเวทมนตร์ไปจนหมดกับความเจ็บปวดที่เกิดจากการกลืนกินทับซ้อนกันจนกลายเป็นความทรมานที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เธอไม่รู้ว่าตัวเองจะทนไปได้นานแค่ไหน แต่สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือเธอจะล้มลงที่นี่ไม่ได้
ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้จะไร้ความหมาย
สายฟ้าแห่งความพิโรธที่ผ่าลงมาจากบนฟ้าทำให้ผู้พิฆาตเวทมนตร์บาดเจ็บสาหัส
ร่างกายครึ่งหนึ่งของมันที่ฝังหินโบยบินเอาไว้ถูกสายฟ้าสีทองผ่าจนหายไป นอกจากการเคลื่อนไหวจะถูกจำกัดแล้ว ความแข็งแกร่งของมันก็ควรจะลดลงอย่างมากด้วย
ทว่าแอชเชสกลับไม่ได้รู้สึกถึงจุดนี้เลย
ร่างกายของมันยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอันตราย ประสาทการรับรู้ที่เฉียบคมอย่างมากกำลังบอกเธอว่าศัตรูที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ยังคงมีความสามารถที่จะต่อสู้ต่อไปอยู่
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอให้พวกไลต์นิ่งรีบหนีออกไปจากที่ี่นี่
ความจริงแล้วพลังเวทมนตร์ที่กำลังไหลเวียนผสมปนเปกันอย่างบ้าคลั่งอยู่รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้ไม่ใช่ของเธอแค่คนเดียว หากแต่มีพลังเวทมนตร์ส่วนหนึ่งที่หลั่งไหลออกมาจากตัวผู้พิฆาตเวทมนตร์ด้วย
ลุกขึ้นมา ต้องรีบลงมือก่อนศัตรู!
แอชเชสกัดฟันยืนขึ้นมาพร้อมกับก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
และในเวลาเดียวกัน ปีศาจระดับสูงที่ทั่วทั้งร่างกายถูกเผาไหม้ก็กำลังพยายามลุกขึ้นมาเหมือนกัน
บ้าเอ้ย มันยังไม่ตาย!
ตอนที่โจมตีก่อนหน้านี้ แอชเชสเอาพลังส่วนใหญ่เล็งไปที่ผู้พิฆาตเวทมนตร์ แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงจนทำให้ปีศาจคุ้มคลั่งสลายกลายเป็นผุยผงได้จะไม่สามารถทำให้ปีศาจระดับสูงตายได้ ถ้ารู้อย่างนี้เธอยิงสายฟ้าเพิ่มไปที่มันซะก็ดี
แต่สิ่งที่ทำให้เธอแปลกใจเล็กน้อยก็คือปีศาจระดับสูงไม่ได้หนี แล้วก็ไม่ได้พยายามที่จะเข้ามาโจมตีเธอ เธอเห็นมันพยายามลากร่างกายที่เสียหายอย่างหนักของมันไปอยู่ตรงหน้าอุรูค
มัน….กำลังทำอะไร หรือว่ามันคิดจะปกป้องผู้พิฆาตเวทมนตร์?
ดี แอชเชสกำด้ามดาบเอาไว้แน่น
แบบนี้ข้าจะได้ส่งพวกเจ้าไปลงนรกพร้อมๆ กัน!
……
ในเสี้ยววินาทีที่สายฟ้าทะลุสนามพลังของมันลงมา อุรูคได้ยินเสียงที่ฟังดูคล้ายกับเสียงเรียกของวิญญาณ
ในพริบตานั้นเอง การเชื่อมต่ออันน่ามหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น
มันมองเห็นอะไรบางอย่างที่อยู่ลึกเข้าไปกว่านั้นผ่านทางลำแสงสีทองอันเจิดจ้า —- นั่นคือดินแดนที่มันเฝ้าปรารถนา แต่ก็ยังไม่เคยก้าวเข้าไปถึงเสียที
เพียงแค่พริบตา มันได้ก้าวผ่านธรณีประตูเข้าไปแล้วทิ้งความทรงจำของตัวเองเอาไว้ ซึ่งแต่เดิมเส้นแบ่งระหว่างสองเขตแดนนี้คือความแตกต่างระหว่างมันกับราชา
แต่ตอนนี้ ความแตกต่างนี้ไม่มีอยู่อีกแล้ว!
ตั้งแต่ตอนที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อปกป้องทาคิลาไปจนถึงการซุ่มโจมตีมนุษย์ มันต้องเสียค่าตอบแทนไปเยอะแยะมากมาย แม้กระทั่งขัดคำสั่งของสกายลอร์ด
แต่ว่าทั้งหมดมันก็คุ้มค่า!
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่โลกแห่งจิตสำนึกมอบให้กับมัน อุรูคก็ส่งความคิดนี้ไปในหัวขององครักษ์ที่เป็นร่างระดับต้นทันที
‘นายท่าน ท่าน…ยกระดับแล้วหรือขอรับ?’ อีกฝ่ายรีบถามขึ้นมาอย่างดีใจทันที แต่จู่ๆ มันก็พูดอย่างเศร้าใจขึ้นมา ‘เสียดายที่ข้ากำลังจะกลับไปยังแแหล่งกำเนิดเวทมนตร์ ไม่สามารถติดตาม….ท่านได้อีก’
‘ไม่ ข้ายังไม่ได้ยกระดับ พูดให้ถูกคือข้าห่างจากการยกระดับอีกเพียงก้าวเดียว การโจมตีเมื่อกี้นี้ทำให้ข้าบาดเจ็บอย่างหนัก ด้วยสภาพข้าในตอนนี้ ข้าไม่สามารถใช้พลังของตัวเองในการยกระดับได้’
‘ข้า…ทำอะไรให้ท่านได้บ้าง?’
‘เสียสละตัวเจ้า’
ความคิดขององครักษ์ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ‘แค่นั้นเหรอขอรับ? อย่างนั้นข้าจัดการเองขอรับ นายท่าน!’
ถึงแม้มันจะสามารถลองก้าวข้ามขีดจำกัดของหินเวทมนตร์ด้วยการเอาตัวเองหลอมรวมเข้ากับแหล่งกำเนิดพลังเวทมนตร์เหมือนอย่างแม่มดอมนุษย์ แต่ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้นมันก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย มันจึงอดทนรออีกหน่อย
การสื่อสารทางจิตสำนึกนั้นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ในตอนที่ร่างระดับต้นพยายามใช้แรงเฮือกสุดท้ายในการคลานขึ้นมา อมนุษย์คนนั้นก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาเหมือนกัน
ไม่….ตอนนี้เรียกนางว่าอมนุษย์ไม่ได้อีกแล้ว
ผ่านมา 400 กว่านี้ มนุษย์ได้ให้กำเนิดสุดยอดอมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง
โชคดีที่การโจมตีก่อนหน้านี้ได้เผาผลาญพลังเวทมนตร์อีกฝ่ายไปเยอะมาก จึงยากที่จะฟื้นฟูตัวเองกลับมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีของมัน!
ในที่สุดร่างระดับต้นก็คลานมาถึงหน้าอุรูค เพียงระยะทางสั้นๆ แค่นี้ก็ทำให้พลังชีวิตของมันอ่อนแรงจนเหมือนเปลวเทียนที่อยู่ท่ามกลางสายลมแล้ว แต่จิตสำนึกของมันกลับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
‘นายท่าน…เผ่าพันธุ์ของพวกเราจะหลุดพ้นจากกรงแห่งชีวิต เอาชนะสงครามแห่งโชคชะตา แล้วก็ได้เข้าไปเหยียบยังสรวงสวรรค์ที่ไม่เคยมีใครได้สัมผัสมาก่อนจริงๆ ใช่ไหมขอรับ?’
‘ต้องมีวันนั้นแน่นอน ข้าขอรับรอง’ อุรูคชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะพูดชื่อมันออกมา ‘ทาทารอส’
ดวงตาของมันเป็นประกายขึ้นมา เหมือนกับเป็นแสงสุดท้ายก่อนที่จะดับลง ‘อย่างนั้น ได้โปรดพาวิญญาณของข้าไปกับท่านด้วยเถอะขอรับ’
องครักษ์ลุกขึ้นยืน พร้อมกับใช้แขนแทงเข้าไปในหัวของตัวเอง!
…..
แอชเชสตกตะลึง จากนั้นภายในใจของเธอพลันรู้สึกได้ถึงความอันตรายอย่างรุนแรง
ปีศาจระดับสูงส่งเสียงตะโกนกรีดร้องพร้อมควักเอาหินเวทมนตร์และก้อนเนื้อชิ้นใหญ่ออกมาจากหน้าผากของตน ก่อนจะเอามันยัดเข้าไปในร่างกายตรงส่วนที่ขาดหายไปของผู้พิฆาตเวทมนตร์
แสงสีดำที่ขยับไปมาอยู่ตรงปากแผลขยายใหญ่ขึ้นมาในพริบตา!
แอชเชสนึกถึงคำพูดของโรแลนด์ขึ้นมาทันที ปีศาจจำเป็นต้องใช้การหลอมรวมกับหินเวทมนตร์เพื่อยกระดับพลังของตัวเอง หรือว่าอุรูคคิดจะใช้วิธีนี้ในการทำพิธียกระดับให้ตัวเอง?
ไม่ว่าจะใช่แบบนั้นหรือไม่ เธอก็จำเป็นต้องกำจัดพวกมัน
แอชแชสกัดฟันฝืนทนต่อความเจ็บปวดที่เหมือนร่างกายถูกเผาไหม้แล้วเอาพลังเวทมนตร์ที่รวบรวมมาได้อย่างยากลำบากปล่อยไปที่ดาบ
สายฟ้าส่งเสียงคำรามตอบรับเจตจำนงของเธอ ในตอนที่พลังจับตัวกันจนถึงจุดสูงสุด เธอก็ฟันดาบที่สองเข้าใส่ศัตรู!
ถึงแม้พลังเวทมนตร์ที่ใส่เข้าไปในดาบจะไม่มากเท่าครั้งแรก แต่ความรุนแรงของมันกลับไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรนัก สายฟ้าสีทองผ่าลงมาจากบนชั้นเมฆเหมือนแส้ที่หวดลงมายังตำแหน่งที่ปีศาจยืนอยู่
อุรูคส่งเสียงคำราม แสงสีดำที่ปกคลุมอยู่บนร่างกายกลายสภาพเป็นแขนที่ขาดหายไป ก่อนจะยื่นไปคว้าจับสายฟ้าเอาไว้!
การปะทะกันของทั้งสองทำให้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว คลื่นอากาศพัดเอาเศษฝุ่นทรายฟุ้งกระจายขึ้นมาคั่นตรงกลางระหว่างทั้งสองคน
จนกระทั่งฝุ่นเริ่มจางหายไปแล้ว แอชเชสพลันรู้สึกตกใจขึ้นมา
ร่างกายของผู้พิฆาตเวทมนตร์ดูแล้วเหมือนไม่มีอะไรเสียหายเลย แม้แต่ร่างกายครึ่งหนึ่งที่ขาดหายไปก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิม สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือแขนที่งอกออกมามีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ตรงหัวไหล่และข้อศอกมีหนามแหลมยาวๆ งอกออกมา ดูแล้วคล้ายกับแขนขาของปีศาจระดับสูงตัวนั้น
แต่กลิ่นอายปีศาจที่มันปล่อยออกมากลับแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
“ข้าต้องขอชมเชยเจ้าเลยจริงๆ เจ้าคืออัจฉริยะที่ยากจะหาได้ในหมู่แม่มด ไม่เพียงแต่จะก้าวข้ามคนที่เคยแข็งแกร่งที่สุดในหมู่มนุษย์ แต่เจ้ายังเปิดประตูของโลกแห่งจิตสำนึกได้ด้วย สำหรับเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิตอยู่แค่ไม่กี่สิบปีแล้ว การที่มาถึงจุดนี้ได้เรียกว่าน่าเหลือเชื่ออย่างมาก” อุรูคยื่นกรงเล็บออกไปบดขยี้ร่างกายของพวกเดียวกันจนแหลกละเอียดอย่างง่ายดาย จากนั้นจึงเอาถังหมอกแดงที่เปื้อนเลือดสีน้ำเงินใส่เข้าไปในร่างกายตน “แต่น่าเสียดาย อัจฉริยะนั้นไม่ได้มีเจ้าแค่คนเดียว โดยเฉพาะสำหรับพวกข้าที่มีชีวิตยืนยาวจนสามารถก้าวข้ามสงครามแห่งโชคชะตามาได้ นี่คือความแตกต่างที่มีมาแต่กำเนิด ถึงแม้มันจะไม่ยุติธรรมเท่าไร แตชะตาชีวิตมันก็เป็นสิ่งที่เราไม่อาจเลือกได้อยู่แล้ว”
“ชีวิตของเจ้าต้องจบลงเท่านี้แหละ” พอพูดจบ มันก็พุ่งเข้ามาหาแอชเชสทันที
……………………………………………………………………