Release That Witch ปล่อยแม่มดคนนั้นซะ - ตอนที่ 1166 ชัยชนะจะเป็นของใคร
“ครืนนนนนนนนน!”
สายฟ้าแลบแปลบๆ อยู่ตรงกลางหมู่เมฆที่ก่อตัวเป็นเหมือนน้ำวน ฝนเทกระหน่ำลงมาข้างล่างอย่างบ้าคลั่ง ภายในป่าเหมือนมีหมอกฝนคอยบดบังเอาไว้อยู่ ราชาปีศาจที่ยกระดับขึ้นมาใหม่กำลังยืนตัวติดกับสุดยอดอมนุษย์ ดูเผินๆ แล้วเหมือนกับรูปปั้นแกะสลักที่น่าเกรงขาม
พลังเวทมนตร์ที่ไหลทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่งห่อหุ้มร่างกายแอชเชสเอาไว้ รอบๆ ร่างกายของเธอมีแสงสีทองปรากฏขึ้นมา
นี่คือเป้าหมายที่พลังแห่งโชคชะตาเล็งเอาไว้
เธอทำให้ตัวเองกลายเป็นดาบ
“นี่คือการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของเจ้างั้นเหรอ?” อุรูคคำถาม “คิดจะใช้วิธีนี้ตายไปพร้อมกันกับข้า ยังโง่เขลาเสียจริง!”
“ข้าไม่มีทาง…ปล่อยมือ” แอชเชสเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก ปอดครึ่งหนึ่งของเธอถูกแทงทะลุ แม้แต่จะหายใจก็ยังทำได้ลำบาก เลือดสดๆ ไหลเข้าไปในหลอดลม ในปากและจมูกของเธอเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด
5 นาที…เธอคอยบอกตัวเองไม่หยุด ขอแค่ 5 นาทีเท่านั้น
กำลังของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ต่างจากเธอเท่าไร ขอเพียงเธอไม่ปล่อยมือ มันก็ไม่มีทางดิ้นหลุดจากการกอดรัดของเธอไปได้
“เจ้าคิดว่าข้าจะใช้กำลังในการตัดสินแพ้ชนะกับเจ้างั้นเหรอ?” สีหน้าอุรูคที่อยู่ท่ามกลางสายฝนยิ่งดูดุร้าย “ดูแล้วเหมือนเจ้าจะจับข้าเอาไว้ได้ แต่ความจริงแล้วเจ้ากำลังสร้างกรงขึ้นมาขังตัวเองต่างหาก!”
พอพูดจบ ลำแสงสีดำจำนวนหลายสิบเส้นก็พุ่งออกมาจากหน้าออกของมัน ก่อนจะแทงเข้าไปในร่างกายของแอชเชสเหมือนกับหนวด
เธอส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาทันที
เดิมเธอคิดว่าไม่มีความรู้สึกไหนที่จะเจ็บปวดมากกว่าการกลืนกินของเวทมนตร์แล้ว แต่ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากลำแสงสีดำนั้นรุนแรงมากกว่าการเผาร่างกายตัวเองหลายเท่า! มันเหมือนกับมีเข็มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังแทงเข้าไปในสมองของเธอ ถ้าไม่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เธอพูดกับตัวเองซ้ำๆ ว่าจะไม่หมดสติลงไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เกรงว่าในตอนนี้เธอคงจะหมดสติไปนานแล้ว
แต่ความเจ็บปวดที่ยากจะทนรับได้นั้นเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ลำแสงสีดำแทงเข้าไปในร่างกายของเธอ ก่อนจะค่อยๆ ขยายตัวออกไป ตำแหน่งที่แสงสีดำวิ่งผ่าน ผิวหนังส่วนนั้นก็จะปูดบวมขึ้นมาเล็กน้อย เหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังวิ่งอยู่ในร่างกายเธออย่างไรอย่างนั้น
แอชเชสกระอักเลือดออกมา “เจ้า…แค่กๆๆ…ทำอะไร?”
“ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ น่ะ แล้วก็เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเจ้ากับข้านั้นแตกต่างกันในเรื่องความเข้าใจที่มีต่อเวทมนตร์และเรื่องการควบคุมเวทมนตร์” อุรูคเขยิบหน้าเข้ามาใกล้หูแอชเชส
“ความจริงแล้วข้าควรจะขอบคุณเจ้า ถ้าไม่เป็นเพราะการต่อสู้ครั้งนี้ ข้าก็คงไม่ได้ยกระดับเร็วขนาดนี้ แล้วตอนนี้เจ้ายังเอาตัวเองมาส่งให้ข้าถึงตรงหน้าอีก ข้าอยากจะรู้จริงๆ ว่าหลังเอาชนะเจ้าแล้ว ข้าจะยกระดับไปได้แค่ไหนกัน!”
แอชเชสรู้ทันทีว่านี่คือการกลืนกินอีกรูปแบบหนึ่ง ตำแหน่งที่ถูกลำแสงสีดำเข้าปกคลุมนั้นสูญเสียความรู้สึกไปทั้งหมด เหมือนกับว่าอวัยวะส่วนนั้นไม่ได้เป็นของเธออีก เธอกัดริมฝีปากพร้อมกับพยายามเดินพลังเวทมนตร์ในร่างกาย โดยหวังว่าจะหยุดการกัดกินจากพลังเวทมนตร์ของอีกฝ่าย
“เจ้า…เลิกคิดที่จะควบคุมข้าเถอะ!”
และภายใต้การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างพลังเวทมนตร์ของทั้งสอง สีหน้าของอุรูคก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป จู่ๆ ร่างกายที่มันได้รับมาใหม่ก็ขยายตัวขึ้นมาจนกลายเป็นเหมือนก้อนเนื้อบวมๆ ที่น่าเกลียดน่ากลัว ดูแล้วเหมือนร่างกายครึ่งหนึ่งของเจ้าแห่งนรกกำลังหลอมรวมเข้ากับร่างกายของมัน
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ การกัดกินก็หยุดชะงักไปแค่ชั่วระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ถึงแม้ความเร็วในการขยายตัวของแสงสีดำจะช้าลง แต่มันก็ยังคืบต่อไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ลำแสงสีดำส่วนหนึ่งได้เลื้อยขึ้นมาบนคอของแอชเชสแล้ว
“ช่างเป็นความอดทนที่น่าชมเชยจริงๆ” อุรูคแสยะยิ้มออกมา รูปร่างของมันในเวลานี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง รูปร่างที่เปลี่ยนไปไม่เพียงจะทำให้ใบหน้าของราชาปีศาจดูบิดเบี้ยว แต่ยังทำให้รูปร่างของมันดูไม่เหมือนคนอีกแล้ว ไม่ว่าดูจากมุมไหนมันก็เหมือนสัตว์ประหลาดไม่มีผิด “แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”
“ข้า…ไม่มีทาง…”
“ยอมแพ้งั้นเหรอ? ความพยายาม ความเชื่อ ความมุ่งมั่น…มันก็เป็นแค่คำพูดที่เอาไว้ปลอบใจตัวเองเท่านั้น บนเส้นทางแห่งการเอาชีวิตรอดนี้ จะมีใครที่ยอมแพ้ง่ายๆ กันล่ะ? แต่เสียดายที่สิ่งเหล่านี้มันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ถ้าแค่พูดคำพูดเหล่านี้แล้วสามารถทำให้เผ่าพันธุ์อยู่รอดต่อไปแล้ว อย่างนั้นเราจะสู้รบกันไปทำไม!”
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโถมเข้าเล่นงานสมองของแอชเชสไม่หยุด เธออ้าปาก แต่กลับเปล่งเสียงออกมาไม่ได้
พายุหมุนที่อยู่บนหัวเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง ลำแสงสีทองสว่างแปลบๆ ขึ้นมา แต่เธอกลับรู้สึกว่าพลังนั้นค่อยๆ ห่างจากตัวเองออกไปไกลเรื่อยๆ
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความอดทนต่อพลังเวทมนตร์ หรือว่าชีวิตที่ยืนยาวที่ต้องใช้ในการปรับตัวเข้ากับเวทมนตร์ พวกข้าก็ล้วนแต่เหนือกว่าพวกเจ้า ความแตกต่างตรงนี้ก็เหมือนนกกับแมลง ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถชดเชยความต่างตรงนี้ได้! สงครามแห่งโชคชะตาสองครั้งได้พิสูจน์ให้เห็นในชุดนี้แล้ว!” อุรูคค่อยๆ ยกตัวเธอขึ้น เหมือนกำลังจะบอกเธอว่าถึงวาระสุดท้ายของเธอแล้ว “ดังนั้นเจ้าตายอยู่ที่นี่เถอะ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าเกิดมาในร่างมนุษย์ที่อ่อนแอ”
“อย่า…ดูถูก….มนุษย์นะ!”
จู่ๆ กลางสายฝนก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา เสียงนี้ฟังดูคุ้นเคยอย่างมาก จนทำให้แอชเชสสามารถดึงสติกลับมาได้เล็กน้อย
เธอฝืนหันหน้าไปมอง ก่อนหน้าจะเห็นเงาคนที่พุ่งออกมาจากในป่าเหมือนกับสายฟ้า
ไลต์นิ่ง?
แอชเชสเห็นอีกฝ่ายพุ่งผ่านสายฝนมา เส้นทางที่เธอบินผ่านจะกลายเป็นทางหมอกยาวๆ จากนั้นเธอบินผ่านต้นไม้ที่ถูกเผาจะไหม้เป็นตอตะโกตรงเข้าไปหาอุรูค
แต่เธอเหมือนจะกอดอะไรบางอย่างเอาไว้อยู่
แอชเชสกะพริบตา
นั่นมัน…กระสุน RPG 3 ลูก?
“เจ้าแมลง เจ้าอยากตายอย่างนั้นเหรอ!” อุรูคกางสนามพลังปิดกั้นพลังเวทมนตร์ขึ้นมาทันที
ในขณะที่แสงสีดำกำลังจะสัมผัสกับไลต์นิ่ง ไลต์นิ่งพลันปล่อยมือออก ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางบินของตัวเอง
เธอกับระเบิดแยกออกจากกัน
ถึงแม้จะไม่มีแรงขับเคลื่อน แต่มันก็ยังมีแรงเฉื่อยอยู่ หลังหลุดออกจากอ้อมอกของไลต์นิ่ง กระสุนกางปีกที่หางออก ก่อนจะบินเข้าไปหาอุรูค
“เจ้า!” ราชาปีศาจถลึงตาแยกเขี้ยว ก่อนจะใช้พลังทั้งหมดกางบาเรียสีน้ำเงินขึ้นมา
หลังจากนั้นเปลวไฟสามดวงก็ระเบิดออกตรงด้านนอกของบาเรีย แต่นี่เป็นแค่บทนำของการทำลายล้างเท่านั้น พลังงานจากการเผาไหม้อย่างรุนแรงถูกกระสุนทรงกรวยทำให้กลายเป็นเหมือนไอพ่นที่สว่างเจิดจ้า ก่อนจะกระแทกเข้าใส่บาเรียจนแตกละเอียดเหมือนกระจก หลังทะลุผ่านการป้องกันนี้มาแล้ว เปลวเพลิงจากกระสุนที่วาดผ่านร่างกายที่เปลี่ยนไปของอุรูคเป็นเหมือนกับมีดร้อนๆ ที่ปาดลงไปบนเนย ทำให้ก้อนเนื้อที่อยู่ด้านหลังของมันระเบิดกลายเป็นเนื้อเละๆ
และหินเวทมนตร์ที่ได้รับมาจากปีศาจระดับสูงก็แตกละเอียดด้วยการโจมตีครั้งนี้
อุรูคเงยหน้ากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด!
แสงสีดำที่ขยายตัวอยู่ในตัวแอชแชสหดสั้นลงทันที แอชเชสรู้สึกว่าความเจ็บปวดบนร่างกายหายไป สติของเธอกลับมาในหัวสมองเธออีกครั้ง
เธอปล่อยพลังแห่งโชคชะตาในรวบรวมมาอย่างไม่ลังเล
อีกฝ่ายเองก็รู้ถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายแล้ว มันส่งเสียงร้องออกมาโดยหวังจะสลัดแม่มดที่อยู่ตรงหน้าทิ้งไป แต่สองมือของแอชเชสนั้นล็อคตัวอุรูคไว้แน่น เธอย่อมไม่มีทางปล่อยให้มันได้มีโอกาสหลุดรอดไปได้
“เจ้าพูดถูก มนุษย์นั้นอ่อนแอ…แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ยังอยากจะเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคอะไร พวกเราก็จะไม่ถอยหนี” เธอชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา “เพราะว่ามีคนไปยืนอยู่ข้างหน้าคอยชี้นำทางให้พวกเราแล้ว”
สายฟ้าสีทองอันสว่างเจิดจ้าผ่าลงมาจากท้องฟ้า!
ท่ามกลางลำแสงที่สว่างจนเกือบจะเป็นสีขาว อุรูคถูกเผาไหม้จนระเหยกลายเป็นไอ ไม่เหลือเศษซากแม้แต่นิดเดียว
เสียงสะท้อนของสายฟ้าดังก้องทั่วทั้งที่ราบบริบูรณ์อยู่เป็นเวลานานกว่าจะหายไป
หลังพลังแห่งโชคชะตาดับลง บนที่โล่งที่ว่างเปล่าเหลือแอชเชสยืนอยู่เพียงคนเดียว
ไลต์นิ่งกัดฟัน ก่อนจะค่อยๆ คลานขึ้นมา ในตอนที่หัวของเธอพุ่งเข้าไปในสนามพลังของปีศาจ เธอก็เปลี่ยนทิศทางการบินออกไปด้านข้างทันที จนทำให้เธอถูกความเร็วสูงเหวี่ยงออกไปเหมือนกับก้อนหิน แต่ที่โชคดีคือศัตรูทุ่มสมาธิส่วนใหญ่อยู่ที่บาเรีย เธอจึงหลุดพ้นออกมาจากลำแสงสีดำ แล้วก็ใช้การสอดประสานพลังเวทมนตร์ได้ทันในเสี้ยววินาทีสุดท้าย
ผลก็คือแขนข้างหนึ่งของเธอหัก ด้านข้างของร่างกายถูกเสียดสีจนถลอกปอกเปิก
เธอเดินกะโผลกกะเผลกเข้ามาหาแอชเชส ก่อนจะฝืนยิ้มขึ้นมา “ในที่สุด…ก็ชนะแล้ว”
“อื้อ เป็นเพราะเจ้ามาพอดี บอกตามตรง ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมา”
“นี่เรียกว่าสัมผัสที่หกของนักสำรวจที่ยอดเยี่ยมที่มักจะปรากฏตัวในเวลาที่สำคัญที่สุดไงล่ะ” พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ไลต์นิ่งก็ตกตะลึง เธอพบว่าร่างกายของอีกฝ่ายเหมือนมีอะไรแปลกๆ “เฮ้ เจ้า…เป็นอะไรเนี่ย?”
แอชเชสก้มหน้ามองดูมือที่ขาวซีดของตัวเอง “บางที…อาจจะเป็นค่าตอบแทนจากการที่เผาตัวเองล่ะมั้ง”
“เผาตัวเอง หมายความว่าไง?” ไลต์นิ่งงุนงง ร่างกายของสุดยอดอมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าค่อยๆ ดูเลือนราง ผมที่ยาวสลวยของเธอกลายเป็นจุดสีขาวพัดกระจายไปตามสายลม ราวกับว่าเธอไม่มีร่างกายจริงๆ อยู่อีก หากแต่เป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นจากหิ่งห้อยจำนวนนับพันประกอบกันเป็นรูปร่างขึ้นมา
“ถ้าพวกเราปรารถนาจะใช้พลังเวทมนตร์ไปทำเป้าหมายบางอย่างให้กลายเป็นจริง มันก็จะนำพวกเราให้เดินไปทางนั้น น่าจะเป็นเพราะข้าฝืนขอพลังจากมันจนเกินขีดความสามารถในการแบกรับของข้าได้..” แอชเชสพูดเสียงอ่อนโยน “ที่แท้การถูกพลังเวทมนตร์หลอมรวมมันเป็นแบบนี้นี่เอง…แต่ถ้าไม่ได้เปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด แบบนี้มันก็ไม่เลวเหมือนกัน”
“เจ้า เจ้ากำลังพูดอะไรเนี่ย” ไลต์นิ่งอยากจะคว้ามือของเธอไว้ แต่เธอกลับคว้าได้แค่เพียงฝุ่นที่ปลิวกระจาย “แอชเชสบอกข้า! ข้าต้องทำยังไง?”
“บอกทิลลีว่าข้าชอบนาง”
หมู่เมฆบนท้องฟ้าสลายตัว แสงอาทิตย์ส่องผ่านชั้นเมฆลงมายังพื้นโลกอีกครั้ง ท่ามกลางแดดอาทิตย์เหล่านี้ แอชเชสหลับตาทั้งสองข้างลง แล้วปล่อยให้ร่างกายตัวเองปลิดปลิวไปตามสายลม
ไลต์นิ่งถลาเข้าไปยังตำแหน่งที่ยืนอยู่โดยหวังจะกอดเธอเอาไว้ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ตรงนั้นกลับมีแต่ความว่างเปล่า สาวน้อยหลั่งน้ำตาร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด
…..
มิสต์มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน เธอหลับตาลงพร้อมถอนใจออกมา
หลังนิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายเธอจึงปิดหน้าต่างลงแล้วพูดพึมพำออกมาเบาๆ มันคล้ายว่าเธอกำลังถามคนอื่น แล้วก็เหมือนว่าเธอกำลังพูดกับตัวเอง
“เจ้ากำลังรออะไรอยู่กันแน่?”
“ไม่มีอะไรต้องลังเลอีกแล้วใช่ไหม?”
“ต้องเร็วขึ้นอีกหน่อย พวกเรา…ไม่มีเวลาแล้ว”
คำพูดสุดท้ายที่ฟังดูเหมือนเสียงถอนใจจับตัวแข็งอยู่ในช่วงเวลาที่หยุดนิ่ง
……………………………………………………………………